Hands On : New MG GS 1.5 Turbo SUV เครื่องเล็ก…แรงเกินรุ่นในราคาไม่ถึงล้าน

  • โดย : Autodeft
  • 4 มี.ค. 60
  • 47,522 อ่าน

MG GS น้องใหม่กลุ่ม Compact SUV มาพร้อมจุดเด่นเหนือกว่าเจ้าอื่นๆ ด้วยความแรง 218 แรงม้าจากเครื่องยนต์ 2.0 Turbo มีเสียงตอบรับที่ดีมาตลอดและเป็นรุ่นที่ส่งผลให้ MG เติบโตในตลาดรถเมืองไทย

MG GS

หลังทำตลาดมาได้ 1 ขวบ MG (Morris Garages) สานต่อความแรงเอาใจคนเมืองต้องการรถที่มีความกระฉับกระเฉงใช้งานว่องไวและค่าตัวสมเหตุสมผล จึงเป็นที่มาของขุมพลังเล็กแต่ใจใหญ่ 1.5 ลิตรพ่วงด้วย Turbo เป็นทางเลือกใหม่ใน MG GS โดยเผยอย่างเป็นทางการที่งาน Motor Expo 2016

หล่อเหลาสง่างามตามคอนเซปต์ Diamond Flow Design รูปลักษณ์ปราดเปรียว ไม่แตกต่างจากรุ่น 2.0 Turbo ตั้งแต่กระจังหน้าทรงเรียวเชื่อมต่อโคมไฟล้ำสมัยดุดันด้วยกันชนหน้าสีทูโทนพร้อมกรอบไฟตัดหมอกทรงเหลี่ยมและไฟส่องสว่างขณะขับขี่ในเวลากลางวัน Daytime Running Lights ลงตัวด้วยคิ้วขอบล้อและคิ้วชายล่างสีดำเพิ่มความบึกบึน กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว ไฟท้าย LED ให้ความสว่างชัดเจนพร้อมไฟเบรกดวงที่ 3 เพิ่มสุนทรียภาพในการขับขี่และการเดินทางด้วยหลังคารถสีดำเลือกได้ในบางสี พร้อม SUNROOF แบบสไลด์เลื่อนและกระดกขึ้นด้วยระบบไฟฟ้า เสาอากาศแบบ Shark Fin กล้องมองหลังอำนวยความสะดวกในการถอยจอดโดยทำงานร่วมกับสัญญาณกะระยะถอยหลังหรือ Parking Sensor แต่เพื่อความแตกต่างและสาวกจำง่ายจึงปรับออพชั่นให้เหมาะสม เริ่มที่ล้ออัลลอยเป็นแบบ 5 ก้านคู่และลดขนาดมาเป็น 17 นิ้วพร้อมยาง 215/60R17 ไฟหน้าเป็น Projector เพียวๆไม่มี HID และท่อไอเสียเดี่ยวไร้โครเมี่ยมเสริมความเด่น

MG GS

การเพิ่มเครื่องเล็ก 1.5 Turbo ส่งผลให้น้ำหนักตัวรถหายไป 82 – 182 กก. เป็น 1,460 กก. ความสูงหายไป 10 มม. เป็น 1,689 มม. และระยะต่ำสุดจากพื้นหายไป 11 มม. เป็น 174 มม. เมื่อเทียบกับรุ่นเครื่อง 2.0 Turbo แต่มิติตัวรถยังคงเดิมทั้งความยาว 4,500  มม. ความกว้าง 1,855  มม. ระยะฐานล้อ 2,650 มม. และความจุถังน้ำมัน 55 ลิตร

MG GS

ภายในไม่แตกต่างจากรุ่นเครื่อง 2.0 Turbo ด้วยโทนห้องโดยสารสีดำแต่วัสดุหุ้มเบาะนั้นกลับเป็นหนังสังเคราะห์หุ้มทั้งชิ้น มองผิวเผินอาจคล้ายเบาะหนังแท้แต่เอาเข้าจริงดูไม่สมราคาเสียเลย เบาะไฟฟ้าปรับได้แค่คนขับ 6 ทิศทางส่วนคนนั่งเป็นแบบปรับธรรมดา พร้อมโครงเบาะที่ใหญ่ให้ความสบายไม่เมื่อยล้าในการเดินทางไกลๆ เบาะนั่งตอน 2 พับแยกอิสระได้แบบ 60:40 รวมถึงที่พักแขนและที่มีที่วางแก้วน้ำในตัว จุดเรียกความสนใจได้คือ เบาะหลังที่สามารถปรับเอนได้ ถึง 14 องศาเมื่อผนวกกับ Headroom และ Legroom ขนาดใหญ่ ช่องแอร์ด้านหลังเพิ่มความน่าสนใจมากขึ้น

