เลือกน้ำมันเครื่องแบบไหน ให้ตรงกับความต้องการของรถคุณและตัวคุณ

  • โดย : พิสน ลีละหุต
  • 10 ก.ย. 61
  • 47,482 อ่าน

หน้าที่สำคัญในการใช้รถยนต์สักคันหนึ่ง นอกจากจะต้องผ่อนรถยนต์ให้ตรงเวลา เติมน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อให้รถขับเคลื่อนไปได้แล้ว ยังต้องมีการบำรุงรักษาชิ้นส่วนต่างๆตามระยะทางที่กำหนดเอาไว้ด้วย โดยเฉพาะเรื่องของน้ำมันเครื่อง ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่คนเป็นเจ้าของรถต้องใส่ใจเป็นพิเศษ เพราะมันหมายถึงสมรรถนะและอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ที่จะดีหรือไม่ดีได้เลย

Valvoline

Valvoline

รอบนี้ผมได้นำ Nissan Teana เป็นรถปี 2015 เครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.0 ลิตร 4 สูบ ใช้งานมาแล้วประมาณ 30,xxx กิโลเมตร ซึ่งถือว่าเป็นรถใช้น้อย สภาพก็ยังถือว่ายังดีอยู่มาก แต่เปลี่ยนน้ำมันเครื่องล่าสุดตั้งแต่เมื่อยังไม่ถึง 20,000 กิโลเมตร ซึ่งหมายความว่า น้ำมันเครื่องถูกใช้งานมามากกว่า 10,000 กิโลเมตรแล้ว จากการขับขี่ก็ถือว่า ยังคงอัตราเร่งได้ใกล้เคียงรถใหม่ แต่จะมีเพียงช่วงที่ต้องการกำลังของเครื่องเยอะๆเพื่อเร่งแซงในบางจังหวะ จะพอรู้สึกได้เลยว่า มันเริ่มพุ่งตัวออกไปได้ช้ากว่าที่เคย และตอนจอดนิ่งในรอบเดินเบา รู้สึกได้ว่าเครื่องมีอาการเดินไม่ค่อยเรียบ มีอาการสั่นเล็กน้อย อันนี้ยังไม่ยืนยันว่ามาจากน้ำมันเครื่องหมดสภาพการใช้งานแล้วหรือไม่ เราจึงต้องลองดูใหม่อีกครั้งหลังการเปลี่ยนอีกที

Valvoline

วันนี้ผมเลือกไว้ว่าจะเดินทางไปเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องที่ศูนย์บริการสุมิตรการช่าง เป็นศูนย์บริการตัวแทนอย่างเป็นทางการของวาโวลีนที่ตั้งอยู่แถว ถ.บางบัวทอง-บางพูน ปทุมธานี เพราะผมเองมีนัดไว้กับพี่สุมิตรชัย จิรรัตน์พิทักษ์ ที่เป็นเจ้าของอู่แห่งนี้ เพราะอยากจะขอคำปรึกษาเรื่องการเลือกใช้น้ำมันเครื่องให้เหมาะกับรถและการใช้งานของเรามากที่สุด ว่าจะต้องดูอะไรบ้าง

Valvoline

หลังจากไปถึงแล้ว พี่สุมิตรชัย ก็ให้การต้อนรับอย่างดี โดยมีคำแนะนำว่า เบื้องต้นก็ควรดูก่อนว่า รถของเรานั้นใช้เชื้อเพลิงประเภทไหน เพราะน้ำมันเครื่องแต่ละแบบ ก็จะเหมาะสมกับการใช้งานกับเครื่องยนต์ที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นเบนซิน, ดีเซล, NGV หรือ LPG ก็มีผลกับการเลือกใช้งานทั้งนั้น ต่อมาก็คือ เกรดน้ำมันเครื่องที่เหมาะกับการใช้งาน ซึ่งในตลาดส่วนใหญ่แล้ว จะถูกแบ่งออกมาเป็นทั้งหมด 3 เกรด นั่นก็คือ

น้ำมันเครื่องทั่วไป สามารถใช้งานได้ประมาณ 5,000 - 8,000 กิโลเมตร ขึ้นอยู่กับการใช้งาน

น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ ซึ่งมีคุณภาพสูงขึ้นมา มีอายุการใช้งานราว 8,000 - 10,000 กิโลเมตร ขึ้นอยู่กับการใช้งาน

สังเคราะห์แท้ 100% เป็นเกรดที่ดีที่สุด จะมีอายุการใช้งานได้สูงถึง 10,000 - 12,000 กิโลเมตร

