ขับตะลุยทะเลทราย สไตล์ Outback ตามหาจิงโจ้กับ Holden Colorado

  • โดย : พิสน ลีละหุต
  • 7 ธ.ค. 61
  • 4,707 อ่าน

หายไปนานเลยครับ หลังจากที่เคยได้เล่าเรื่องการเดินทางไปบุกทดสอบรถที่ GM Holden Proving Ground พร้อมเยี่ยมชมแผนกออกแบบของ Holden ที่ออสเตรเลีย แต่ดันทิ้งท้ายว่า ติดตามตอนต่อไปเร็ว ๆ นี้ (ฮ่าๆๆ) เอาเป็นว่า วันนี้ผมจะพาทุกท่านไปบุกทะเลทรายกันกลางแดนจิงโจ้ ที่เชื่อว่าคนไทยน้อยคนนักที่เคยได้ไปผจญภัยกันแบบนี้

อ่านตอนแรกได้ที่นี่

Chevrolet

หลังจากล่าสุด คณะผู้สื่อข่าวจากประเทศไทยได้เดินทางมายัง สำนักงานใหญ่ของ GM Holden พร้อมเยี่ยมชม Design Center เป็นที่เรียบร้อยแล้ว พวกเราก็ต้องออกเดินทางไปยังสนามบินทันที เพื่อเดินทางต่อไปยังเมือง Coober Pedy (อ่านว่า คูเบอร์ พีดี้) เมืองเล็ก ๆ (แต่ยิ่งใหญ่ เพราะอะไรนั้น ตามอ่านกันต่อไป) ที่อยู่ในรัฐ South Australia อยู่ห่างจากเมืองที่เราอยู่ตอนนี้ก็คือ เมลเบิร์น ไปทางตะวันตกเฉียงเหนืออีกราว 1,600 กิโลเมตร แต่ด้วยที่เป็นเมืองเล็กมาก จึงไม่มีเครื่องบินที่บินตรงจากเมืองนี้ไปยังเมืองนั้นได้ เราจึงต้องบินไปแวะที่เมืองโน้นกันก่อน นั่นก็คือเมือง Adelaide กันก่อน แล้วค่อยต่อเครื่องกันไปที่เมือง Coober Pedy กันอีกที

Chevrolet

เที่ยวบินของเราวันนี้ จะเดินทางช่วงประมาณ 4 โมง 45 เห็นจะได้ โดยอาศัยสายการบินในประเทศอย่าง Virgin ใช้เวลาในการบินซักราว 1 ชั่วโมงได้ (ประมาณเดียวกับบินจากกรุงเทพไปเชียงใหม่) เมื่อออกจากตัวสนามบินแล้ว ก็เริ่มสัมผัสได้อีกครั้งถึงความเย็นกว่าเดิมจากเมลเบิร์นเล็กน้อย แถมยังมีฝนตกเป็นละอองลงมาอีกต่างหาก ซึ่งตอนที่กำลังขึ้นรถนั้น ก็อยู่ที่เวลาประมาณ เกือบ 6 โมงเย็นได้ (เอ๊ะ หรือยังไง) แล้วเราก็เดินทางกันด้วยรถบัสที่มีพ่วงท้ายเอาไว้ใส่กระเป๋าเดินทาง จนถึงโรงแรมที่พัก นั่นคือโรงแรม Hilton Adelaide ที่ตั้งอยู่ใจกลางของเมืองเลย และเป็นโรงแรมที่ไม่มีฟรี WiFi และน้ำดื่มเหมือนโรงแรมอื่น อยากใช้อยากดื่มก็เสียเงินเพิ่มกันเอง (ให้เป็นข้อมูลคนที่อยากจองนะ ส่วนคณะเรานั้น ทาง เชฟโรเลต ดูแลพวกเราดีมาก จัดการให้ทุกอย่างพร้อมโดยไม่ต้องเรียกหาเลย) โดยตอนที่เข้าไปใน Lobby นั้น ผมเหลือบไปเห็นนาฬิกาที่ติดอยู่บนข้างฝาบอกเวลาเอาไว้ว่าตอนนี้ 6.30 น. แล้วผมก็หันมามาองนาฬิกาข้อมือตัวเอง ซึ่งเป็นเวลาไทยนั้นบอกเอาไว้ว่าเป็น 4 โมงเย็น เอ๊ะ ทำไมนาฬิกาเราหยุดเดินหว่า เพราะผมท่องในใจตัวเองอยู่ตลอดว่า จะต้องบวกเวลาที่เราดูไปอีก 3 ชั่วโมง เพราะเวลาที่เมลเบิร์นนั้นต่างกับเราอยู่ 3 ชั่วโมง (เร็วกว่า) แต่ระหว่างที่จ้องอยู่นั้น เข็มยาวมันก็กระดิกขยับไปอีก 1 นาที เฮ้ย นาฬิกาก็ไม่ได้แบตหมดนี่หว่า แล้วทำไมเวลามันดูแปลกไป ก็เลยหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู ที่โดยปกติมันจะปรับเวลาไปตามท้องถิ่นนั้นโดยอัตโนมัติ ถึงเพิ่งได้รู้ว่า เวลาของเมืองนี้นั้น ต่างจากบ้านเรา ก็คือเร็วกว่า 2 ชั่วโมงครึ่ง หูย เดินทางข้าม Time zone กันอีกแล้ว

Chevrolet

Chevrolet

Chevrolet

Adelaide เป็นเมืองเล็ก ๆ ที่อยู่แถวด้านล่างของออสเตรเลีย ติดอยู่กับทะเลเลย เป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดของรัฐในเซาท์ออสเตรเลีย และเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 5 ของออสเตรเลีย ที่นี่มีชื่อเสียงด้านงานเทศกาลต่าง ๆ และงานกีฬา อาหาร ไวน์ และวัฒนธรรม กับชายหาดที่กว้างขวาง อีกทั้งยังติดอันดับเมืองที่น่าอยู่ใน 10 อันดับแรกของนิตยสารอีโคโนมิสต์ เมืองดูสงบ ไม่พลุกพล่าน บ้านคนส่วนใหญ่เป็นแบบชั้นเดียว วางเรียงรายอยู่เป็นระเบียบ แต่ในใจกลางเมืองจุดที่ไปนอน ก็มีตึกรามบ้านช่องขึ้นอยู่พอสมควร มีสถานีรถรางตั้งอยู่หน้าโรงแรมเลย แถมช่วงก่อนถึงที่พัก ก็ยังเจอร้านรวงที่เป็นร้านอาหารน่ากินหลายร้าน เลยแทคทีมกันว่า เดี๋ยวกิน Dinner เรียบร้อยแล้ว จะเดินออกไปหาขนมกินสักหน่อย สรุปว่า เดินออกมาตอน 4 ทุ่มกว่า ๆ ร้านปิดหมดแล้วจ้า คนหายไปกันหมดแล้ว สรุปว่า ได้แค่เดินเล่นแบบอากาศเย็นชุ่มฉ่ำด้วยละอองฝน แล้วก็กลับที่พักกันไปพักผ่อน

