ทำความรู้จัก 10 ทีม 20 นักแข่งรถสูตร 1 Formula 1 ประจำฤดูกาล 2021 ตอนที่ 1

  • โดย : พิสน ลีละหุต
  • 26 มี.ค. 64
  • 18,504 อ่าน

เข้าสู่ฤดูกาลใหม่ของการแข่งขันรถสูตร 1 Formula 1 หรือเรียกกันง่าย ๆ ว่า F1 กันอีกแล้ว เรามาดูกันหน่อยดีกว่าว่า 10 ทีม 20 นักแข่งที่ลงชิงชัยในปีนี้มีใครบ้าง ติดตามกันได้เลย

ติดตามตอนที่ 2 ที่นี่

F1

Mercedes-AMG Petronas F1 Team

ทีมแรกที่อยากแนะนำคือทีมแชมป์โลกทีมล่าสุด นั่นคือทีม Mercedes-AMG Petronas F1 Team ซึ่งแน่นอนว่าเป็นทีมที่อยู่ภายใต้หลังคาเดียวกันกับค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ Mercedes-Benz ถึงแม้ว่าบริษัทแม่จะอยู่ที่เยอรมนี แต่ฐานของค่ายนี้อยู่ที่อังกฤษ เริ่มการแข่งขัน F1 ครั้งแรกจริง ๆ ตั้งแต่ปี 1954 โดยใช้ชื่อว่าทีม Daimler-Benz AG แต่ก็เลิกทีมไปในปี 1955 และเมื่อถึงปี 2010 ก็ได้กลับมาทำการแข่งขันอีกครั้งภายใต้ชื่อ Mercedes GP ด้วยการซื้อทีมต่อจาก Brawn GP (ก่อนหน้านี้คือทีม Honda) ใช้เครื่องยนต์ของ Mercedes เองเป็นขุมพลัง โดยนับเฉพาะยุคใหม่ตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นมา ทีมนี้สามารถคว้าแชมป์โลกภายใต้ทีมผู้ผลิตไปรวม 7 สมัย (2014, 2015, 2016, 2017, 2018, 2019, 2020) และนักแข่งคว้าแชมป์ไปได้ 7 ครั้ง (2014, 2015, 2016, 2017, 2018, 2019, 2020) ภายใต้นักขับคนเดียวที่ชื่อว่า Lewis Hamilton

F1

Mercedes-AMG Petronas F1 Team มีผู้อำนวยการทีมเป็น Torger Christian Wolff หรือเรียกกันง่าย ๆ ว่า Toto Wolff ชายชาวออสเตรียอายุ 49 ปี อดีตนักแข่งที่เข้ามาดูแลทีมตั้งแต่ปี 2013 หลังจากก่อนหน้านี้เป็นผู้อำนวยการบอร์ดของทีม Williams Formula One Team ตอนปี 2009 และขึ้นเป็นผู้อำนวยการใหญ่ปี 2012 และปัจจุบันเขาก็มีหุ้นอยู่ในทีมด้วย

นักแข่ง

F1

Lewis Hamilton

Lewis Hamilton เป็นนักแข่ง F1 ชาวอังกฤษ อายุ 36 ปี เริ่มต้นการขับรถสูตร 1 ตั้งแต่ปี 2007 กับทีม McLaren ด้วยการเปิดปีแรกอย่างสวยงาม เขาสามารถขึ้นโพเดียมได้ในการแข่งขันรายการแรก และคว้าแชมป์ได้ในสนามที่ 6 เท่านั้น ก่อนที่จะคว้าแชมป์ไปรวม 4 สนาม และจบปีแรกด้วยการคว้าอันดับ 2 ของนักขับไปได้ โดยแพ้แชมป์โลกอย่าง Kimi Räikkönen ไปเพียง 1 คะแนนเท่านั้น และยังทำได้ดีในปีต่อมาด้วยการชนะไป 5 สนาม ขึ้นโพเดียมไป 10 ครั้ง และคว้าแชมป์ไปครองได้สำเร็จกลายเป็นแชมป์โลกที่มีอายุน้อยที่สุด และเป็นแชมป์โลกชาวอังกฤษต่อจาก Damon Hill ที่ได้แชมป์ไปตั้งแต่ปี 1996 แต่ต่อมาช่วงปี 2009-2012 เขากลับไม่สามารถทำความสำเร็จได้อย่างต่อเนื่องได้ เพราะช่วงนั้นเป็นเวลาของ Sebastian Vettel ที่ไล่คว้าแชมป์ไปได้อย่างต่อเนื่อง จนในที่สุด Hamilton ก็ตัดสินใจย้ายทีมไปร่วมกับ Mercedes ในปี 2013 โดยได้ร่วมทีมกับ Nico Rosberg ซึ่งถือเป็นความเสี่ยงอย่างมาก เพราะ Mercedes เป็นทีมที่เพิ่งเริ่มกลับมาใหม่ และยังไม่มีความสำเร็จอย่างใดทั้งสิ้น และเริ่มต้นปีแรกไม่ค่อยดีนัก กับการคว้าเพียงแค่อันดับที่ 4 ไป ก่อนที่ยุคของเขาจะมาถึง เมื่อมีการเปลี่ยนกฎใหม่ให้ใช้งานเครื่องยนต์ Hybrid Turbo ได้ในปี 2014 ทำให้ทีม Mercedes คว้าแชมป์ไปในปีนั้นได้ 16 สนามจาก 19 สนาม และ Hamilton เข้าเส้นชัยเป็นคันแรกได้ 11 สนาม คว้าแชมป์ไปได้ทั้งนักขับและทีมผู้สร้าง ก่อนที่ปี 2015 ก็คว้าแชมป์โลกไปได้อีก ก่อนที่ปี 2016 จะกลายเป็นเพื่อร่วมทีมอย่าง Nico Rosberg เป็นคนที่คว้าแชมป์ไปแทน แต่กลับมาในปี 2017-2020 เขาก็กวาดแชมป์รวดได้ทุกปี รวมทั้งทีมก็ได้แชมป์อย่างต่อเนื่องเช่นกัน สร้างสถิติไว้ให้วงการแข่งรถ F1 มากมาย โดยปีล่าสุดได้ทำสถิติคว้าแชมป์ไปแล้ว 95 ครั้ง แซงหน้า Michael Schumacher ที่ทำไปได้ 91 ครั้ง เหลือสถิติเดียวที่เขาต้องการทำในปีนี้ คือการคว้าแชมป์โลกสมัยที่ 8 ที่จะแซงหน้า Michael Schumacher เช่นกันที่ทำไปได้ 7 ครั้งแล้ว

