บุกสวนผึ้งกับ Nisssan X-Trail Hybrid ภาคจบ

  • โดย : พิสน ลีละหุต
  • 10 ก.พ. 59
  • 7,825 อ่าน

ทีมงาน ไปป่ะล่ะ ควบ Nissan X-Trail Hybrid พาเที่ยวสาวนผึ้ง จ.ราชบุรี ตามแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติที่หลายคนไม่เคยไป

หลังจากตอนแรกที่ได้ไปพักผ่อนชิวๆที่สวนผึ้งกันแล้ว “ไปป่ะล่ะ” ก็ตั้งใจหมายไว้ว่า จะเอา Nissan X-Trail Hybrid ปีนขึ้นไปชมพระอาทิตย์ตกที่เขากระโจมซักหน่อย แถมยังตั้งใจว่าจะแวะที่ น้ำตกผาแดง ตรงระหว่างทางก่อนถึงยอดเขากระโจมอีกด้วย

ซึ่งก่อนจะขึ้นไป ก็ได้โทรปรึกษากับผู้ที่เคยขึ้นไปแล้วอย่าง บอน Autodeft แล้วว่า จะเอา Nissan X-Trail Hybrid ขึ้นไป จะได้มั้ย เจ้าบอนตอบกลับอย่างมั่นใจเลยว่า “โอ๊ย สบายพี่ ผมขึ้นมาแล้ว”

จากนั้นก็แนะนำจุดควรระวังกันเรียบร้อย เมื่อเลี้ยวเข้าถนนเส้นที่ตัดเข้าไปเขากระโจม ก็พบด่านของเจ้าหน้าที่ก่อน ผมเองก็เตรียมจะไปชำระค่าขึ้น พี่เจ้าหน้าที่ก็ทักว่า

“น้อง พี่ว่ามันขึ้นไม่ได้นะ ไม่น่าจะไหว”

“แต่ผมคุยกับเพื่อนแล้ว เขาเคยขึ้น บอกว่าไหวนะพี่”

“แต่รถน้องมันเตี้ยไป พี่กลัวว่ากันชนน้องจะแตกเอานะ”

“แต่เพื่อนเคยเอาขึ้นนะพี่ รถสูงกว่านี้นิดเดียวเอง”

คุณพี่เจ้าหน้าที่เดินมาก้มดูแล้วบอกว่า

“รถสวยนะ เป็น 4WD ใช่มั้ย”

“ครับพี่”

“ลองดูละกันครับ ถ้าไปไม่ได้ก็ลงมาเนอะ (ไปไม่ได้ก็ต้องลงมาสิพี่) ค่าเข้า 100 บาทครับ”

ผมก็เลยจ่ายเงินไป พร้อมกับนำรถขึ้นไปพร้อมกับความมั่นใจ หลังจากผ่านทางลาดยางมาได้ประมาณ 2 กม. ก็เจอด่านแรกก่อนเลยครับ จริงๆก็เป็นถนนนี่แหละ แต่ว่าเป็นถนนที่พังแล้ว มีหลุมลึกกลางถนน ดูท่าแล้วตกลงไปก็อาจจะติดได้เหมือนกัน

ผมกับน้อง TopTaro ที่ไปด้วยกันมองหน้า แล้วน้องก็ถามว่า “จะไปได้มั้ยพี่” ผมก็บอกว่า “ไม่รู้สิ แต่บอนบอกไปได้นะ” ผมก็เลยตัดสินใจลงจากรถ แล้วไปดูไลน์ให้ บอกได้เลยครับว่า ผ่านมาได้อย่างเฉียดฉิว กันชนหน้าผ่านได้แบบห่างกับหินไม่เกิน 2 ซม.

เรา 2 คนเริ่มมั่นใจแล้วว่า แค่นี้สบาย Nissan X-Trail Hybrid เอาอยู่แน่นอน แต่ขึ้นมาอีกแค่ 200 เมตร ก็เจอด่านที่ 2 ซึ่งถนนพังหนักกว่าจุดแรก 2 เท่าตัวได้ เรา 2 คนมองหน้ากันอีกครั้งแล้วพูดพร้อมกันว่า “กลับเถอะ” เพราะถ้าฝืนต่อไป อาจจะต้องเรียกเจ้าหน้าที่มาให้ช่วยลากรถแหงๆ

หลังจากกลับรถเพื่อหันหน้าลงมา บนถนนสายแคบๆอย่างทุลักทุเล มาถึงจุดแรกที่เราผ่านมาได้ ผมก็ลงไปดูไลน์ให้เหมือนเดิม แต่คราวนี้ไม่เหมือนเดิมตรงที่ว่า เมื่อเอาหน้าลงก่อน กันชนรถจะกระแทกกับก้อนหินกลางถนนแน่นอน และประเมินแล้วไม่น่าจะผ่านได้แน่ๆ

ในใจผมนึกเลยว่า “เอาไงดีหว่า หรือจะเรียกเจ้าหน้าที่มาช่วยดี” ยืนปรึกษากันอยู่ 2 คนซักครู่ จึงเกิดนิมิตว่า เราควรจะหาหินมาถมในหลุม จะได้ผ่านได้ จึงเดินไปหาก้อนหินขนาดซักกำปั้นมาถมในหลุมให้สูงขึ้น แล้วค่อยให้ Nissan X-Trail Hybrid ไต่ผ่านหลุมได้อย่างปลอดภัย

สรุปว่าทริปนี้ ที่เที่ยวของเรา ณ สวนผึ้งหายไปทันที่ 2 ที่ครับ บอกได้เลยว่าเจ็บใจมาก สาบานไว้ว่าวันหลังจะเอารถที่สูงกว่านี้ขึ้นไปให้ได้แน่นอน

 