Chevrolet

Chevrolet

เช้าวันรุ่งขึ้น ก็มีคิวต้องบินกันต่อ นัดกันไว้ตั้งแต่ 7 โมงเช้า แล้วนั่งรถกันเข้าไปที่สนามบินอีกครั้ง (ไม่ถึง 20 นาทีก็ถึงแล้ว) โดยเรามีคิวบินกับสายการบิน Rex ตอน 9 โมงเช้า โดยไปซัดอาหารเช้าแบบ Fast ๆ กันที่สนามบินเลย รอบนี้เราเดินทางไปพร้อมกับแก๊งค์นักข่าวจากทั้งเวียดนามและฟิลิปปินส์ รวมแล้วก็ราว 16 คนได้นะ แต่คนแค่นี้ มันคือครึ่งลำของเครื่องบินที่เราใช้เดินทางไปแล้วครับ เพราะมันคือเครื่องบินใบพัดขนาดเล็ก มีที่นั่งอยู่ราว 30 ที่นั่งได้ เป็นที่นั่งเรียงแบบ 1 ที่ข้างนึง กับ 2 ที่อีกข้างนึง เหมือนกับที่เห็นในหนัง ที่มันบินลงตามทุ่งอะไรประมาณนั้น (วันนี้คงไม่ต้องลงทุ่งนะ) บอกเลยว่าการนั่งเครื่องบินแบบนี้ มันคือความสนุกระดับ 8 เพราะมันต้องลุ้นกันตั้งแต่ Take-off ยัน Landing โดยเฉพาะช่วงที่นางเลี้ยวเนี่ย โคตรเสียวเลย (สงสารน้องมุก PR ที่นั่งข้าง ๆ พอเครื่องเอียงที นางสะดุ้งเกร็งสุดตัว ฮ่า) แต่ยังครับ ความพีกยังมีอีก เพราะหลังจากที่บินไปได้ราว 1 ชั่วโมง เครื่องบินก็เริ่มบินต่ำลงเหมือนจะถึงแล้ว อ้าว ตามตารางมัน 2 ชั่วโมงกว่านี่หว่า ไหงถึงเร็วจัง หลังจาก Landing เรียบร้อย ทุกคนก็เลยขยับเพื่อเตรียมตัวเดินลง แต่แอร์สาวสุดเท่ห์ก็ประกาศขึ้นมาว่า “ขณะนี้เราเดินทางมาถึงเมือง Port Augusta เรียบร้อยแล้วค่ะ สำหรับผู้โดยสารที่ต้องการเดินทางลงที่นี่ สามารถหยิบสัมภาระแล้วเดินลงจากเครื่องได่เลยค่ะ แต่ผู้ที่เดินทางไปยัง Coober Pedy ขอให้นั่งอยู่ก่อนค่ะ แล้วเราจะเดินทางต่อกันนะคะ” แล้วก็มีผู้โดยสาร 3 คน ที่เป็นฝรั่งหยิบของลงไปจากเครื่อง ก่อนที่อีกแปปเดียวก็มีเด็กหญิงตัวโตคนหนึ่งเดินถือกระเป๋าขึ้นมาบนเครื่องแล้วนั่งประจำที่ โอ้วแม่เจ้า ปกติเคยเจอแต่รถบัสแวะรับผู้โดยสาร มารอบนี้เจอเครื่องบินแวะรับเว้ย เป็นประสบการณ์ที่แปลกประหลาดจริง ๆ

Chevrolet

Chevrolet

ในที่สุดพวกเราก็เดินทางมาถึงสนามบิน Coober Pedy จนได้ หลังจากมาถึงก็ได้เจอกับชาวคณะจาก GM ออสเตรเลีย พร้อมสาวสวย PR จาก Weber-shandwick ที่มาช่วยดูแลพวกเราด้วย เริ่มต้นด้วยการรับฟังบรีฟกันก่อน ว่าเส้นทางที่เราจะไปในรอบนี้มีอะไรบ้าง และมีข้อกำหนดอะไรบ้างที่ควรและไม่ควรทำ (แน่นอนว่าโดนย้ำให้ขับไม่เกินกฎหมายกำหนด) จากนั้นก็แยกย้ายกันขึ้นรถ ตามกลุ่มที่ถูกแบ่งกันไปเรียบร้อยแล้ว แต่มันมีข้อแม้อยู่ว่า ในรถทุกคัน ต้องมีคนของ GM อย่างน้อย 1 คนเดินทางไปด้วย ไม่อย่างนั้นจะไม่สามารถเดินทางได้ โดยคันของผมนั้น จะมีทั้งน้องต้นจาก Checkraka, น้องพรหมมินทร์จาก Driveautoblog และสุดท้าย คนจาก GM ก็คือ Sean Poppitt ผู้อำนวยการฝ่ายการสื่อสาร จีเอ็ม เอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั่นเอง ขบวนนี้มีทั้ง Holden Colorado และ Trailblazer ในเวอร์ชั่นที่แตกต่างกันไป แต่ทั้งหมดเป็นรถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อทั้งหมด เพราะการเดินทางครั้งนี้จะเข้าสู่ความเวิ้งว้างกลางทะเลทรายที่หาได้แต่เส้นขอบฟ้า และต้นหญ้าที่ขึ้นมาเพียงเล็กน้อย