MG GS

MG GS

แผงหน้าปัดสีดำเน้นดีไซน์เหลี่ยมคมสลับกับเส้นสายโค้งมน ตกแต่งด้วยวัสดุ สีดำเงา Piano Black ตกแต่งแผงช่องแอร์ กับที่เปิดประตู ด้วยวัสดุสีเงิน ตัดกับสีดำได้อย่างลงตัว พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น 3 ก้านหุ้มหนัง ดีไซน์ใกล้เคียงกับ MG 5 ด้านซ้ายเป็นปุ่มควบคุมการทำงานชุดเครื่องเสียง แต่ด้านขวามือกลับไร้ปุ่ม แถมปรับสูง-ต่ำกับปรับยืดหดได้ 4 ทิศทาง สวิตช์ควบคุมความเร็ว Cruise Control กลับให้มาเป็นก้านอยู่ในตำแหน่งใต้ก้านสวิตช์ไฟเลี้ยวด้านซ้ายมือ สร้างความลำบากในการใช้งาน อย่างที่สุด พร้อมปุ่ม Push Start สะดวกในการสตาร์ทรถง่าย และ กุญแจรีโมทอัจฉริยะ Keyles Entry กดปุ่มเล็กๆที่ก้านเปิดประตูก็สามารถสั่งล็อก-ปลดล็อกได้

คอนโซลกลางมีแผงสวิตช์ควบคุมเครื่องเสียงกับเครื่องปรับอากาศ จับมารวมในแผงเดียวกันที่ยังสร้างความมึนงงในการใช้งาน เบรกมือไฟฟ้า EPB – Electronic Parking Brake หลังคอนโซลเกียร์เพียงแค่ดึงสวิตซ์เข้าเพื่อเปิดใช้งานและดึงอีกครั้งเพื่อปลดการใช้งาน เอาใจคนรักสบาย หน้าจอ Touch Screen พร้อม Navigation ขนาด 8 นิ้ว พร้อมลำโพง 8 ตัว ยังให้เสียงเพลงที่ทุ้ม สบายๆ เหมาะกับการเดินทาง รองรับมัลติมีเดียและเชื่อมต่อไร้สาย ที่ขาดไม่ได้คือระบบ InkaNet ระบบเทคโนโลยีสื่อสารอัจฉริยะ คอยแจ้งเตือนทุกอย่างเกี่ยวกับตัวรถแบบสดๆ ผ่าน Smart Phone เอื้อประโยชน์ผู้ขับขี่ไม่วาจะเป็น ตรวจสอบสถานะของรถยนต์, การแจ้งอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง, การเตือนความผิดปกติของตัวรถ, ระบบขอบเขตอิเล็กทรอนิกส์, การควบคุมการทำงานของรถยนต์, การตรวจวิเคราะห์รถยนต์ เป็นต้น

MG GS

ขุมพลังใหม่เจ้า MG GS เป็นเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบคนละบล็อกกับรุ่น MG 5 ขนาด 1.5 ลิตร รุ่น I5E4E ให้กำลังสูงถึง 167 แรงม้าที่ 5,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตรที่ 1,600-4,300 รอบ/นาที รองรับเชื้อเพลิง E85 ให้ค่า CO2 ต่ำเพียง 148 กรัม/กม. งานนี้มีเพียงรุ่นขับสองล้อหน้าเท่านั้น ระบบเกียร์อัตโนมัติคลัชต์คู่ TST – Twin Clutch Sportronic 7 สปีด  (คลัตช์ตัวแรกจะจับเกียร์เลขคี่ 1,3,5,7 ส่วนคลัตช์ตัวที่สองนั้นจะจับ เกียร์เลขคู่ 2,4,6) 