Valvoline

พี่สุมิตรชัยได้แนะนำอีกว่าว่า ต่อมาที่ต้องดูก็คือ ตัวมาตรฐานของน้ำมันเครื่อง โดยจะมีการกำหนดมาตรฐานในน้ำมันเครื่อง จะแบ่งใหญ่ๆ เป็นของเบนซินและดีเซล ดูได้จากตรงที่มีเขียนระบุไว้ว่าเป็น API (American Petroleum Institute) อะไร อย่างน้ำมันเครื่องของเบนซิน ปัจจุบันมีเกรดสูงสุดในตลาดอยู่ที่ API SN และของดีเซลก็จะเป็น API CK-4 ซึ่งมีระดับการปกป้องเครื่องยนต์ที่ดีมาก และเหมาะสมกับเครื่องยนต์ที่ต้องการสมรรถนะสูงในยุคปัจจุบัน ตัวต่อมาที่ต้องดูก็คือ ตัวเลข SAE หรือ Society of Automotive Engineers ซึ่งจะเป็นตัวเลขที่บ่งบอกความหนืดของน้ำมันเครื่องตัวนั้น อย่างเช่น 5W-30 ตัวเลข 5 นั้น หมายถึง ระดับอุณหภูมิต่ำที่ตัวน้ำมันเครื่องจะยังคงสภาพไว้ได้ ยิ่งตัวเลขน้อย ยิ่งทำงานได้ในสภาพอุณหภูมิที่ต่ำ อย่างระดับเลข 5 จะสามารถคงสภาพไว้ได้จนถึง -30 องศาเซียลเซียสเลย แต่พี่สุมิตรชัยก็แนะนำว่า ตัวเลขนี้สำหรับในเมืองไทยแล้ว ไม่สำคัญเท่าไหร่ เพราะประเทศไทยไม่เจออุณหภูมิติดลบ ต่อให้ใส่เป็นระดับ 20W ก็ยังสามารถคงสภาพได้ถึง 0 องศาเซียลเซียสอยู่ดี แต่ให้ใส่ใจที่ตัวเลขหลัง ที่ตามตัวอย่างคือเลข 30 นั่นเอง เพราะเลขตัวนี้เป็นการบ่งบอกถึงค่าความหนืดที่อุณหภูมิสูง ยิ่งเลขมาก น้ำมันเครื่องก็ยิ่งหนืดมาก ตัวนี้แหล่ะที่เราต้องเลือกให้ตรงกับเครื่องยนต์และการใช้งานของเรา

Valvoline

ทีนี้ ผมก็ถามว่า แล้วเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร ที่ใช้งานมาระดับ 30,xxx กิโลเมตรเนี่ย เหมาะกับน้ำมันเครื่องแบบไหน พี่สุมิตรชัยเลยแนะนำว่า เบื้องต้นต้องศึกษาข้อมูลจากคู่มือประจำรถก่อนว่า แนะนำให้ใช้น้ำมันเครื่องมาตรฐานอะไร เบอร์ความหนืดที่เหมาะสมควรเป็นเท่าไหร่ สำหรับรถยนต์ที่ใช้งานส่วนตัว และยังไม่มีการใช้งานมาก ส่วนใหญ่แล้วเครื่องยนต์จะยังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์อยู่ และเครื่องยนต์เบนซินที่มีขนาดระดับ 2.0 ลิตร ก็จะมีการใช้งานด้านสมรรถนะสูงอยู่บ้าง จึงอยากแนะนำให้ใช้น้ำมันเครื่องที่สามารถรีดสมรรถนะของเครื่องยนต์ได้มากที่สุด ในขณะเดียวกันก็ต้องมีการปกป้องชิ้นส่วนของเครื่องยนต์ได้สูงสุดไปพร้อมกัน แนะนำให้ใช้เป็น Valvoline SynPower SAE 5W-30 น้ำมันเครื่องสังเคราะห์แท้ 100% คุณภาพสูง สำหรับเครื่องยนต์เบนซินที่ต้องการสมรรถนะและการปกป้องสูงสุด ได้รับมาตรฐาน API SN, ILSAC GF-5 โดยในน้ำมันเครื่องตัวนี้จะมีส่วนผสมของ POLY ALPHA OLEFINS (PAO) ซึ่งเป็นกลุ่มน้ำมันพื้นฐานที่มีคุณภาพสูงสุด และมีค่าดัชนีความหนืดสูงที่สุด น้ำมันทนต่อความร้อนได้สูง ช่วยปกป้องเครื่องยนต์และป้องกันการสึกหรอของเครื่องยนต์ได้อย่างดีเยี่ยมทุกรูปแบบการขับขี่ ไม่ว่าจะขับแบบเรียบร้อยความเร็วต่ำ หรือกดคันเร่งแบบเต็มที่ในความเร็วสูง ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูงของวาโวลีน นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันการเกิดคราบสกปรก มีอายุการใช้งานยาวนานกว่าน้ำมันหล่อลื่นทั่วไป และช่วยรักษาชิ้นส่วนของเครื่องยนต์ให้สะอาดอยู่เสมอ ทำให้อายุการใช้งานของเครื่องยนต์ก็นานขึ้นตามไปด้วย