F1

Valtteri Bottas

คู่หูของแชมป์โลกคนปัจจุบันในทีม Mercedes-AMG Petronas F1 Team เป็นนักแข่งชาวฟินแลนด์ชื่อว่า Valtteri Bottas อายุ 31 ปี เริ่มต้นอาชีพนักขับ F1 ในปี 2013 กับทีม Williams เปิดฤดูกาลแรกได้ดีที่สุดคือการทำเวลารอบคัดเลือกในสนาม Canadian Grand Prix เป็นอันดับที่ 3 คว้าคะแนนแรกในสนาม United States Grand Prix ด้วยการจบอันดับที่ 8 และจบปีแรกด้วยการเก็บได้เพียง 4 คะแนนเท่านั้น ก่อนที่ปีต่อมาจะเริ่มฉายแวว ด้วยการระเบิดฟอร์มจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 4 มากกว่าอดีตแชมป์โลกอย่าง Sebastian Vettel และ Fernando Alonso ด้วยซ้ำ ก่อนที่จะจบอันดับที่ 5 และ 8 ใน 2 ปีต่อมา และในที่สุดเขาก้ได้เข้าร่วมกับทีมแชมป์โลกอย่าง  Mercedes-AMG Petronas F1 Team ในปี 2017 ขับร่วมกับแชมป์โลกอย่าง Lewis Hamilton แชมป์โลกคนปัจจุบัน เข้ามาแทนที่ Nico Rosberg ที่คว้าแชมป์และประกาศเลิกแข่งไปทันที แต่แน่นอนว่าการเข้ามาอยู่เป็นนักแข่งเบอร์ 2 ของทีม แถมเบอร์ 1 ยังเป็นแชมป์โลกอีกต่างหาก มันไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างแน่นอน แต่ก็ถือว่าเริ่มต้นได้ไม่เลว เพราะสามารถคว้าอันดับที่ 3 ไปได้ เป็นรองเพียง Hamilton และ Vettel เท่านั้น โดยสามารถคว้าแชมป์ไปได้ถึง 3 สนาม ก่อนที่ปี 2018 จะฟอร์มตก กลายเป็นนักแข่งคนแรกของ Mecedes ที่จบฤดูกาลแล้วไม่สามารถคว้าแชมป์สนามได้เลย ตั้งแต่ Michael Schumacher ในปี 2012 จบที่ 2 ไปถึง 7 สนาม ก่อนที่ปีล่าสุด 2020 ที่สามารถคว้าแชมป์ไปได้ถึง 2 สนาม ขึ้นโพเดียม 11 ครั้ง จบฤดูกาลด้วยการคว้าอันดับที่ 2 ประเภทนักแข่งไป ถือเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยทีมคว้าแชมป์ประเภททีมผู้สร้างไปด้วย

F1

Red Bull Racing

ทีมที่เกิดจากยี่ห้อเครื่องดื่มบำรุงกำลัง ไม่ได้เกิดจากค่ายรถยนต์อย่าง Red Bull Racing มีฐานสำนักงานใหญ่อยู่ที่อังกฤษ (แต่ Red Bull มีสำนักงานใหญ่อยู่ออสเตรีย และเรียกที่นั่นว่า Home Race) เริ่มเข้าทำการแข่งขัน F1 ตั้งแต่ปี 2005 โดยการซื้อทีมต่อมาจาก Ford Motor Company ชื่อทีมว่า Jaguar Racing โดยปีแรกนั้น มีการใช้งานเครื่องยนต์ของ Cosworth ก่อนที่ปีต่อมาจะหันไปใช้บริการของ Ferrari แต่ก็ได้เพียงปีเดียว เพราะปี 2007 ทีมหันไปใช้เครื่องยนต์ของ Renault ยาวนานถึง 12 ปี แต่แล้วก็มาถึงจุดแตกหัก เมื่อทีมคิดว่า Renault มีเครื่องยนต์ที่ไม่ดีพอจะพาทีมไปคว้าแชมป์ได้ จึงได้ตัดสินใจเลือกใช้เครื่องยนต์ของทาง Honda แทนในฤดูกาล 2019 โดยทีม Red Bull Racing เริ่มต้นได้ไม่ดีนัก เมื่อ 4 ปีแรกที่เข้าร่วมการแข่งขัน จมอยู่เป็นทีมท้ายแถวเป็นส่วนใหญ่ แต่พอถึงปี 2009 เมื่อได้นักแข่งอย่าง Sebastian Vettel มาร่วมทีม จับคู่กับเบอร์ 1 อย่าง Mark Webber ทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไป เพราะทีมสามารถทำคะแนนทีมผู้สร้างไปได้เป็นอันดับที่ 2 ทันที ก่อนที่ 4 ปีต่อมา ทีมคว้าแชมป์ไปได้ เคียงข้างกับรางวัลแชมป์ประเภทนักขับอย่าง Vettel ก่อนที่จะเริ่มเสียรังวัดไปให้กับทีมมาแรงอย่าง Mercedes-AMG Petronas F1 Team ทำให้ Vettel ตัดสินใจย้ายทีมออกไปในที่สุดเมื่อปี 2015 แต่ก็ยังมีดาวเด่นอย่าง Daniel Ricciardo มาช่วยประคองทีมเอาไว้ได้ แต่ยังไม่ที่สุด แต่เมื่อปี 2016 ทีมได้ตัว "Mad Max" Max Verstappen มาร่วมทีม ทำให้การแข่งขันในทีมดุเดือดอีกครั้ง จนทำให้ Red Bull Racing เป็นที่น่าจับตามองอีกครั้ง ถึงแม้ว่าปี 2020 จะมีแชมป์เพียง 2 สนาม แต่ฟอร์มโดยรวมก็ยังคว้าอันดับที่ 2 ไปได้อยู่ดี