MG GS

MG GS

เมื่อปีกลาย MG ใช้เส้นทาง กรุงเทพฯ-อ.กรุยบุรี (ประจวบคีรีขันธ์) ปีนี้เพิ่มอรรถรสในการทดสอบที่หลากหลายจึงใช้เส้นทาง กรุงเทพฯ-อุดรธานี ระยะทางกว่า 600 กิโลเมตร ที่เต็มไปด้วยถนน 2 เลน 4 เลน เข้าหัวเมืองใหญ่สลับกันไป ผลงานเครื่อง 2.0 Turbo มีจุดอ่อนเรื่องรอรอบ 2 วิ ตอบสนองไม่ฉับไวในช่วงเร่งแซง แต่งานนี้รุ่นเครื่องเล็ก 1.5 Turbo ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมทุกด้านๆ เรียกกำลังได้อย่างทันใจ ทุกช่วงความเร็วรวมถึงการเร่งเซง ไม่ว่าจะเข้าโหมดเกียร์ D หรือ S เทอร์โบจะเซ็ตบูสต์ Turbo เพียง 0.9 บาร์เท่าเครื่อง 2.0 แต่เป็น Turbo คนละลูก น้ำหนักตัวรถลดลงไปเยอะตั้ง 82-182 กก. มีส่วนให้ตัวรถมีความว่องไวมากขึ้น ส่วนการเก็บเสียง นั้น ทำคะแนนดี พอๆกับเครื่อง 2.0 Turbo แต่พอความเร็วย่าน 100 กม./ชม. เป็นต้นไป จะมีเสียงลมเล็ดลอดเข้ามาบ้าง

การทำงานระบบเกียร์อัตโนมัติคลัชต์คู่  7 สปีด ถ้าจะเข้าโหมด ชิฟเปลี่ยนเกียร์ที่หลังพวงมาลัยโดยตรง ต้องขอแสดงความเสียใจด้วย เพราะมันไม่สามารทำงานได้  ต้องเข้า โหมด S และชิฟ +/- ได้ อย่างเดียวและแผงมาตรวัดจะเปลี่ยนสี จากขาวเป็นแดงทันที แต่ถ้าต้องการกลับเข้าโหมด S อย่างเดียว ต้องผลักมาที่เกียร์ D แล้วกลับเข้า โหมด S เช่นเดิม การทำงานของระบบเกียร์ลูกนี้ ตัวตนโดดเด่นกว่าเดิม การรับการส่งของแต่ละเกียร์ราบรื่น ไม่ติดขัดในทุกช่วงความเร็ว แต่ขอเตือนว่าอย่าเผลอเข้า โหมด S บ่อยๆเพราะจะมีผลในเรื่องการน้ำมันที่หดหายแบบไม่ทันตั้งตัว

MG GS

ช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบอิสระแม็คเฟอร์สันสตรัทพร้อมเหล็กกันโคลง และแบบอิสระมัลติลิงค์พร้อมเหล็กกันโคลงสำหรับด้านหลังถึงจะใช้ช่วงล่างแบบเดียวกับเครื่อง 2.0 Turbo  แต่การเซ็ตช่วงล่างกลับให้ความนุ่มนวลมากกว่าแอบเด้งๆบ้าง การเข้าโค้งทำผลงานได้ดีมากช่วงความเร็วสูงๆ แต่ติดตรงที่เมื่อนั่งด้านหลัง ช่วงล่างหลังกลับให้ความกระด้างนิดๆ ดูแล้วอาจไม่สบอารมณ์สำหรับญาติพี่น้องที่ต้องนั่งข้างหลัง ระบบพวงมาลัยพาวเวอร์แบบพวงมาลัยไฟฟ้า EPS น้ำหนักพวงมาลัยอยู่ในระดับกลางๆ และควบคุมดีในช่วงเข้าโค้ง

