Ford หยุดพัฒนา EV มากกว่าที่คิด ปรับทิศทางครั้งใหญ่ หันซบไฮบริด รถไฟฟ้าเพิ่มระยะทาง และธุรกิจแบตเตอรี่

  • โดย : รัฐศิลป์ รัตนกู้เกียรติ
  • 16 ธ.ค. 68 19:44
  • 1,009 อ่าน

Ford ยอมรับผลกระทบจากการตัดสินใจลงทุนในรถยนต์ไฟฟ้าที่ไม่เป็นไปตามแผน พร้อมประกาศปรับโครงสร้างกลยุทธ์ครั้งใหญ่ ด้วยการทบทวนสินทรัพย์และแผนผลิตภัณฑ์ด้าน EV ในสหรัฐอเมริกา การเปลี่ยนทิศทางครั้งนี้มาพร้อมค่าใช้จ่ายก้อนโต โดยบริษัทเตรียมบันทึกรายการพิเศษทางการเงินสูงถึงราว 19,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

Ford

นอกจากต้นทุนมหาศาลที่เกิดขึ้น Ford ยังยืนยันว่าจะไม่เดินหน้าผลิตรถยนต์ไฟฟ้าขนาดใหญ่บางรุ่นอีกต่อไป เนื่องจากความต้องการของตลาดต่ำกว่าที่คาด ต้นทุนการผลิตสูง และสภาพแวดล้อมด้านกฎระเบียบที่เปลี่ยนไป ซึ่งการตัดสินใจนี้สอดคล้องกับการยุติสายการผลิต F-150 Lightning EV ในรูปแบบปัจจุบัน ก่อนเตรียมนำกลับมาใหม่ในอนาคตในฐานะรถกระบะไฟฟ้าแบบเพิ่มระยะทางด้วยเครื่องยนต์

Ford ยังยกเลิกแผนผลิตรถแวนไฟฟ้าเชิงพาณิชย์สำหรับตลาดยุโรป รวมถึงโครงการรถแวนไฟฟ้าในอเมริกาเหนือ แต่จะถูกแทนที่ด้วยรถแวนเชิงพาณิชย์ราคาจับต้องได้ ที่มีทั้งเครื่องยนต์เบนซินและไฮบริด โดยจะเริ่มผลิตที่โรงงาน Ohio Assembly Plant เมือง Avon Lake ในปี 2029

แม้จะถอยห่างจาก EV หลายโครงการ แต่ Ford ยังไม่ทิ้งรถไฟฟ้าทั้งหมด โดยยังคงพัฒนาโมเดลใหม่บนแพลตฟอร์ม Universal EV Platform ซึ่งจะเป็นรถขนาดเล็ก ราคาประหยัด และมุ่งเป้าตลาดแมส รุ่นแรกมีกำหนดเปิดตัวในปี 2027 ด้วยราคาราว 30,000 ดอลลาร์สหรัฐ

หัวใจสำคัญของกลยุทธ์ใหม่คือการขยายทางเลือกด้านระบบขับเคลื่อน Ford ยืนยันว่าจะเพิ่มสัดส่วนรถไฮบริดและรถไฟฟ้าแบบเพิ่มระยะทางอย่างจริงจัง โดยคาดว่าภายในปี 2030 รถที่ใช้ระบบขับเคลื่อนทั้งสามรูปแบบ ได้แก่ เบนซิน ไฮบริด และไฟฟ้า จะคิดเป็นราว 50 เปอร์เซ็นต์ของยอดขายทั่วโลก เพิ่มขึ้นจาก 17 เปอร์เซ็นต์ในปัจจุบัน

ในกลุ่มไฮบริด Ford เตรียมพัฒนาโมเดลที่หลากหลาย ทั้งแบบเน้นความประหยัดน้ำมัน แบบเน้นสมรรถนะ และไฮบริดที่สามารถจ่ายพลังงานไฟฟ้าออกไปใช้งานภายนอกได้ ซึ่งกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ส่วนฝั่งรถไฟฟ้าเพิ่มระยะทาง คาดว่าจะไม่ได้มีเพียง F-150 รุ่นใหม่เท่านั้น แต่ยังอาจรวมถึง SUV ขนาดใหญ่อย่าง Expedition และ Navigator ในอนาคตด้วย

Ford

Ford ระบุว่า ภายในปลายทศวรรษนี้ รถเกือบทุกรุ่นในไลน์อัพจะมีทางเลือกเป็นระบบไฮบริดหรือระบบขับเคลื่อนหลายพลังงาน ส่งผลให้โรงงาน Tennessee Electric Vehicle Center ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Tennessee Truck Plant และเตรียมผลิตรถกระบะเครื่องยนต์สันดาปราคาประหยัดตั้งแต่ปี 2029 แทนแผนเดิมที่ตั้งใจผลิต F-150 Lightning เจเนอเรชันใหม่

แม้จะลดบทบาท EV แต่ Ford กลับเดินหน้าลงทุนในธุรกิจระบบกักเก็บพลังงานไฟฟ้า โดยเตรียมเปิดธุรกิจ Battery Energy Storage System เพื่อรองรับโครงข่ายไฟฟ้าและความต้องการจากดาต้าเซ็นเตอร์ที่เพิ่มขึ้น การเปลี่ยนทิศทางนี้ยังช่วยใช้ประโยชน์จากกำลังการผลิตแบตเตอรี่ที่เหลืออยู่ โดยโรงงานในรัฐเคนทักกีจะถูกปรับมาผลิตระบบกักเก็บพลังงานขนาดมากกว่า 5 เมกะวัตต์ชั่วโมง รวมถึงเซลล์แบตเตอรี่ LFP และตู้คอนเทนเนอร์ระบบไฟฟ้าขนาด 20 ฟุต

ขณะเดียวกัน โรงงาน BlueOval Battery Park ในรัฐมิชิแกน จะผลิตระบบกักเก็บพลังงานสำหรับที่อยู่อาศัย ควบคู่กับการผลิตเซลล์แบตเตอรี่สำหรับรถรุ่นใหม่บนแพลตฟอร์ม Universal EV

Jim Farley ซีอีโอของ Ford ระบุว่าการปรับกลยุทธ์ครั้งนี้ขับเคลื่อนโดยความต้องการของลูกค้า เพื่อสร้าง Ford ที่แข็งแกร่ง ยืดหยุ่น และทำกำไรได้มากขึ้น พร้อมย้ำว่าบริษัทกำลังนำเงินลงทุนไปสู่ธุรกิจที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า ไม่ว่าจะเป็น Ford Pro รถกระบะและรถแวนที่เป็นผู้นำตลาด รถไฮบริด และโอกาสใหม่อย่างธุรกิจระบบกักเก็บพลังงานแบตเตอรี่

ที่มา Carscoops

ติดตามข่าวสารรถยนต์รวดเร็วก่อนใครได้ที่ AUTODEFT.com

5 เรื่องน่าสนใจ