ถึงเวลาหรือยังกับกฎหมายบังคับติดกล้องหน้ารถยนต์
- โดย : พิสน ลีละหุต
- 4 มี.ค. 60 00:00
- 11,513 อ่าน
ช่วงนี้เราจะได้เห็นภาพอุบัติเหตุหรือเหตุการณ์ต่างๆบนท้องถนนผ่านทางกล้องหน้ารถยนต์มากขึ้น เนื่องจากความนิยมในการใช้งานตอนนี้กำลังเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะคนที่ใช้รถจะคิดว่าถ้าติดกล้องเพื่อบันทึกภาพไว้ วันหนึ่งมันอาจจะช่วยเราจากอุบัติเหตุที่เราไม่คาดฝันหรือบันทึกเรื่องราวที่น่าจะเป็นที่สนใจของคนทั่วไปได้
ก็ต้องยอมรับกันอย่างหนึ่งว่ากล้องติดรถยนต์มันมีประโยชน์ไว้ช่วยคนติดไปได้หลายเหตุการณ์แล้ว อย่างเช่นมีรถจักรยานยนต์ขี่ตัดหน้าในระยะกระชั้นชิด หรือมีคนวิ่งข้ามถนนมากระโดดใส่รถ จนทำให้เกิดการบาดเจ็บสูญเสียขึ้น ถ้าไม่มีกล้องหน้ารถ รถยนต์คันที่ชนก็ต้องถูกคาดเดาไว้ก่อนว่าเป็นคนผิด แต่ถ้ามีกล้องหน้ารถแล้วดูภาพจากความเป็นจริง ก็จะกลายเป็นผู้ที่ไม่มีความผิดได้ จนล่าสุดได้มีการให้สัมภาษณ์ของนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ได้บอกว่าเร็วๆนี้อาจจะมีการออกกฎหมายใหม่เพื่อบังคับให้รถยนต์ใหม่ทุกคันต้องติดกล้องหน้ารถเพื่อบันทึกเหตุการณ์ต่างๆระหว่างขับขี่รถตลอดเวลา แต่จะบังคับใช้เฉพาะรถยนต์สาธารณะ แต่รถยนต์ส่วนบุคคลคงจะไม่ได้บังคับ แต่จะจูงใจด้วยการลดภาษีนำเข้ากล้องติดรถยนต์มากกว่า (http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9600000017060) หลายคนเลยเริ่มมีคำถามว่า ถึงเวลาหรือยังที่เราควรจะบังคับใช้กฎหมายเพื่อให้รถยนต์ทุกคันติดกล้องที่หน้ารถได้ซักที?
ได้มากกว่าบันทึกการเดินทาง
แน่นอนว่าการติดกล้องหน้ารถยนต์ จะช่วยบันทึกทุกการเดินทางของเรา เพื่อให้เห็นเหตุการณ์ต่างๆได้ เผื่อไว้เวลาเกิดเรื่องที่ไม่คาดคิด จะได้ย้อนกลับมาดูได้ว่าใครผิด-ถูกกันแน่ แต่ประโยชน์ของมันไม่ได้มีแค่นั้น ลองนึกดูว่าถ้ารถยนต์ทุกคันที่วิ่งอยู่บนถนนติดกล้องทั้งหมด แสดงว่าทุกพื้นที่ที่รถสามารถวิ่งไปได้ ก็จะมีกล้องวงจรปิดอยู่ที่นั่นเสมอ เวลามีเหตุอาชญากรรมต่างๆเช่นปล้น, ชิงทรัพย์, ยิงกัน หรืออื่นๆ กล้องพวกนี้ก็จะช่วยบันทึกแล้วเอาไปเป็นหลักฐานในการจับกุมตัวอาชญากรได้เช่นกัน บางทีอาจจะมีประโยชน์กว่ากล้องของ กทม. ที่ใช้ได้บ้าง ไม่ได้บ้างด้วยซ้ำ
จักรยานยนต์ก็ติดได้
แน่นอนว่ากล้องติดรถยนต์ส่วนใหญ่ออกแบบมาให้ใช้งานกับสายเสียบกับช่อง 12V. ในรถยนต์ จึงไม่สามารถติดกับจักรยานยนต์ได้ แต่ปัจจุบันมีกล้องที่เรียกว่า Action Camera เช่น Gopro ที่เป็นกล้องบันทึกวีดีโอมีแบตเตอรี่ในตัว ใช้งานได้โดยไม่ต้องเสียบสายทิ้งไว้ แถมมีอุปกรณ์เสริมเอาไว้ติดกล้องกับแฮนด์จักรยานยนต์หรือติดบนหมวกกันน็อคได้ด้วย เป็นที่นิยมมากในหมู่ชาวบิ๊กไบค์ แต่เราก็เห็นพี่แมสเซนเจอร์ใช้เยอะแล้วเพราะราคาของมันแบบไม่แพงก็มี แถมยังช่วยเอามาเป็นหลักฐานเอาผิดรถคันอื่น (หรือจับผิดพี่ตั้ม) ได้อีกด้วย
ถูกหรือแพงดี?