ระบบเบรกใช้ดิสก์เบรก 4 ล้อ พร้อม  ABS EBA และสารพัดระบบที่เกี่ยวข้องเหมือรุ่นเครื่อง 2.0 Turbo - ระบบควบคุมการเบรกขณะเข้าโค้ง CBC – Curve Brake Control ระบบป้องกันการไหลของรถโดยไม่ต้องเหยียบเบรกค้าง AVH – Auto Vehicle Holdระบบทำความสะอาดจานเบรกอัจฉริยะ BDC - Intelligent Brake Disc Cleaning ระบบเพิ่มแรงดันไฮดรอลิคเบรกให้เหมาะสม OHBV – Optimized Hydraulic Brake Servo  งานนี้กลับตาลปัตร จากเดิม เวลาเหยียบเบรกลึกหยุดรถไม่ค่อยทันใจเพราะขนาดเหยียบแป้นเบรกไปแล้ว 50 % ตัวรถออกอาการลื่นเกือบหวิดไปชนคันหน้า ต้องเหยียบถึง 60 % ถึงจะหยุด แต่งานนี้กลับเซ็ตเบรกให้หยุดทันใจขึ้นกว่าโดยเหยียบไป 40 %

MG GS

ปิดท้ายด้วยการสิ้นเปลืองน้ำมัน ด้วยการเป็นเครื่องเล็ก แต่เรี่ยวแรงให้สมรรถนะเหมือนเครื่อง 2.0-2.4  ลิตร ช่วงขับจากโนโวเทล สุวรรณภูมิ จนถึง ร้าน Starbucks Fast Fac และอีกช่วงตอนชัยภูมิถึงโรงแรมอาวานี่ ขอนแก่น สารภาพตรงๆเลยว่า เราเหยียบคันเร่งหนักไปหน่อยเพื่อเค้นกำลังรับรู้ว่าประสิทธิภาพจะเป็นอย่างไร ผลอัตราสิ้นเปลืองกลับทำได้ดีกว่าเดิม ทำได้ 9.2 -10 กม./ลิตร โดยเป็นตัวเลขจากมาตรวัด (รุ่น 2.0 Turbo ทำได้ 8-9 กม./ลิตร) นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมขับประหยัดน้ำมัน ระยะรวม 114 กม. โดยเติม E20 เต็มถัง เส้นทางจากตัวเมืองขอนแก่นที่กวดขันเรื่องจำกัดความเร็ว ออกนอกเมืองจนถึง ปั้มปตท ที่ ต.บ้านจั่น อุดรธานี ใช้ความเร็วได้พอสมควรประมาณ 100 กม./ชม. เมื่อถึงปั๊มน้ำมัน จัดการเติมแบบหัวจ่ายตัด เหมือนกันทุกๆคัน โดยคันที่ทดสอบใช้ระยะทางไป 110.2 กม. เติมกลับเข้าถัง 6.17 ลิตร ผลออกมาเป็น 17.86 กม./ลิตร ถือว่าตัวเลขที่น่าพอใจ

MG GS

การตั้งราคาไม่ถึงล้านบาทกับออพชั่นยกชุดมาจากเครื่อง 2.0 Turbo ทั้งเบาะหลังปรับเอนได้ 14 องศา  ระบบการสื่อสาร Inka Net จอสัมผัส 8 นิ้ว และ หลังคา SUNROOF สร้างความโดดเด่นขึ้นมาทันที ผนวกกับเครื่องยนต์ใหม่ 1.5 Turbo ทำคะแนนดีทุกๆด้าน ทั้งความว่องไวคล่องแคล่วมีให้เห็นในทุกช่วงความเร็ว และความประหยัดนำมั้นที่ไปวัดไปวาได้ กลายเป็นจุดสำคัญที่ทำให้คนตัดสินใจซื้อง่ายขึ้นสำหรับ New MG GS 1.5 Turbo SUV แรงแบบที่ใครก็ให้ไม่ได้

 

เรื่องและขับทดสอบโดย สุกิจ เลิศธนะแสงธรรม (นายเต้ย)

 

ขอบคุณ บริษัท เอ็มจี เซลล์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่เชิญทีมงาน  Autodeft.com เข้าร่วมกิจกรรมทดสอบรถยนต์ New MG GS 1.5 Turbo

รถทดสอบ New MG GS 1.5 Turbo

- รุ่น 1.5 D  ราคา 890,000 บาท

- รุ่น 1.5 X  ราคา 990,000 บาท

MG GS

 

ติดตามข่าวสารยานยนต์ รวดเร็วก่อนใคร ได้ที่ Autodeft.com 

 

5 เรื่องน่าสนใจ