F1

Aston Martin Red Bull Racing ดูแลทีมโดย Christian Horner ผู้อำนวยการทีม ชาวอังกฤษอายุ 47 ปี เข้ามาคุมทีมตั้งแต่เริ่มทำทีมเมื่อปี 2005 เลย ซึ่งตอนนั้นถือเป็นนายใหญ่ของทีม F1 ที่มีอายุน้อยที่สุด และเขาคือสามีของอดีตนักร้องอังกฤษชื่อดัง Geri Halliwell หรือ Ginger Spice จากวง Spice Girl วง Girl Group ชื่อดังจากอังกฤษนั่นเอง

นักแข่ง

F1

Max Verstappen

"Mad Max" Max Verstappen นักแข่งดาวรุ่งวัน 23 ปีชาวเนเธอร์แลนด์ เริ่มต้นกับทีม Red Bull ด้วยการเข้าร่วมทีมเยาวชน  Red Bull Junior Team เมื่อปี 2014 แล้วสามารถขยับขึ้นไปขับระดับ F1 ได้ เมื่อทีม Scuderia Toro Rosso ทีมน้องของ Red Bull ทำการประกาศว่าเขาจะเป็นนักขับของทีมในฤดูกาล 2015 เคียงข้างกับ Carlos Sainz Jr. โดยไปขับแทนที่ Daniil Kvyat ที่ได้โปรโมทขึ้นไปขับทีมใหญ่อย่าง Red Bull Racing แทน ทำให้เขากลายเป็นนักแข่งระดับ F1 ที่มีอายุน้อยที่สุดไปในทันที ด้วยอายุ 17 ปี 166 วัน เปิดสนามแรกด้วยการวิ่งอยู่ในตำแหน่งที่ทำคะแนนได้ แต่เสียดายที่เครื่องยนต์พังเสียก่อน ไม่จบการแข่งขัน ก่อนที่จะเก็บคะแนนแรกของตัวเองได้ที่มาเลเซีย ด้วยการจบอันดับที่ 7 เป็นนักแข่งอายุน้อยที่ทุดที่ทำคะแนนได้ในการแข่งขัน Formula 1 (17 ปี 180 วัน) จบปีแรกด้วยการทำไปได้ 49 คะแนน เป็นอันดับที่ 12 และปี 2016 ก็คือปีที่เปลี่ยนชีวิตเขาไปทันที เมื่อผ่านไปเพียง 5 สนาม ทางทีม Red Bull Racing ได้ทำการสลับที่กันระหว่างเขากับ Daniil Kvyat ทำให้ Verstappen ได้ไปขับเคียงข้างกับเบอร์ 1 อย่าง Daniel Ricciardo ทันที และเขาก็ตอบแทนทีมทันที ด้วยการคว้าแชมป์ในสนาม Spanish Grand Prix ทันทีที่ลงแข่งครั้งแรก ทำให้เขากลายเป็นนักแข่ง F1 อายุน้อยที่สุดที่คว้าแชมป์ไปได้ (18 ปี 228 วัน) ก่อนที่ปีนั้นเขาจะขึ้นไปโพเดียมอีก 6 ครั้ง เก็บคะแนนได้เป็นอันดับที่ 5 กลายเป็นดาวรุ่งดวงเด่นของวงการ F1 ไปในทันที แต่เมื่อถึงปี 2017 เขากลับประสบปัญหาเรื่องเครื่องยนต์ ใน 14 สนามแรก เครื่องยนต์มีปัญหาจนขับไม่จบการแข่งขันถึง 4 สนาม และระห่ำจนชนในรอบแรกไปอีก 3 สนาม ออกจากการแข่งขันโดยไม่มีแต้ม แต่ก็ยังสามารถคว้าแชมป์ไปได้ 2 สนาม จบฤดูกาลด้วยการเก็บไป 168 คะแนน เป็นอันดับที่ 6 ของประเภทนักแข่ง จนมาถึงปี 2018 ก็เป็นปีที่เขาเริ่มเจิดจรัสมากขึ้น และเป็นที่ชัดเจนว่าเขาไม่อยากเป็นมือ 2 รองจาก Daniel Ricciardo อีกต่อไป เห็นได้จากความเกรี้ยวกราดในยามที่ขับในสนาม ไม่ยอมทำตามแผนของทีมที่ให้ Ricciardo เป็นเบอร์ 1 ซึ่งทางทีมก็ออกจะเอียงไปเข้าข้าง Verstappen เสียด้วย เพราะมองว่าเขาเป็นอนาคตของทีมที่น่าจะพาทีมไปคว้าแชมป์ได้ จบฤดูกาล 2018 ไปด้วยการคว้าแชมป์ไป 2 สนาม ขึ้นโพเดียมไป 11 ครั้ง ทำคะแนนไป 249 แต้ม จบอันดับที่ 4 มากกว่าเบอร์ 1 ของทีมอย่าง Ricciardo ที่เก็บไป 170 คะแนน เป็นอันดับ 6 และนี่คงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ Ricciardo ต้องย้ายทีมไปซบอก Renault แทน และฤดูกาลล่าสุด ปี 2019 คือปีที่เขางัดฟอร์มเก่งขึ้นมาได้เต็มที่ ด้วยการเก็บแชมป์ไป 3 สนาม 9 โพเดียม จบเป็นอันดับที่ 3 รองจาก 2 นักแข่งจาก Mercedes เท่านั้น และปี 2020 สามารถคว้าแชมป์ไปได้ 2 สนาม ขึ้นโพเดียมไปได้เกือบทุกสนาม ยกเว้นที่ขับไม่จบ 5 สนาม กับที่ตุรกีที่จบอันดับ 6 มากพอที่จะเก็บคะแนนรวมอันดับที่ 3 ไปได้