ก็เหมือนกับสินค้าอื่นๆที่มีหลากหลายราคาและคุณภาพ ปัจจุบันกล้องติดรถยนต์มีตั้งแต่ราคาระดับหลักร้อยไปจนหลักหมื่น แน่นอนว่าคุณภาพก็จะแตกต่างกันไป ของแพงๆก็จะมีลูกเล่นมากกว่าของถูกๆเช่น มี GPS เพื่อระบุพิกัดและวัดความเร็วได้ เป็นต้น ก็อยู่ที่ทุนทรัพย์ของแต่ละคนว่ามีมากขนาดไหน แต่แนะนำว่า คุณสมบัติที่เหมาะกับการใช้งาน ควรจะเป็นกล้องที่สามารถบันทึกภาพได้ขนาด Full HD (1080) ได้, มีระบบลบไฟล์อัตโนมัติเมื่อการ์ดความจำเต็ม, ระบบการล็อคไฟล์ไม่ให้ถูกลบอัตโนมัติเมื่อเกิดแรงกระแทกอย่างรุนแรง (เผื่อเกิดอุบัติเหตุจะได้ไม่ไปบันทึกทับช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุ), บันทึกเสียงได้ และที่สำคัญ ควรมีรับประกันการใช้งานอย่างน้อย 6 เดือน
ค่าตัว ไม่ได้มีเฉพาะกล้อง
นอกจากเราต้องเสียเงินในการต้องซื้อกล้องแล้ว อีกอย่างที่ต้องจ่ายให้เช่นกันก็คือ Memory card ซึ่งเบื้องต้นแค่ความจุ 16GB. ก็ชิ้นละประมาณ 2xx บาทแล้ว แถมความจุแค่นี้สามารถบันทึกไฟล์ระดับ Full HD ได้แค่ 1-3 ชั่วโมงเท่านั้นเอง ถ้าเอาตามความเป็นจริงแล้ว การใช้งานควรจะบันทึกภาพการเดินทางตลอดทั้งวันของเราได้ ก็น่าจะตกราว 6 ชั่วโมงขึ้นไป ยิ่งถ้าเป็นรถที่ใช้งานระยะไกลเช่นรถทัวร์ต่างจังหวัด ก็ต้องยิ่งใช้ความจุมากขึ้นไปอีก ดังนั้นความจุแนะนำของผมเอง อย่างน้อยก็ต้อง 64GB. ขึ้นไปครับ
จะบังคับเหมือนเข็มขัดนิรภัยหรือหมวกกันน็อคได้ไหม?