Chevrolet

จุดหมายแรกของเราวันนี้จะเริ่มต้นกันที่ Breakaways Conservation Park เพื่อรับประทานอาหารกลางวันกันที่นั่น แต่ก่อนจะไปถึง บรรดาชาวคณะ Colorado VS Outback ก็ต้องขับรถไปบนเส้นทางฝุ่นตลอดเส้นทาง ซึ่งแถบที่เขาเรียกว่า Outback นั้น จะเป็นแบบนี้เกือบทั้งหมด จะมีถนนที่เป็นลาดยางอยู่ไม่กี่เส้น

Chevrolet

ก่อนจะเดินทาง เรามาขยายความคำว่า Outback กันเล็กน้อยครับ โดยคำนี้จะเอาไว้ใช้เรียกพื้นที่ ที่เป็นทะเลทรายช่วงตรงกลางของประเทศออสเตรเลีย เรียกว่าเป็นแถบทุรกันดารก็ได้ มีคนอาศัยอยู่ไม่มาก ส่วนใหญ่จะเป็นพื้นที่การทำปศุสัตว์เช่นเลี้ยงวัว เป็นต้น เพราะตัวพื้นที่นั้น ไม่สามารถทำการเพาะปลูกอะไรได้เลย แห้งแล้งสุด ๆ บางพื้นที่นั้นฝนไม่ตกร่วม 2 ปีได้ แต่ก็จะมีพื้นที่ชุมชนบางส่วนอยู่บ้าง เป็นเมืองเล็ก ๆ เท่านั้น มีคนอาศัยอยู่ไม่มาก แต่เมืองแบบนี้แหล่ะที่ชาวออสซี่ชอบมาผจญภัย บางคนก็ขับรถบ้านผ่ากลางประเทศเพื่อลุยแถบ Outback เก็บประสบการณ์สนุก ที่ไม่สามารถหาได้ตามเมืองใหญ่อย่างซิดนี่ย์, เมลเบิร์น หรือเพิร์ธ ช่วงเข้าไปพักอยู่ใน Coober Pedy เลยได้เห็นรถบ้านวิ่งกันพลุกพล่านในช่วงสุดสัปดาห์เลย (และไม่มีคนไทยมาเที่ยวเลย)

Chevrolet

Chevrolet

กลับมาเข้าสู่การเดินทางอีกครั้ง สภาพเส้นทางช่วงนี้ อย่างที่บอกไปแล้วว่า เป็นฝุ่นไปตลอดทาง ซึ่งพวกเราก็ถูกกำชับอย่างชัดเจนว่า ให้ทิ้งระยะกันห่างหน่อย เอาแบบไม่เข้าไปในกองฝุ่นที่คันหน้าสร้างเอาไว้ และใช้ความเร็วในระดับไม่เกิน 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพื่อไม่ให้ฝุ่นนั้นฟุ้งกระจายเกินไป พวกเราเดินทางมุ่งหน้าสู่ความเวิ้งว้าง จนกระทั่งไต่ไปบนเขาหินลูกเล็ก ๆ ที่มีเต็นท์กางเป็นหลังคารอพวกเราอยู่ ตรงจุดนี้ถูกเรียกว่า Breakaways Conservation Park หรือภาษาอะบอริจินเรียกกันว่า Kanku เป็นพื้นที่อนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าหลายอย่าง รวมทั้งยังมีพันธุ์พืชท้องถิ่นเกือบ 60 ชนิด เป็นที่อยู่ของสัตว์ป่านานาชนิด อาทิ จิงโจ้แดง ยูโร (จิงโจ้ขนาดกลาง) อีคิดนา (ตัวกินมดหนาม) นกพันธุ์ต่าง ๆ และหนูแฟตเทล (สัตว์มีกระเป๋าหน้าท้องจำพวกจิงโจ้) แต่พิเศษหน่อยกับที่เรียกว่าตัว Dingo หรือหมาป่าดิงโก ที่อาศัยอยู่ในแถบบริเวณนี้ และจะมีเจ้าหน้าที่คอยสอดส่องดูแลไม่ให้ชาวบ้านเข้ามาล่าสัตว์ในบริเวณนี้ ซึ่งพวกเราถูกกำชับนักกำชับหนาว่า ห้ามถ่ายรูปเจ้าหน้าที่พวกนี้โดยเด็ดขาด เพราะเป็นเรื่องของความปลอดภัยในตัวของเจ้าหน้าที่เอง ส่วนตัวดิงโก้นั้น ถ้าเจอก็ถ่ายได้เลย ไม่หวง

Dingo

Chevrolet

สภาพพื้นที่แถวนี้ถือว่าแปลกตามากครับ เป็นเหมือนทะเลทรายที่พื้นดินเต็มไปด้วยฝุ่น และบางที่ก็มีเนินพูนขึ้นไปเป็นภูเขาดินขนาดใหญ่ จุดที่เรายืนนั้นเป็นเนินสูงครับ ทำให้เห็นวิวได้รอบตัว 360 องศา มองภาพพื้นดินสีส้มไปได้ไกลสุดลูกหูลูกตา สวยมากครับ สวยแบบอธิบายไม่ถูก มันดูกว้างขวาง แต่ก็ดูอบอุ่น อากาศวันที่เราไปเยือนนั้นกำลังดีครับ ถึงแม้แดดจะส่องสว่างอย่างเต็มที่ แต่ก็ไม่ได้ร้อนอะไร อุณหภูมิน่าจะอยู่ที่ราว 28 องศาได้ ลมพัดเอื่อย ๆ กำลังสบาย นั่งปิคนิกกันเป็นอาหารกลางวัน สุขใจจริงครับ

Chevrolet

Chevrolet

จากนั้นเราก็เดินทางกันต่อ ลัดเลาะไปตามแนวรั้วลวดหนามที่มีความยาวที่สุดในโลก ถูกเรียกกันว่า Dingo Fence ใช้เพื่อกั้นไม่ให้ฝูงหมาป่า Dingo เข้ามายุ่งกับฝูงแกะที่ชาวบ้านเลี้ยงเอาไว้ โดยรั้วนี้ถูกสร้างเสร็จมาตั้งแต่ปี 1885 ระยะทางยาวรวม 5,614 กิโลเมตร ลากยาวตั้งแต่เมือง Jimbour ที่ตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกของออสเตรเลีย ลากยาวจนถึงเมือง Nundroo ที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศ ยาวขนาดไหน ลองนึกดูว่าที่พี่ตูนวิ่งจากยะลาจนมาถึงเชียงราย ระยะทางยังแค่ 2,215 กิโลเมตร วิ่งกลับมาลงใต้อีกรอบ ยังไม่ไกลเท่ารั้วอันนี้เลยคร้าบ