F1

Sergio Pérez

นักแข่งชาวเม็กซิโกอายุ 31 ปี Sergio Pérez ผลผลิตจาก Ferrari Driver Academy เริ่มต้นเข้าสู่วงการ Formula 1 เมื่อปี 2011 กับทีม Sauber แทนที่ของ Nick Heidfeld ท่ามกลางเสียงนินทาว่า เข้ามาอยู่ในทีมได้เพราะสปอนเซอร์ส่วนตัวของเขา Telita ค่ายโทรคมนาคมใหญ่ของเม็กซิโก เพราะหลังการประกาศไม่นาน ก็ได้มีการประกาศเพิ่มเติมเรื่องการสนับสนุนทีมของ Telita  ตามมา แต่ฝีมือเขาก็มีเยอะจริง เพราะแค่สนามแรกที่ลงแข่ง เขาสามารถคว้าอันดับที่ 7 ไปได้ โดยใช้การเปลี่ยนยางแค่ครั้งเดียว แต่สุดท้ายก็ถูกจับ Disqualified จากการทำผิดกฎเรื่องทางเทคนิค สุดท้ายปีแรกจบด้วยอันดับ 16 ด้วยการเก็บไป 14 คะแนน ปีต่อมา Sergio Pérez ก็ยังขับให้กับทีมเดิมอยู่ แต่ปี 2013 เขาได้เซ็นสัญญาเพื่อไปขับให้กับ Mclaren แทนที่ของ Lewis Hamilton ที่ย้ายไปขับให้กับ Mercedes ซึ่งผลงานของเขาก็ดีขึ้นเล็กน้อย กับการเก็บได้ 49 คะแนน จบเป็นอันดับที่ 11 แต่ก็อยู่ได้เพียงปีเดียว ก็ตัดสินใจย้ายไปขับให้กับ Force India ในปี 2014 ซึ่งเริ่มเปิดตัวได้ดี เมื่อสามารถขึ้นโพเดียมในตำแหน่งที่ 3 ในสนาม Bahrain Grand Prix แล้วก็ประคองฟอร์มอยู่กลางตารางได้ จนจบที่ 10 ด้วย 59 คะแนน และยังขับในทีมเดิมต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ผลงานล่าสุดฤดูกาล 2019 Sergio Pérez จบด้วยอันดับที่ 10 มี 52 คะแนน และปีที่แล้วก็สามารถระเบิดฟอร์มได้อย่างเต็มที่ คว้าแชมป์ไปได้ 1 รายการ และเก็บแต้มสะสมรวมจบอันดับที่ 4 ทั้งที่อยู่ในทีมระดับกลาง แต่ก็ไม่สามารถยึดตำแหน่งเดิมในทีม Racing Point ไส้ได้ เพราะการมาของอดีตแชมป์โลกอย่าง Sebastian Vettel ด้วยความที่ยังดวงแข็งของ “เช็กโก้” ที่ทีม Red Bull Racing ดันยังไม่พอใจฟอร์มของนักแข่งลูกครึ่งชาวไทย Alexander Albon เลยตัดสินใจดึงเขาเขข้ามาร่วมทีมในสัญญาระยะสั้น 1 ปี แล้วดัน “น้องเล็ก” ไปเป็นนักขับสำรองแทน

F1

McLaren F1 Team

แบรนด์รถยนต์จากแดนผู้ดีอังกฤษ McLaren เริ่มต้นเข้าสู่วงการแข่งขันรถยนต์ F1 ตั้งแต่ปี 1966 ก่อตั้งโดย Bruce McLaren ถือเป็นอีก 1 ทีมที่อยู่ต่อเนื่องมาอย่างยาวนาน แต่ไม่เคยใช้เครื่องยนต์ของตัวเองเลย เริ่มต้นครั้งแรกในการลงแข่งขัน ใช้เครื่องยนต์ของฟอร์ด, Serenissima และ BRM ในช่วงปี 1966-1967 ช่วงปี 1968-1982 ใช้ของ Ford-Cosworth DFV ช่วงปี 1983-1992 ใช้เครื่องยนต์ของ TAG-Porsche และ Honda ช่วงปี 1993-1994 ใช้ของ Ford, Lamborghini และ Peugeot ปี 1995-2014 ใช้เครื่องยนต์ของ Mercedes ปี 2015-2017 กลับมาใช้ของ Honda และสุดท้ายตั้งแต่ปี 2018 จนถึงปี 2020 ก็มาใช้ของ Renault ผลงานของทีม McLaren นั้น เคยได้แชมป์ในนามทีมผู้สร้างรวม 8 ครั้ง (1974, 1984, 1985, 1988, 1989, 1990, 1991, 1998) และในนามนักขับอีก 12 สมัย (1974, 1976, 1984, 1985, 1986, 1988, 1989, 1990, 1991, 1998, 1999, 2008) โดยคนที่เรารู้จักกันดีก็คือ Niki Lauda (1984) Ayrton Senna (1988, 1990, 1991) Mika Häkkinen (1998, 1999) และ Lewis Hamilton (2008) ส่วนผลงานปี 2020 สามารถทำได้ 202 คะแนน คว้าอันดับที่ 3 ไปครองได้ และปี 2021 นี้ก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เมื่อทีมตัดสินใจเปลี่ยนเครื่องมาใช้ของ Mercedes แทน บวกกับแชสซีที่ยอดเยี่ยมอยู่แล้ว ก็น่าจะทำให้ปีนี้ Mclaren ฟอร์มกระฉูดได้แน่นอน