*ขอบคุณภาพเขากระโจมกับน้ำตกผาแดงจาก www.เที่ยวราชบุรี.com

แต่ไม่ต้องห่วงครับ เพราะเรายังมีที่เที่ยวเพื่อชมพระอาทิตย์ตกอีกแห่ง ที่หลายคนไม่ค่อยนึกถึง คือจุดชมวิวห้วยคอกหมู ทางขึ้นอยู่ทางเดียวกับที่ไปแก่งส้มแมว มีป้ายบอกชัดเจน

ระยะทางจากถนนถึงยอด อยู่ประมาณ 8 กม. เป็นถนนลูกรังตลอดเส้นก็จริง แต่เป็นถนนที่เรียบ ขับไม่ยาก

ถึงจะเป็นการขับขึ้นอย่างเดียวไม่มีจังหวะลงให้เครื่องยนต์ได้พัก แต่กำลังของ Nissan X-Trail Hybrid ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง กดรวดเดียวพาเราถึงจุดหมายได้อย่างสบายเลย ตามแผนที่นี้ครับ


จุดชมวิวห้วยคอกหมูนี้ จริงๆแล้วเป็นจุดตั้งของหน่วยเฝ้าระวังชายแดนของ ตชด. โดยจะเป็นรอยต่อของประเทศไทยกับประเทศเมียนมาร์ มีจุดจอดเฮลิคอปเตอร์ที่สามารถใช้เป็นจุดกางเต็นท์ได้

จากการสอบถามเจ้าหน้าที่บอกว่าไม่มีค่ากางเต็นท์ แต่ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ไว้ก่อนเพื่อความปลอดภัย ส่วนห้องน้ำใช้งานได้ แล้วแต่ผู้ที่ใช้งานว่าจะช่วยบริจาคเงินสมทบทุนการดูแลความสะอาดเท่าไหร่เอง ซึ่งตรงเนินกางเต็นท์ จะเป็นจุดที่มองเห็นทิวทัศน์ด้านล่างของ อ. สวนผึ้งได้

และอีกจุดคือจุดชมวิวประเทศเพื่อนบ้าน ที่เป็นเหมือนรั้วไม้ยื่นออกไป ผมก็หันไปถามน้องที่เปิดร้านขายของตรงนั้นว่า

“ตรงไหนเป็นเมียนมาร์ครับ ใช้ยอดเข้าที่เห็นไกลๆนั่นป่าว”

“ไม่ใช่ครับพี่ พี่ข้ามรั้วไม้ไป ก็ถึงเมียนมาร์แล้วครับ”

ฮ่า เข้าทางเลย ผมเลยจัดการก้าวขาข้ามประเทศไปซะ 1 ก้าว (ไม่กล้าไปไกลกว่านี้ เดี๋ยวจะหลง) หลังจากชมวิวจุดนี้เสร็จ น้องคนเดิมบอกว่า “พี่ เดินไปทางนี้ดิ เป็นจุดชมพระอาทิตย์ตก เหมือนเดิมนะพี่ เลยตรงธงชาติไทย ก็เป็นเมียนมาร์แล้วนะ”

ผมกับ TopTaro ก็เดินตามถนนเข้าไปประมาณ 200 เมตร ก็ได้พบความสวยงามของธรรมชาติอีกมุม ซึ่งเป็นสมบัติของประเทศเพื่อนบ้านทั้งสิ้น

บอกได้เลยครับว่า บรรยากาศดีมากๆ อากาศก็ดี ถึงด้านล่างจะอุณหภูมิก่อนขึ้นมาประมาณ 33 องศา

แต่ถึงยอดเข้าตรงจุดชมวิว อากาศเย็นสบายเหลือประมาณ 26-28 องศาได้ ลมพัดโชยพร้อมชมแสงสุดท้ายของวัน ที่กำลังเยื้องย่างลงสู่ซอกเขาเพื่อหลบหลังต้นไม้อันเขียวชอุ่ม

ถ้าใครได้มาชม จะอิ่มเอมหัวใจและร่างกายจะได้สูดอากาศแบบสุดสดชื่นเต็มที่แน่นอนครับ

สุดท้ายอยากแถมนิดนึงว่า ที่สวนผึ้ง เขาเอาใจคนชอบปั่นจักรยานกันเต็มที่ครับ โดยมีหลายเส้นที่ได้ขีดเส้นสำหรับรถจักรยานแล้ว (แต่หลายจุดยังเป็นการแบ่งใช้กับรถปกติอยู่) ซึ่งจุดตรงนี้จะแบ่งเส้นให้จักรยานอย่างชัดเจน แต่จะไม่ไกลมาก ประมาณแค่ 1-2 กม.เท่านั้น

คนที่รักการปั่นชมธรรมชาติ ก็ลองไปกันได้ครับ เกือบทุกจุดของสวนผึ้ง มีป้ายเตือนให้ระวังจักรยานแล้ว ก็น่าจะช่วยเรื่องความปลอดภัยได้ระดับหนี่งครับ

 

อย่างที่บอกไว้ในตอนแรกว่า ที่ อ. สวนผึ้ง ไม่ได้มีเฉพาะสิ่งปลูกสร้างที่ไว้ดึงดูดนักท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ยังมีแหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติอีกมากมายที่ถูกหลายคนมองข้ามไป

“ไปป่ะล่ะ” ไม่อยากให้ทุกคนพลาด จึงอยากชวนทุกคนไปลองสัมผัสพลังความสวยงามของสวนผึ้งกันครับ

Earthpark02

CR : http://www.paipala.com/travel/ไป-สวนผึ้ง-ป่ะล่ะ-ตอนจบ

ติดตามข่าวสารรถยนต์รวดเร็วก่อนใครได้ที่ AUTODEFT.com

5 เรื่องน่าสนใจ