Chevrolet

Chevrolet

Chevrolet

ต่อมา พวกเราชาวคณะก็เดินทางกันต่อไปที่เมือง Coober Pedy และในที่สุดเราก็ได้เจอถนนลาดยางกันเสียที (โว๊ย) มุ่งหน้าเข้าที่พัก ที่พวกเราจะต้องอาศัยที่แห่งนี้ในการพักพิงเป็นระยะเวลา 2 คืนนั่นเอง โรงแรมนี้ชื่อว่า Desert Cave Hotel เป็นการนำเหมืองเก่าเอามาทำโรงแรมใหม่ จากการหาข้อมูลมาเบื้องต้น ทำให้รู้ว่าที่นี่เป็นโรงแรมที่ใหญ่และดีที่สุดแล้วในเมืองนี้ ตั้งอยู่ตรงจุดยุทธศาสตร์ของเมือง นั่นก็คือตรงข้ามปั๊มน้ำมัน และร้านพิซซ่าที่อร่อยที่สุดในเมืองนี้นั่นเอง (ฮ่า) โดยห้องนั้นมีอยู่หลากหลายแบบ โดยมีทั้งแบบทั่วไปที่เหมือนโรงแรมธรรมดา แต่ห้องที่ผมพักมันต้องไม่ธรรมดาครับ เพราะเป็นห้องที่อยู่ใต้ดิน ตรงจุดที่เคยมีการขุดแร่กันมาก่อน ไม่มีแอร์ มีแต่พัดลมให้ 1 ตัว แต่บอกได้เลยครับว่าไม่ต้องการแอร์เลย ห้องนี้เย็นประดุจติดแอร์ขนาดตันครึ่งอยู่แล้ว เปิดพัดลมให้พัดอย่างแผ่วเบา ก็เพียงพอต่อความต้องการในยามค่ำคืนอยู่แล้วครับ

Chevrolet

Chevrolet

ไหน ๆ ก็มาถึงจุดนี้แล้ว เราควรจะต้องทำความรู้จักกับเมือง Coober Pedy กันก่อนสักเล็กน้อย เมืองนี้ตั้งอยู่ในทางตอนเหนือของรัฐ South Australia อยู่ห่างจากเมือง Adelaide ที่พวกเราเพิ่งจากมา มาทางตะวันตกเฉียงเหนืออีกราว 850 กิโลเมตร มีประชากรที่อาศัยอยู่แถวนี้ราว 1,762 คน (จากการสำรวจประชากรเมื่อปี 2016) เป็นเมืองที่มีแต่ทะเลทรายก็จริง แต่สิ่งที่อยู่ภายใต้ดินแถวนี้นั้น เต็มไปด้วยแร่โอปอลที่มากที่สุดในโลก ผลผลิตจากที่นี่ สูงถึง 95% ของโอปอลทั่วโลก ถูกขุดพบโอปอลในครั้งแรกตั้งแต่ปี 1915 ระหว่างปี 2000 ถึงปี 2005 ตัวเลขของการผลิตอัญมณีที่ไม่ได้เจียระไนมีมูลค่าอยู่ที่ 100- 200 ล้านเหรียญ ซึ่งคำว่า Coober Pedy นั้น เป็นภาษาพื้นเมืองของชาวอะบอริจิน ที่แปลว่า “คนขาวที่อยู่ในรู” แน่นอนว่า อาชีพและรายได้หลักของเมืองนี้ก็คือการขุดแร่โอปอลนั่นเอง ซึ่งปัจจุบันก็ยังคงมีการขุดกันอยู่ ถึงแม้จะไม่มากเท่าในอดีตแล้ว เมื่อเราขับผ่านแถวเมืองนี้ เราก็จะได้เห็นข้างทางนั้นเต็มไปด้วยเหมืองแร่ ที่ทั้งยังมีการขุดกันอยู่ รวมทั้งที่ปิดไปแล้วก็มี และด้วยความที่เมืองนี้อากาศโดยเฉลี่ยค่อนข้างร้อน โดยในช่วงหน้าร้อน ค่าเฉลี่ยของอุณหภูมิสูงสุดอยู่ที่ราว 36.7 องศาเซียลเซียส แต่ก็เคยมีบันทึกว่าเคยมีสูงสุดถึง 47.4 องศาเซียลเซียสเลย (ร้อนแบบแห้ง ๆ ซึ่งอยู่แล้วอึดอัดมากกว่าบ้านเราซะอีก) ดังนั้น วิธีการของชาวเมืองนี้ ก็คือการขุดเข้าไปใต้ดิน เพื่อสร้างที่อยู่อาศัย ดังนั้นเราจึงสามารถเห็นบ้านในถ้ำแบบนี้อยู่โดยทั่วไป ซึ่งชาวเมืองที่นี่เขาเรียกบ้านแบบนี้ว่า Dugouts นั่นเอง แต่ในปัจจุบัน ด้วยที่ว่าเป็นเมืองสไตล์ Outback ทำให้นักท่องเที่ยวที่เป็นชาวออสซี่เอง เลือกที่จะเดินทางมาพักค้างอ้างแรม และผจญภัยกันแถวนี้อย่างมากมาย (ไม่มีคนไทย) และเราจะได้เห็นรถแบบพ่วงตู้บ้านได้เยอะแยะในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์