F1

F1

McLaren F1 Team มีฐานหลักอยู่ในประเทศอังกฤษ ตามเอกสารแล้ว ผู้ที่เป็นหัวหน้าทีมคือ Andreas Seidl ชาวเยอรมันวัย 45 ปี แต่เป็นที่รู้กันว่า นายใหญ่ที่ดูแลทีมจริง ๆ ก็คือ Zak Brown อดีตนักแข่งหลายรายการชาวอเมริกันวัย 48 ปี ที่เข้ามาดูแลเป็นนายใหญ่ของทีมตั้งแต่ปี 2018

นักแข่ง

F1

Lando Norris

หนุ่มน้อยอารณ์ดีชาวอังกฤษวัย 21 ปี Lando Norris เริ่มต้นการขับรถแข่ง F1 ด้วยการเป็นนักขับเยาวชนของทีม  McLaren ตอนปี 2017 ก่อนจะได้โอกาสขับทดสอบช่วงกลางฤดูกาล ก่อนที่จะขยับขึ้นเป็นนักขับทดสอบและตัวสำรองของทีมในปี 2018 และสุดท้าย เขาก็ได้โอกาสเข้าร่วมเป็นนักแข่งหลักให้กับทีมในฤดูกาล 2019 ร่วมกับ Carlos Sainz Jr. เริ่มคว้าคะแนนแรกให้กับตัวเองในฐานะนักขับ F1 ใน Bahrain ด้วยการจบอันดับที่ 6 ก่อนจบฤดูกาลแรกของเขาด้วยการเก็บ 49 คะแนน คว้าอันดับที่ 11 ไปครอง ส่วนปีที่แล้ว Lando ระเบิดฟอร์มเจ๋ง เกาะอันดับต้นได้เกือบทุกสนาม และยังขึ้นโพเดียมได้อีก 1 สนาม สะสมคะแนนได้รวมเป็นอันดับที่ 9

F1

Daniel Ricciardo

นักแข่งหนุ่มอารมณ์ดี Daniel Ricciardo ชาวออสเตรเลีย อายุ 31 ปี เริ่มงานในการแข่งขัน F1 เมื่อปี 2009 ในฐานะนักขับรถทดสอบให้กับทีม Red Bull Racing จนถึงปี 2012 Ricciardo ก็ได้เซ็นสัญญาเป็นนักขับให้กับทีม Scuderia Toro Rosso เสียที โดยโชว์ฟอร์มได้ดีในบ้านเกิดของเขารายการ Australian Grand Prix จนทำให้จบอันดับที่ 9 คว้าแต้มแรกให้กับตัวเองได้ในการแข่งขัน F1 แต่ก็ไม่ได้โดดเด่นอะไร จบฤดูกาลแรกของเขาไปด้วยอันดับที่ 18 จาก 25 นักแข่ง เก็บได้ 10 คะแนน ปีต่อมาก็จบที่ 12 เก็บได้ 20 คะแนน ก่อนที่ปี 2014 จะถูกขยับขึ้นไปขับให้ทีมใหม่อย่าง Red Bull Racing แทน Mark Webber ซึ่งสนามแรกในการแข่งขันรายการ Australian Grand Prix ก็โชว์ฟอร์มสด ด้วยการทำอันดับรอบคัดเลือกได้อันดับที่ 2 และจบการแข่งขันไปได้ในตำแหน่งนี้เช่นกัน แต่สุดท้ายเขาถูกปรับแพ้ไปเพราะทำผิดกฎในส่วนการจ่ายน้ำมันเกินกำหนด แต่หลังจากนั้น ก็โชว์ฟอร์มได้ดี ด้วยการคว้าแชมป์ไป 3 สนาม 78 โพเดียม จบฤดูกาลด้วย 238 แต้ม เป็นอันดับที่ 3, ปี 2015 ทำได้ 92 คะแนน จบอันดับที่ 8 ไม่ได้แชมป์เลย ก่อนที่ปี 2016 จะคืนฟอร์มได้เล็กน้อยกับการคว้าไป 1 แชมป์ 8 โพเดียม แต่เป็นปีที่ก้าวขึ้นมาของ คว้าอันดับที่ 3 ไป แต่เป็นปีที่ก้าวขึ้นมาของ Max Verstappen ที่กำลังมากลายเป็นขวากหนามสำคัญของเขาในอนาคต แต่ปีต่อมา Ricciardo ก็ยังคงฟอร์มเดิมเอาไว้ได้ กับการคว้า 1 แชมป์ 9 โพเดียม เป็นอันดับที่ 5 แต่ไม่สามารถขยับขึ้นไปใกล้กับคำว่าแชมป์โลกได้เสียที และปี 2018 คือปีสุดท้ายของเขากับทีม Red Bull Racing ความขัดแย้งกับเบอร์ 2 ไฟแรงอย่าง Verstappen เริ่มเห็นได้ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ จนสุดท้ายก็ได้ประกาศย้ายทีมไปอยู่กับ Renault ในฤดูกาลถัดไปก่อนจบฤดูกาล ที่สื่อมวลชนมองว่า Ricciardo ไม่อยากเป็นมือ 2 รองใคร และต้องการหนีความกดดันที่เกิดขึ้นภายในทีมนั่นเอง ก่อนที่ปีนั้นจะทำไปได้ 170 แต้มพร้อมแชมป์ 2 สนาม และกับปีแรกภายใต้สีเสื้อของ Renault เขาไม่สามารถขึ้นตำแหน่งโพเดียมได้เลย ดีที่สุดคืออันดับที่ 4 เท่านั้น จบฤดูกาลด้วย 54 คะแนน เป็นอันดับที่ 9 เท่านั้น แต่ปี 2020 เขากลับทำได้ดีขึ้น ด้วยการขึ้นโพเดียมได้ 2 สนาม พร้อมเก็บคะแนนได้เป็นกอบเป็นกำ ถึงแม้ว่าจะมีข่าวมาตั้งแต่ช่วงต้นฤดูกาลแล้วว่าเขาจะย้ายทีมไปร่วมกับ Mclaren สะสมคะแนนได้เป็นอันดับที่ 5 ปีนี้เมื่อได้รถที่ดีขึ้น ก็น่าจะทำให้ฟอร์มนั้นอาจจะดีตามไปด้วย