Valvoline

ข้อสงสัยต่อมาของผมก็คือ ผมได้เห็น Valvoline SynPower ในเบอร์ SAE 5W-40 ด้วย แต่ทำไม่พี่สุมิตรชัยถึงเลือกแนะนำเป็นเบอร์ 5W-30 พี่สุมิตรชัยเลยบอกว่า เนื่องจากเครื่องยนต์ตัวนี้ยังมีอายุการใช้งานไม่มาก การสึกหรอของเครื่องยนต์ยังไม่มาก จึงยังไม่จำเป็นที่ต้องใช้งานในเบอร์ที่สูงกว่าที่คู่มือแนะนำ เพราะอาจจะทำให้เครื่องยนต์มีอาการอืดมากขึ้นโดยไม่จำเป็น แต่ในกรณีที่เกิดใช้งานไปในระยะทางที่มากกว่านี้ อาจจะในระดับ 95,000 กิโลเมตรขึ้นไป ชิ้นส่วนต่าง ๆ อาจจะมีอาการสึกหรือ โดยเฉพาะในจุดที่เป็นกระบอกสูบ, ลูกสูบ, แหวนลูกสูบ เป็นต้น เมื่อเราเพิ่มเบอร์ความหนืดเข้าไป หมายถึงเราจะเพิ่มความหนาของฟิล์มที่ไปเคลือบชิ้นส่วนพวกนี้ ช่วยให้ไม่สูญเสียกำลังอัดจากแรงดันกระบอกสูบรั่วผ่านแหวนลงสู่ข้อเหวี่ยง ทำให้กำลังอัดของกระบอกสูบกลับมาแรงใกล้เคียงเดิมได้

Valvoline

Valvoline

หลังจากหมดข้อสงสัยแล้ว พี่สุมิตรชัยก็เลยจัดการให้ลูกน้องทำการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง Valvoline SynPower SAE 5W-30 ซะเลย ใช้เวลาไม่นานครับ

Valvoline

แน่นอนว่าขั้นตอนสุดท้ายก็คือ การทดลองขับดูว่า การทำงานของเครื่องยนต์ ระหว่างก่อนและหลังเปลี่ยน จะแตกต่างกันมากขนาดไหน อย่างแรกที่สังเกตุเห็นได้ก็คือ เครื่องยนต์มีการเดินเรียบมากกว่าเดิมในรอบเดินเบา อาการสั่นเล็กน้อยที่เจอก่อนหน้านี้หายไป ช่วงขับปกติไม่แตกต่างกันเท่าไหร่ แต่จะมาจับความรู้สึกได้ช่วงเร่งแซง มีกำลังมากกว่าเดิม ทำให้รถพุ่งได้เร็วและแรงกว่าเดิมเมื่อกดคันเร่งไปเต็มที่ เห็นได้ชัดเจนว่า แค่เราเลือกน้ำมันเครื่องที่มีคุณภาพสูง และเหมาะกับเครื่องยนต์ รวมถึงการใช้งานของเรา ก็สามารถเพิ่มความสนุกในการขับขี่ของเราได้แล้ว

Valvoline

พี่สุมิตรชัยได้บอกเอาไว้ก่อนจากกันมาว่า ถ้าปกติเจ้าของรถเป็นคนใช้งานขับขี่ในกรุงเทพเป็นหลัก อยากแนะนำให้นำรถกลับมาเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องใหม่อีกครั้งเมื่อใช้งานไปครบ 10,000 กิโลเมตร เพราะช่วงรถติด จะเป็นช่วงที่เครื่องยนต์ทำงานหนักมากกว่าช่วงที่รถวิ่ง จากอุณหภูมิที่สะสมในห้องเครื่องยนต์ แต่ถ้าใช้งานแบบวิ่งยาวๆเป็นส่วนใหญ่ ก็สามารถยืดระยะเวลาในการเปลี่ยนถ่ายเป็น 12,000 กิโลเมตรได้

Valvoline

การเลือกน้ำมันเครื่อง อาจจะเป็นเหมือนเรื่องไกลตัว ทำความเข้าใจได้ยาก แต่จริง ๆ แล้วถ้าเราเข้าใจถึงคุณสมบัติของน้ำมันเครื่องและรู้จักเครื่องยนต์ของเรา รวมถึงการใช้งานของเรา ก็จะไม่ใช่เรื่องยากเลย เพราะถ้าเราเข้าใจและสามารถเลือกใช้สิ่งดี มีคุณภาพสูงกับรถของเราเองได้ ก็จะช่วยให้รถของเรามีสมรรถนะยอดเยี่ยม และมีอายุการใช้งานที่นานกว่าทั่วไปได้เลยครับ

TopTaro

ติดตามข่าวสารรถยนต์รวดเร็วก่อนใครได้ที่ AUTODEFT.com

5 เรื่องน่าสนใจ