Chevrolet

Chevrolet

Chevrolet

เอาล่ะ หลังจากเดินทางเข้าที่พัก เก็บของ ล้างหน้าล้างตากันไปเรียบร้อยแล้ว (15 นาทีได้ ฮ่า) เราก็ออกเดินทางกันต่อ โดยยังคงมีภารกิจให้ทำอีกหลายอย่าง โดยเริ่มแรกด้วยการออกกำลังกายรถที่เราใช้เดินทางมา ทั้ง Holden Colorado และ Trailblazer กันเสียหน่อย อย่างที่บอกไปแล้วว่าทุกคันนั้น เป็นระบบขับเคลื่อน 4 ล้อกันทั้งหมด เพราะเส้นทางแบบนี้ใช้แบบขับ 2 อาจจะไม่รอดในบางจุด การออกกำลังกายรอบนี้คือการเอาไปลุยทะเลทราย เพื่อทดสอบระบบขับเคลื่อนและเครื่องยนต์อันทรงพลังนั่นเอง (บอกได้ว่าทุกคันนั้น มีจุดกำเนิดมาจากประเทศไทยนะคร้าบ) เส้นทางก็ไม่ยาวครับ แค่ขึ้นลงเนิน 2 ลูก หลุมอีก 2-4 บ่อ ทางดินผสมทรายอีกประมาณนึง ทางขรุขระอีกประมาณนึง (ไม่เล็กน้อยแล้วคุณ) เห็นภายนอกดูง่าย ๆ ครับ แต่ขอโทษที ขับยากมาก เพราะทางดินก็จริง แต่ดันมีทรายลื่น ๆ มาผสมอยู่ตลอดทาง ตอนขึ้นเนินนี่ผิดไลน์ ตูดนี่ปัดเอียงรูดปรื๊ด เกือบตกเลนเอาได้เลย ดังนั้นจากที่มองแล้วขับชิงก็ได้ เจอแบบนี้เข้าไปไม่ชิวแล้วฮะ ต้องตั้งใจมองไลน์ให้ดีกว่าเดิม แต่สุดท้ายแล้ว ด้วยระบบขับเคลื่อนและพละกำลังเครื่องยนต์ของทั้ง 2 รุ่นที่มีประสิทธิภาพสูง พวกเราชาวคณะเลยรอดออกมาได้อย่างสวัสดิภาพ (ย้ำอีกรอบว่าเครื่องยนต์ของที่นี่ ใช้เป็น ดีเซล 2.8 ลิตร 200 แรงม้านะจ๊ะ)

Chevrolet

จบการออกกำลังกายไปแล้ว ก็ถึงเวลาไปหาที่แสนสวยเพื่อทำการถ่ายรูปรถกันอีกครั้ง รอบนี้เราถูกพาเข้าไปในเหมืองแร่เก่า ที่มีการขุดโอปอลออกไปหมดแล้ว และปัจจุบันไม่มีการขุดเพิ่มอีก แต่จะเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชมแทน พวกเราถูกย้ำกันอีกรอบว่า ให้ขับตามเส้นทางที่รถนำพาไปเท่านั้น ห้ามออกนอกเส้นทางเด็ดขาด เพราะในเหมืองเก่านี่จะมีหลุมที่ถูกขุดเอาไว้เพื่อใช้เป็นเส้นทางลำเลียงแร่ออกมาจากหลุมอยู่มากมาย ถ้าออกไปนอกเส้นทางอาจะเกิดความเสี่ยงที่ทำให้รถหล่นไปในหลุมได้ พวกเราจึงต้องตั้งมั่น ติดตามรอยล้อของคันหน้ากันอย่างใกล้ชิดเลย

Chevrolet

Chevrolet

Chevrolet

เมื่อเราชาวคณะเดินทางเข้ามาถึงด้านในแล้ว คุ้มค่ามากเลยครับกับการเดินทางมาครั้งนี้ เพราะเราได้มาอยู่ท่ามกลางหลุมที่ถูกขุดลงไปจนลึก และใต้นั้นก็ถูกขุดให้เป็นถ้ำลอดไปตามทางอีกหลายเส้นทาง ทำให้เห็นเลยว่า การทำเหมืองแร่ของที่นี่ เขาขุดกันเป็นประมาณไหน มันคล้ายถ้ำธรรมชาติที่บ้านเราแหล่ะครับ แต่มันแตกต่างกันตรงที่พื้นที่เราเดินอยู่นั้น เต็มไปด้วยฝุ่นหนา ๆ ผลผลิตจากการทำเหมือง ทั้งจากการขุดด้วยเครื่องมือ หรือว่าจากการระเบิดก็ตาม ทำให้ทุกย่างก้าวที่สัมผัสลงไปที่ผืนดินนั้น จะมีรอยเท้าของเราปรากฎอย่างชัดเจนทุกครั้งที่เหยียบย่ำไป ทำให้พวกเรานั้นต้องเอาหน้ากากกันฝุ่นมาใส่กันให้ครบกันทุกคน ไม่อย่างนั้นเราคงต้องกลืนฝุ่นลงคอไปแบบนับปริมาณไม่ได้เลย โดยที่จุดนี้ เราก็ได้เอารถในขบวนมาเรียงรายตามจุดนั้นจุดนี้ แล้วชักภาพเอาไว้เป็นที่ระลึกกันทั่วถ้วน หรือบางคนก็ถ่ายวีดีโอ หรือ Live ให้ผู้ติดตามได้ชม ต่างคนก็ต่างทำหน้าที่กันไป

Chevrolet

Chevrolet

จบภารกิจของวันนี้แล้วครับ พวกเราก็เริ่มเหนื่อยอ่อนกันเต็มที่จากการเดินทางแล้ว โดยทางหัวหน้าคณะได้แจ้งกำหนดการของวันพรุ่งนี้ว่า เราจะต้องเดินทางกันตลอดทั้งวัน และจะต้องใช้สมาธิในการขับรถกันอย่างมาก จึงขอให้ทุกคนได้พักผ่อนกันอย่างเต็มที่ เพื่อจะได้พร้อมสำหรับการเดินทางในวันพรุ่งนี้ ซึ่งมื้อค่ำวันนั้น เราก็ได้รับเกียรติให้สามารถเลือกรับประทานอาหารเย็นเป็นสเต็กเนื้อจิงโจ้ได้ แต่ถ้าใครไม่กินก็จะมีสเต็กไก่ให้แทน โว๊ะ มาถึงออสเตรเลียแล้ว จะกินไก่ทำไมล่ะฮะ เอาไว้กลับไปกินไก่ที่เมืองไทยก็ได้ เราก็เลือกเนื้อจิงโจ้สิฮะ (แต่บางคนทำใจไม่ได้ เลือกไก่ไปกินก็มี) หลังจากที่ได้สัมผัสผ่านทางปาก, ฟัน, ลิ้น, ตุ่มรับรถ ก่อนจะไหลลงคอไปแล้วนั้น บอกเลยครับว่า มันไม่อร่อยอย่างที่คาดเอาไว้ มันจะมีความสาป, คาวอยู่หน่อย และเนื้อค่อนข้างจะเหนียวเล็กน้อย (ใครบอกละลายในปากจะตบให้) แต่ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่แปลกดี แต่ถามว่าถ้ามีให้สั่งกินในเมืองไทยจะกินอีกมั้ย คงบอกเลยว่า ขอหมูคุโรบุตะแทนดีกว่าฮะ