F1

Aston Martin Cognizant F1 Team

ชื่อนี้อาจจะคุ้นเมื่อปีก่อนกับการเป็นค่ายรถที่สนับสนุนทีม Red Bull Racing แต่วันนี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว เมื่อนายใหญ่ของทีมอย่าง Lawrence Stroll นักธุรกิจชาวแคนาดาที่เข้าไปซื้อหุ้น Aston Martin เป็นจำนวน 20% เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นจากเดิมชื่อทีม Force India ที่เจ้าของทีมเดิมอย่าง Vijay Mallya มาเป็น Lawrence Stroll แล้วเปลี่ยนชื่อทีมเป็น Racing Point ก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็น Aston Martin ในฤดูกาล 2021 และจะไม่มีชื่อนี้ในฐานะผุ้สนับสนุนทีม Red Bull Racing อีกต่อไปเช่นกัน โดยปัจจุบัน Racing Point ใช้บริการเครื่องยนต์ของ Mercedes อยู่ จบฤดูกาล 2020 ด้วยอันดับที่ 4

F1

Aston Martin Cognizant F1 Team มีฐานสำนักงานใหญ่อยู่ในประเทศอังกฤษ มี Otmar Szafnauer ชายชาวโรมาเนียอายุ 56 ปี เป็นผู้อำนวยการทีม แต่คนที่มีอิทธิพลในทีมมากที่สุด คงหนีไม่พ้นเจ้าของทีม Lawrence Stroll นั่นเอง

นักแข่ง

F1

Lance Stroll

แน่นอนว่า ในเมื่อพ่อของเขาเป็นเจ้าของทีม ลูกชายอย่าง Lance Stroll ชายหนุ่มชาวแคนาดาวัย 22 ปี ก็ต้องมาขับให้กับทีมของพ่อตัวเองอย่างแน่นอน แต่จุดเริ่มต้นชีวิตในวงการ F1 ไม่ได้เริ่มต้นที่นี่ แต่ไปเริ่มกับทีม Williams ตั้งแต่ปี 2017 ถึงแม้ว่าจะโชว์ฟอร์มได้ไม่ดีใน 3 สนามแรก เพราะไม่สามารถจบการแข่งขันได้เลย แต่ที่สนาม 4 ในรัสเซีย เขาก็สามารถขับจบการแข่งขันได้เป็นครั้งแรก โดยเข้าเป็นอันดับที่ 11 แต่หลังจากนั้นเขาก็เริ่มขับได้ดีขึ้น โดยตำแหน่งดีที่สุดคือการที่สามารถขึ้นโพเดียมได้ใน Azerbaijan Grand Prix จบเป็นอันดับที่ 3 ที่ตอนนั้นมีอายุเพียง 18 ปี 239 วันเท่านั้น จบฤดูกาลแรกด้วยการเก็บได้ 40 คะแนน ได้อันดับที่ 12 ไป ต่อมาในฤดูกาล 2018 Stroll ยังคงขับให้ Williams ต่อไปเช่นเดิม ถึงแม้ว่าพ่อของเขาจะเข้ามาซื้อทีม Force India และเปลี่ยนเป็น Racing Point ในช่วงกลางฤดูกาล จบฤดูกาลด้วยการเก็บไปได้เพียง 6 คะแนน จบอันดับที่ 18 ถือเป็นผลงานที่แย่ลงทั้งตัวนักขับและในส่วนของทีม จนปีล่าสุด 2019 ที่เขาย้ายมาขับให้ทีม Racing Point อย่างเป็นทางการ จบฤดูกาลด้วยการเก็บไป 21 คะแนน จบเป็นอันดับที่ 15 เคยทำตำแหน่งได้ดีที่สุดคืออันดับที่ 4 ในรายการ Germany Grand Prix แต่ปี 2020 เขาทำผลงานได้ดีขึ้น ด้วยการขึ้นโพเดียมได้ 2 ครั้ง และเก็บคะแนนได้เกือบทุกสนาม จบฤดูกาลเป็นอันดับที่ 11