ย้อนหลังไปหลายสิบปีก่อน การคาดเข็มขัดนิรภัยหรือการใส่หมวกกันน็อค ก็ยังไม่ถูกบังคับใช้มาก่อนเช่นกัน แต่ภายหลังก็มีกฎหมายออกมาบังคับใช้เพื่อป้องกันอันตรายจากอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกวินาที แต่สำหรับกล้องติดรถยนต์นั้นมันแตกต่างกัน เพราะเราจะใช้ประโยชน์จากมันเพื่อเป็นหลักฐานเมื่อเกิดเหตุไปแล้ว ไม่ได้ช่วยเรื่องความปลอดภัยจากผู้ที่ใช้งาน ดังนั้นการที่จะบังคับให้ทุกคันต้องใช้งานมัน ก็อาจจะดูไม่แฟร์กับคนที่ต้องใช้รถยนต์ แถมยังเป็นการเพิ่มข้อหาให้กับคุณพี่ตำรวจทั้งหลายเอาไปอ้างเพื่อเขียนใบสั่งเพิ่มขึ้นได้อีกอย่างด้วย แต่สำหรับรถยนต์สาธารณะอย่างรถตู้โดยสาร, รถเมล์, รถทัวร์ อันนี้เห็นด้วยว่าควรติด เพราะมันจะเอาไว้จับภาพวิธีการขับของคนขับรถสาธารณะว่าให้บริการเสี่ยงต่อความปลอดภัยของผู้อื่นหรือเปล่า
แล้วถ้าบังคับล่ะ ภาครัฐควรทำอย่างไรต่อ?
ถ้าเราห้ามการบังคับใช้ไม่ได้ ในฐานะพลเมืองดี เราก็ต้องปฏิบัติตาม แต่อยากให้ภาครัฐมีการบังคับใช้ล่วงหน้าเช่น ภายใน 2 ปีรถยนต์ใหม่ที่จดทะเบียนทุกคันต้องติดทุกคัน และรถทุกคันไม่ว่าเก่าหรือใหม่ต้องติดภายใน 5 ปีเป็นต้น รวมทั้งต้องส่งเสริมเพื่อให้คนติดได้ง่ายขึ้นเช่นแจกคูปองเหมือนกล่องทีวีดิจิตอล (อาจเอาเงินจากภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เตรียมขึ้นเร็วๆนี้) ลดภาษีหรือยกเว้นภาษีนำเข้า เป็นต้น เพราะแน่นอนว่าบางคนก็ไม่ได้มีเงินพอที่จะเอาไปซื้อมาใช้งานได้อย่างสะดวก
ถ้าไม่บังคับ เราควรติดดีไหม?
ความเห็นส่วนตัวของผม ถ้าเราไม่เดือดร้อนกับการจ่ายเงินเพื่อติดกล้องหน้ารถซักตัว ก็ควรติดครับ ลองนึกดูว่าถ้าเราเจอเหตุการณ์แบบวิศวกรที่เจอรุมล้อมจากวัยรุ่นจนเกิดเหตุน่าสลดขึ้น เราต้องอธิบายกับศาลให้เชื่อเราได้อย่างไรว่าเราทำเพื่อป้องกันตัว แต่พอเรามีกล้องช่วยบันทึก ทุกอย่างก็ประจักษ์อยู่แล้วว่าเราทำแบบนั้นจริงๆ ถึงภาครัฐไม่บังคับ ก็ยอมจ่ายเงินซัก 2,000 - 5,000 บาท (กล้องและ Memory Card) เพื่อได้ประโยชน์จากมันดีกว่าครับ
ณ วันนี้หลายคนยังมองว่ากล้องติดหน้ารถยังเป็นสิ่งที่เกินความจำเป็น แต่จากสุภาษิตคำพังเพยของไทยแต่โบราณที่บอกทั้ง ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา หรือ เสียน้อยเสียยากเสียมากเสียง่าย ก็คอยเตือนเราอยู่แล้วว่า เวลาเกิดเหตุอะไรระหว่างเราขับรถขึ้นมาเราจะได้เอามันมาใช้งานได้เลย แต่ถ้ายังไม่ได้ติด ก็ต้องเสี่ยงดวงเอาว่าแถวนั้นมีกล้องของภาครัฐหรือเอกชนบันทึกไว้ให้เราใช้ประโยชน์ได้หรือเปล่า หรือถ้ามีกล้องของ กทม. อยู่ ก็ต้องไปเสี่ยงดวงกันอีกครั้งว่ากล้องนั้นใช้งานได้หรือเปล่า เพราะส่วนใหญ่เมื่อเกิดเหตุใหญ่ กล้องมักจะเสียทุกที ดังนั้นตนเป็นที่พึ่งแห่งตนจะดีที่สุดครับ
ติดตามข่าวสารยานยนต์ รวดเร็วก่อนใคร ได้ที่ Autodeft.com