Chevrolet

หลังจากพักผ่อนกันข้ามคืนเรียบร้อยแล้ว ช่วงอาหารเช้า เราก็เข้าโรงอาหาร (บ้า เขาเรียกห้องอาหาร) เพื่อรับประทานอาหารเช้ากัน โดยมีสิ่งหนึ่งที่เตะตาวางกองอยู่รวมกับพวกเนยตรงขนมปัง มันเขียนเอาไว้ว่า Vegemite เราก็ถามคนในทริปว่า มีใครเคยกินไหม ทุกคนส่ายหัวกันหมด เลยตัดสินใจหันไปหาคนของ GM ที่เป็นออสซี่แล้วถามว่า มันกินยังไง เขาก็บอกกลับมาว่า “ยูก็เอาทาขนมปัง เหมือนยูทาแยมนั่นแหล่ะ อร่อยจะตาย” เอาวะ ลองดูกันหน่อย เราก็ทดลองชิมด้วยการทาไปเล็กน้อยที่ขนมปัง แล้วกัดเข้าไป 1 คำ อื้อหือ อย่างกับเอากะปิทางไปแล้วกิน มันเค็ม ๆ ยังไงก็ไม่รู้บอกไม่ถูก สรุป ทิ้งจ้า กินไม่ได้ แล้ววันนี้เดินทางไกลไปท่ามกลางทะเลทรายเอาด้วย เดี๋ยวเกิดท้องเสียขึ้นมา จะต้องเดือดร้อนวิ่งเข้าป่าหาที่ทางใส่ปุ๋ย เขาจะเสียเวลาเอา (โชคดีแล้วที่ไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนั้น เพราะตลอดทางมีแต่ทะเลทรายอันเวิ้งว้าง จะหาที่ทางนั่งถ่ายแถวไหนได้ล่ะคร้าบ

Chevrolet

ก่อนออกเดินทาง ผู้นำคณะจากทาง GM ได้บอกว่า จุดหมายปลายทางของเราในวันนี้อยู่ที่เมือง Oodnadatta (คือ ถ้าอ่านตามที่มอง มันจะอ่านว่า อู๊ดนาดัตต้า แต่ Sean ได้บอกกับผมว่า มันต้องมีดะหลังอู๊ดด้วย ดังนั้น ฝรั่งบอกให้อ่านว่า อู๊ดดะนาดัตต้า) อยู่ห่างจากที่พักเราประมาณ 200 กิโลเมตร เส้นทางก็เช่นเคยครับ จะเป็นทางฝุ่นเกือบตลอดทาง และถนนนั้นเต็มไปด้วยกรวดก้อนใหญ่ ที่สามารถจะพาเราไถลลงข้างทางได้อยู่เสมอ ถึงแม้ว่าในรถ Chevrolet Colorado และ Trailblazer (หรือ Holden) จะมีระบบตัวช่วยต่าง ๆ อย่างพร้อมเพรียงก็ตาม ดังนั้นจึงขอให้ใช้ความเร็วอยู่ในย่าน 80-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงเท่านั้น ห้ามแซง, ห้ามขับเข้าฝุ่นที่คันหน้าสร้างไว้ แต่ก็ห้ามทิ้งห่างจนเกินไป (เพราะไม่งั้นอาจหลง หรือเดินทางเกินกำหนดได้) ถ้าต้องการหยุด ให้แจ้งผ่านทางวิทยุ แล้วคันนำจะพาหยุดเอง หลังจากกำชับกันเรียบร้อย ก็ออกเดินทางกันได้เลย

Chevrolet

Chevrolet

ช่วง 2-3 กิโลเมตรแรก ถนนที่เดินทางไป ยังเป็นถนนลาดยางอยู่ แต่จากนั้น เราก็เริ่มเข้าสู่เส้นทางฝุ่นกันเลย ฝุ่นมันฟุ้งมากครับ มากถึงขนาดต้องทิ้งระยะห่างกันซัก 200-300 เมตรได้ ไกลมาก เลยถามกับ Sean ที่นั่งมาในรถคันเดียวกับเราว่า ปกติแล้วฝนตกบ่อยไหม Sean บอกว่า ปีนึงจะตกอยู่ไม่กี่ครั้ง แต่ถ้าตกแล้ว ก็มีโอกาสมีน้ำหลากได้เช่นกัน บางแห่งแล้งเป็นปี หรือบางทีก็อาจจะถึง 2 ปี ก็เลยเป็นเขตที่ไม่ค่อยมีคนอยู่มากนัก มีสัตว์ไม่กี่อย่างที่สามารถอาศัยอยู่ในแถบนี้ได้ (Dingo คือ 1 ในนั้น) เชื่อมั้ยว่านานน๊าน จะมีรถสวนมาซักคัน เราขับไปร่วม 200 กิโลเมตร มีรถสวนขบวนของเราไม่น่าเกิน 10 คันเท่านั้น เนื่องจากเมืองที่เราจะไปนั้น มีคนอยู่ไม่มาก และไม่ค่อยจะเดินทางย้อนมาทางนี้ในวันธรรมดาสักเท่าไหร่ แต่ลองดูเป็นช่วงวันหยุดสิ คึกคักมากกว่านี้แน่นอน