F1

Sebastian Vettel

อดีตแชมป์โลก 4 สมัยอย่าง Sebastian Vettel เป็นชาวเยอรมันอายุ 33 ปี เริ่มต้นการเข้าร่วม F1 เป็นนักแข่งสำรองของทีม BMW Sauber เมื่อปี 2006 แต่มีโอกาสได้เพียงเป็นนักแข่งทดสอบในรอบ Practice เท่านั้น จนมาถึงปี 2007 เมื่อนักแข่งหลักอย่าง Robert Kubica ได้รับอุบัติเหตุหนักจนไม่สามารถทำการแข่งขันต่อได้ในสนามที่ 6 Vettel เลยได้เลื่อนขึ้นมาเป็นนักแข่งหลักในทีมได้ที่สนาม 7 รายการ United States Grand Prix เขาเริ่มต้นการแข่งขันสนามแรกด้วยการจบที่ 8 กลายเป็นนักแข่งอายุน้อยที่สุดที่สามารถคว้าคะแนนในการแข่งรถสูตร 1 ไปได้ แต่ขับไปได้เพียงไม่กี่สนาม ทีมก็ได้ปล่อยตัวเขาให้ไปร่วมทีม  Scuderia Toro Rosso เพื่อไปแทนที่ Scott Speed ในสนามที่ 11 รายการ Hungarian Grand Prix แต่เปิดตัวได้ไม่ดีเท่าไหร่ เพราะคัดเลือกได้เป็นอันดับที่ 20 และจบการแข่งขันเป็นอันดับที่ 20 แล้วมาเจอฝันร้ายในสนามที่ 15 กับการแข่งขันรายการ Japanese Grand Prix เมื่อเขาทำอันดับได้ดี ขึ้นมาอยู่ที่ 3 ตามหลัง Lewis Hamilton และ Mark Webber อยู่ แต่ขณะที่กำลังอยู่ในช่วงรถ safety car วิ่งอยู่ Vettel ดันพลาดขับไปชน Webber (ทีม Redbull) จนต้องออกจากการแข่งขันไปทั้งคู่ กลายเป็นฝันร้ายที่สุดในชีวิตการแข่งขันของเขาเลย ทำให้สนามต่อมาเขาถูกปรับกริดไป 10 อันดับ แต่ถูกเลื่อนขึ้นมาเนื่องจากทางคณะกรรมการมองว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเกิดจากพฤติกรรมการขับของ Lewis Hamilton หลังรถ Safety Car แต่สามารถแก้ตัวได้ในสนาม Chinese Grand Prix ด้วยการขับจบเป็นอันดับ 4 เก็บไปได้ 5 คะแนน ดีที่สุดตั้งแต่ก่อตั้งทีม Toro Rosso มา และปีต่อมาคือปีทองของเขากับทีมนี้ เพราะสามารถคว้าแชมป์ได้ 1 สนาม เก็บคะแนนได้รวม 35 คะแนน มากกว่า Mark Webber และ David Coulthard จาก Red bull ทีมใหญ่ด้วยซ้ำ จนในที่สุดปี 2009 Sebastian Vettel ก็ได้เลื่อนขึ้นมาขับให้กับทีมใหญ่อย่าง Red bull แทนที่  David Coulthard และเป็นปีที่เริ่มเฉิดฉายของเขาทันที ด้วยการคว้าแชมป์ไปได้ 4 สนาม ยืนบนโพเดียม 8 สนาม คว้าคะแนนเป็นอันดับที่ 2 ไปรวม 84 คะแนน ตามหลัง Jenson Button ที่คว้าแชมป์ไปได้เพียง 11 คะแนนเท่านั้น แถมพาทีมคว้าอันดับ 2 ของทีมผู้สร้างได้อีกด้วย ก่อนที่ 4 ปีถัดมา คือ 2010-2013 เขาคว้าแชมป์ไปได้ 4 ปีรวดกับทีม Red bull พร้อมพาทีมคว้าแชมป์ทีมผู้สร้างได้เป็นครั้งแรกอีกด้วย จนมาถึงปี 2015 Vettel ตัดสินใจทำสัญญา 3 ปีกับ Scuderia Ferrari เปิดฤดูกาลแรกด้วยการจบเป็นอันดับที่ 3 คว้าแชมป์ไปได้ 3 สนาม แต่ปีต่อมาผลงานก็ถอยหลังลงอีก เมื่อจบเป็นอันดับที่ 4 โดยไม่สามารถคว้าแชมป์สนามไหนได้เลย แต่ 2 ปีต่อมา Vettel ทำผลงานได้ดีขึ้น แต่ยังไม่สามารถทำได้ดีกว่าแชมป์โลกอย่าง Lewis Hamilton ไปได้ จบเป็นอันดับที่ 2 ทั้ง 2 ปี จนฤดูกาล 2019 สุดจบได้เพียงอันดับที่ 5 คว้าแชมป์ได้สนามเดียว ท่ามกลางการเฉิดฉายของเด็กรุ่นใหม่อย่าง Max Verstappen และ Charles Leclerc จนปี 2020 ทาง Ferrari ตัดสินใจไม่ต่อสัญญากับเขา รวมทั้งรถของ Ferrari ในปีก่อนกลับแย่ลงอย่างเห็นได้ชัด และการ Support จากทีมก็แย่ลง ทาง Vettel เลยหันไปเซ็นสัญญาขับให้กับทาง Aston Martin แทน

F1

Alpine F1 Team

Alpine F1 Team หรือเดิมคือ Renault ค่ายรถยนต์จากแดนน้ำหอมนั่นเอง ได้ตัดสินใจเข้าร่วมการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบ Formula 1 ตั้งแต่ปี 1977 ในนาม Renault โดยในปีแรกนั้น ได้ทำการส่งเครื่องยนต์ระบบ Turbo ลงสนามแข่งขันเป็นคันแรก และเมื่อถึงปี 1983 ก็เริ่มผลิตเครื่องยนต์รถแข่งส่งให้ทีมอื่นได้ใช้งานด้วย ก่อนที่จะเลิกทีมไปตอนปี 1986 ก่อนที่จะกลับมาลงทำการแข่งขันอีกครั้งในปี 2002 โดยซื้อทีมต่อมาจาก Benetton Formula Limited เริ่มต้นด้วยการใช้นักขับ Jarno Trulli และ Jenson Button ลงแข่งในฤดูกาลนั้น ทำคะแนนปีแรกไปได้ 23 คะแนนเท่านั้น จนถึงปี 2003 ทางทีมตัดสินใจปล่อยตัว Jenson Button แล้วนำนักแข่งสเปนอย่าง  Fernando Alonso เข้ามาร่วมทีมแทน ซึ่งก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เมื่อ Alonso ได้คว้าแชมป์แรกในยุคใหม่ของ Renault ได้ในรายการ 2003 Hungarian Grand Prix และปิดฤดูกาลด้วยการเป็นทีมอันดับที่ 4 ก่อนที่จะเริ่มกวาดแชมป์ในนามทีมผู้สร้างไปได้อีก 2 ครั้ง (2005, 2006) และในนามนักแข่งอีก 6 ครั้งเช่นกัน (2005, 2006) แน่นอนว่าทั้ง 2 ปีคือฝีมือของ Fernando Alonso นั่นเอง ส่วนในปี 2010-2013 นั้น Renault ก็มีส่วนคว้าแชมป์ไปด้วยเช่นกัน เพราะเป็นเครื่องยนต์ที่ทีม Red Bull Racing ใช้งานนั่นเอง ส่วนผลงานปี 2020 ทีม Renault ปิดฤดูกาลด้วยอันดับที่ 5 ด้วยคะแนนสะสม 181 คะแนน ก่อนที่จะเปลี่ยนชื่อทีมใหม่ให้เป็น Alpine F1 Team ในปี 2021