Chevrolet

ระหว่างทางที่ได้ขับ Chevrolet Colorado บนถนนแบบนี้ แบบที่ไม่เคยขับมาก่อนจริง ๆ บอกได้ว่า มันค่อนข้างขับยากครับ ช่วงทางตรงไม่เท่าไหร่ แต่ช่วงที่ต้องเข้าโค้งเนี่ย รถมันพร้อมจะไถลได้ตลอดเวลา ด้วยกรวดที่เราย่ำไปนั้น ก้อนมันใหญ่ครับ ใหญ่กว่าดินลูกรังบ้านเรา เลยทำให้ไม่หน้า ก็ท้าย พร้อมจะเซถลาได้ทุกเมื่อ เรารู้สึกได้เลยว่า ระบบที่ติดมาในรถ ไม่ว่าจะเป็น ESC, TCS หรือ EBD ทำงานช่วยเราควบคุมรถอยู่ตลอดทาง ทำให้ขบวนพวกเรานั้น เดินทางกันได้อย่างปลอดภัย

Chevrolet

Chevrolet

ขับมาได้ประมาณครึ่งทาง เราก็ได้มาแวะพักกันที่ Painted Desert ซึ่งเป็นอีกจุดท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมอย่างมากในแถบบริเวณนี้ โดยพื้นที่แถบนี้ จะคล้ายกับที่ Breakaways Conservation Park คือมีผืนดินทะเลทรายอันกว้างใหญ่ แต่มีภูเขาลูกใหญ่แทรกขึ้นมาตามจุดต่าง ๆ แต่แถวนี้จะมีสีสันมากกว่า เกิดขึ้นจากการทับถมของชั้นผิวใต้ท้องทะเลมากกว่า 80 ล้านปี โดยช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่จะเขาชมคือช่วงเวลาที่มีแสงแดดจ้า จะสามารถมองเห็นทิวเขาหลากสีอันสวยสดงมงาม อาทิ สีเหลือง สีแดง สีน้ำตาลเข้ม สีขาว และสีดำ (อันนี้เขาเล่าให้ฟัง) แต่ด้วยความโชคร้ายของพวกเรา เจอเข้ากับก้อนเมฆปกคลุมหนาแน่นตลอดทั้งท้องฟ้า ทำให้แสงนั้นไม่อาจสาดส่องลงมาถึงผืนดินได้อย่างเต็มที่ เราเลยได้แต่ชื่นชมทัศนียภาพไปตามสภาพ แต่ก็ถือว่า ยังเป็นพื้นที่ ที่มีความสวยงามอย่างมากอยู่ดี

Chevrolet

Chevrolet

อ่ะ พักผ่อนจิบน้ำ Ginger ale (น้ำขิงบรรจุขวด) กันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็เริ่มออกเดินทางกันต่อได้ เส้นทางในช่วงนี้ ดูจะมีภูเขามากกว่าช่วงที่ผ่านมา มีช่วงที่เป็นดงไม้เพิ่มมากขึ้นด้วย ทำให้พวกเราเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แตกต่างกับในช่วงแรกที่พบเห็นเป็นทะเลทรายซะเป็นส่วนใหญ่ เราเดินทางมาได้อีกสักพักใหญ่ ในที่สุด พวกเราก็เดินทางมาถึงเมือง Oodnadatta จนได้ และในที่สุด ก็มาถึงจุดหมายปลายทางของเราวันนี้เรียบร้อยแล้ว

Chevrolet

Chevrolet

Australia

Oodnadatta เป็นเมืองเล็ก ๆ ที่มีประชากรอยู่เพียง 277 คน จากการสำรวจเมื่อปี 2006 (ตึกสำนักงานผมยังคนเยอะกว่า) เป็นเมืองที่แทบจะอยู่ตรงกึ่งกลางของประเทศอยู่แล้ว มีพื้นที่ 7,800 ตารางกิโลเมตร (เท่ากับ จ.อุตรดิตถ์) แต่เอาเข้าจริง จะมีพื้นที่เมืองอยู่เพียงนิดเดียว ที่เหลือจะเป็นพื้นที่ว่างเปล่า อยู่ห่างจากเมืองหลวงอย่าง Canberra ประมาณ 2,000 กิโลเมตร หรืออยู่ห่างจากเมือง Adelaide ราว 1,000 กิโลเมตรเมื่อเข้าไปอยู่ตรงนั้น ความรู้สึกเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปสมัย Cowboys ของทางฝั่งอเมริกา เพราะบ้านส่วนใหญ่ทำจากไม้ วางเรียงรายกันแบบห่าง ๆ รถแทบไม่มีวิ่ง คนก็หาแทบไม่เจอ มีลมพัดฝุ่นเข้ามาเป็นระยะแบบเบาบาง โดยเมืองนี้ถูกระบุว่า เป็นเมืองนี้เป็นเมืองที่มีอากาศร้อน และได้รับการบันทึกว่าเป็นเมืองมีอุณหภูมิสูงที่สุดในประเทศออสเตรเลีย เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 1960 ที่อุณหภูมิ 50.7 องศาเซลเซียส จนมีป้ายปักเอาไว้ว่า “ที่นี่เป็นเมืองที่ร้อนที่สุด เป็นรัฐที่แห้งแล้งที่สุดของทวีป”

Chevrolet

ถึงแม้ว่า Oodnadatta จะเป็นเพียงเมืองเล็ก ๆ แต่ชื่อเสียงของแฮมเบอร์เกอร์เนื้อ หรือที่เขาเรียกกันว่า OODNABURGER นั้น ดังกระฉ่อนไปทั่วทั้งประเทศ มาจากร้านใหญ่ในเมืองที่ชื่อว่า The Pink Roadhouse ที่ใครมาเมืองนี้เป็นต้องแวะกันสักหน่อย นอกจากเป็นร้านอาหาร, ร้านขายของชำ, ที่ทำการไปรษณีย์ ยังเป็นปั๊มน้ำมันอีกด้วย หรือใครสนใจจะพักที่นี่ ก็มีพื้นที่เอาไว้ให้จอดรถบ้าน และพื้นที่ให้กางเต็นท์ได้ เรียกได้ว่า แค่ร้านเดียวก็สามารถบริการให้คุณได้ทุกสิ่งอยู่แล้ว ส่วน OODNABURGER นั้น อร่อยสมคำเล่าลือจริง ๆ ครับ ขนมปังนุ่ม ตัวเนื้ออร่อย ชิ้นหนามากกกก เสิร์ฟมาพร้อมเฟรนซ์ฟรายชิ้นใหญ่มากินเป็นเครื่องเคียง จานเดียว อิ่มยันเย็น

Chevrolet

Chevrolet

Chevrolet

หลังจากซัดมื้อเที่ยงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ได้ถึงเวลาเดินทางกลับเสียที โดยการเดินทางนั้นก็เป็นเส้นทางเดิมที่เราเดินทางมา แวะที่เดิม และเดินทางมุ่งหน้าสู่ที่พัก โดยวันนี้ทางทีมงาน GM ได้บอกว่า เย็นนี้จะมีเซอร์ไพรซ์ให้พวกเราได้แปลกใจในมื้อเย็น ซึ่งพวกเราก็เดากันไปต่าง ๆ นา ๆ ว่าจะเป็นอะไร (เดากันทั้ง ย่าง Dingo ให้กิน, จับพวกเราแต่งตัวเป็นชาวเผ่า, แคมปิ้งกลางทะเลทราย) แต่สุดท้ายแล้ว ก็คือการพาพวกเราไป Dinner ที่ใต้ดิน ที่เคยเป็นเหมืองเก่านั่นเอง โดยอาการค่ำนี้ จะออกแนวภารตะนิดหน่อย (จำไม่ได้แล้วว่าเมนูอะไรบ้าง) แต่ก็อร่อยดี บรรยากาศก็แปลกกว่าที่เคยเจอมาก่อน เมื่ออิ่มกันเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็เดินทางกลับ เพื่อพักผ่อนกัน โดยคืนนี้จะเป็นคืนสุดท้ายของพวกเราชาวไทย ที่จะได้พำนักอยู่ในออสเตรเลีย

Chevrolet

Chevrolet

Chevrolet

Chevrolet

เช้าวันสุดท้าย ยังคงเหลืออีก 1 คิวในการเดินทางไปยัง เหมืองแร่โอปอลของทอม (Tom's Working Opal Mine) ตั้งอยู่ห่างจากเมือง Coober Pedy ราว 2 กิโลเมตร ยังคงเป็นเหมืองที่ใช้งานอยู่ แต่เน้นเพื่อการท่องเที่ยวเสียเป็นส่วนใหญ่ ที่นี่ใช้เครื่องมือทำเหมืองจริงและมีประสบการณ์ในการขุดเหมืองหาแร่โอปอล เครื่องมือบางชิ้นที่ใช้ขุดเหมือง ได้แก่ แท่งไม้ค้นหาแหล่งน้ำ คานไม้ยกเพดาน และพลั่วตักหินในพื้นที่สุญญากาศ โดยเจ้าของเหมืองที่นี่เป็นคู่สามีภรรยาที่เป็นคนท้องถิ่น พวกเขาเป็นมิตรและมีความรู้ในการทำเหมืองแร่เป็นอย่างดี เป็นเหมืองเก่าแก่ที่ได้รับการบูรณะเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เข้าเยี่ยมชมการทำเหมืองแร่ในท้องถิ่นและเรียนรู้วิธีการขุดหาโอปอลใต้ดิน ทำให้เราได้เห็นวิธีการหาสายแร่, วิธีการระเบิดถ้ำ, การค้นหาโอปอล และอื่น ๆ อีกมากมายหลายอย่าง เป็นทัวร์ปิดทริปที่สมบูรณ์แบบจริง ๆ

Chevrolet

Chevrolet

ในที่สุด พวกเราชาวคณะ Holden Colorado VS The Outback ที่ประเทศออสเตรเลีย ก็จบลงแล้ว พวกเราต้องเดินทางโดยเครื่องบิน 3 ทอด เริ่มจากสนามบิน Coober Pedy ไปลงที่สนามบิน Adelaide (ประมาณ 2 ชั่วโมง) จากสนามบิน Adelaide ไปลงที่สนามบินเมลเบิร์น (ประมาณ 1 ชั่วโมง) และบินจากสนามบินเมลเบิร์น บินตรงสู่สนามบินสุวรรณภูมิ (ประมาณ 8 ชั่วโมง) ซึ่งผมเองก็มีเรื่องตื่นเต้นเล็กน้อย เพราะกระเป๋าเดินทาง ช่วงที่รับจากสนามบินเมลเบิร์นเพื่อเปลี่ยนเอาไปขึ้นเครื่องของการบินไทย ปรากฎว่า กระเป๋าแตกจ้า แตกตรงมุมพอดิบพอดี เพิ่งบรรลุสัจธรรมที่ว่า ไม่ได้มีแต่ที่บ้านเราเท่านั้น ที่คนขนกระเป๋ามีพละกำลังมหาศาลประดุจช้างสารที่สามารถทำกระเป๋าให้แตกได้ (ขนาดของ Samsonite ของฝรั่งยังไม่รอด) เสียเวลาเพื่อเคลมไปนิดหน่อย แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดี

Chevrolet

Chevrolet

Holden Colorado VS The Outback ที่ประเทศออสเตรเลียครั้งนี้ ถือเป็นประสบการณ์ที่หาไม่ได้ง่าย เพราะพื้นที่อย่าง GM Holden Proving Ground และแผนกออกแบบของ Holden ที่สำนักงานใหญ่ของ GM ในเมลเบิร์น ไม่ได้เข้ากันได้แบบทั่วไป ต้องได้รับเชิญพิเศษเท่านั้นถึงจะเข้าได้ และการเดินทางไปผจญภัยแบบ Outback กลางทะเลทราย ด้วยรถทรงพลังทั้ง Chevrolet Colorado และ Trailblazer  ก็เป็นการเดินทางที่ผมเชื่อว่า มีเพียงคนไทยไม่กี่คนเคยไป จากการสอบถามเพื่อนพี่น้องที่ร่วมคณะกันมา ไม่เคยมีใครมีโอกาสเดินทางแบบนี้เลย งานนี้ต้องขอขอบคุณทาง เชฟโรเลต เซลส์ ประเทศไทย ที่มอบโอกาสดี ๆ แบบนี้ให้กับผมครับ และถ้ามีโอกาสได้ไปเที่ยวด้วยตัวเอง จะเดินทางไปให้ถึง Oodnadatta เพื่อไปกิน OODNABURGER ให้ได้แน่นอนครับ

Earthpark02

ติดตามข่าวสารรถยนต์รวดเร็วก่อนใครได้ที่ AUTODEFT.com

5 เรื่องน่าสนใจ