F1

Alpine F1 Team มีฐานหลักอยู่ 2 แห่งคือ ส่วนที่ดูแลเรื่องโครงสร้างของตัวรถอยู่ในอังกฤษ ส่วนเครื่องยนต์นั้นอยู่ที่ฝรั่งเศส มี Davide Brivio อายุ 56 ปี ชาวอิตาลี อดีตผู้ดูแลทีม Suzuki MotoGP ที่ข้ามจากงานดูแลรถมอเตอร์ไซค์ชิงแชมป์โลก เข้ามาดูแลงานแทน Cyril Abiteboul ในทีม F1

นักแข่ง

F1

Esteban Ocon

นักแข่งหนุ่มอนาคตไกล แต่ไร้ซึ่งเส้นทางที่สวยงามอย่าง Esteban Ocon หนุ่มอายุ 24 ปีชาวฝรั่งเศส ผลงานการสร้างโดยทีมเยาวชนของ Mercedes F1 team เริ่มต้นอยู่ในแวดวงรถแข่ง F1 เมื่อปี 2014 ในนามนักแข่งทดสอบของ Lotus F1 ก่อนที่ปี 2015 จะถูกทีม Force India เรียกตัวไปช่วยขับทดสอบแทน  Pascal Wehrlein ที่เกิดอาการป่วย และในปีถัดมา ทีม Renault Sport F1 ได้ประกาศให้ Ocon ได้เป็นนักแข่งสำรองให้กับทีมในฤดูกาล 2016 จนถึงเดือนพฤษภาคม เขาได้ถูกทีม Manor Racing ไปขับแทน Rio Haryanto เนื่องจากการตกลงข้อตกลงกับผู้สนับสนุนไม่ได้ เริ่มสนามแรกในการแข่งขันรายการ Belgian Grand Prix จบอันดับที่ 16 ในปีนั้นทำได้ดีที่สุดเพียงอันดับที่ 12 เท่านั้น ไม่สามารถเก็บแต้มได้เลย แต่ในปี 2017 Ocon ได้เซ็นสัญญาเป็นนักแข่งหลักในทีม Force India คู่กับ Sergio Pérez สร้างผลงานได้ดีขึ้น เก็บคะแนนได้อย่างต่อเนื่อง ดีที่สุดคืออันดับที่ 5 เก็บไปได้ 87 คะแนน ถือว่าดีมากสำหรับการขับให้ทีมกลางตาราง แต่ปีต่อมาผลงานตกลงไป ด้วยการจบอันดับที่ 12 ด้วย 49 คะแนน ผลงานดีที่สุดคือการจบที่ 6 ในสนาม และมันคือปีล่มสลายของทีม เพราะทีมถูกสั่งให้ขายจากปัญหาเรื่องการเงินของเจ้าของทีม Vijay Mallya เพราะเจอกับข้อหาก่ออาชญากรรมทางการเงินในอินเดีย สุดท้ายก็เป็น Lawrence Stroll นักธุรกิจชาวแคนาดา พ่อของ  Lance Stroll นักแข่งของทีม Williams เข้ามาซื้อทีมๆไปแล้วเปลี่ยนชื่อเป็น Racing Point แน่นอนว่าเมื่อพ่อเป็นเจ้าของทีม ก็ต้องดึงตัวลูกชายมาช่วยขับให้ทีมของตัวเองอย่างแน่นอน ดังนั้น 1 ใน 2 คนที่ขับอยู่ก็ต้องหลุดออกจากทีมไป สุดท้าย Ocon คือชื่อนั้น ท่ามกลางเสียงนินทาว่าที่ Pérez ยังได้อยู่ต่อ เพราะมีสปอนเซอร์ทุนหนาหนุนหลังอยู่นั่นเอง ดังนั้นในปี 2019 เขาจึงไม่ได้ทำการลงแข่งขันรถสูตร 1 แต่ทำหน้าที่เป็นนักขับสำรองให้กับทีม Mercedes ไปก่อนชั่วคราว (Ocon มี Toto Wolff เป็นผู้จัดการส่วนตัว) ก่อนที่สุดท้าย Renault Sport F1 จะเซ็นสัญญามาร่วมทีมเพื่อลงแข่งในปี 2020 เป็นต้นไป และสามารถทำฟอร์มดีด้วยการจบอันดับที่ 2 ไปได้ 1 สนาม และทำคะแนนรวมไปได้  62 คะแนน เป็นอันดับที่ 12

F1

Fernando Alonso

นักขับชาวสเปน อดีตแชมป์โลก 2 สมัย Fernando Alonso ตัดสินใจแขวนพวงมาลัยจากการแข่ง F1 ไปหลังจบฤกาล 2018 กับทีม Mclaren แต่ก็หยุดไปได้แค่ 2 ปี ก็ทนกับความหอมหวนของวงการรถสูตร 1 ไม่ไหว เลยตัดสินใจกลับมาร่วมทีมเก่าภายใต้ชื่อใหม่ที่เคยคว้าแชมป์โลกมาก่อนแล้ว โดย Fernando Alonso วัย 39 ปี เริ่มต้นเข้าวงการรถแข่งโกคาร์ทตั้งแต่อายุ 5 ขวบ และคว้าแชมป์แรกได้ตั้งแต่อายุ 7 ขวบ แล้วก้าวเข้าสู่วงการรถแข่งในรายการ Euro Open by Nissan ในปี 1999 พร้อมเฉิดฉายด้วยการคว้าแชมป์ไปได้ 6 รายการ จาก 16 สนาม และขึ้นตำแหน่ง Pole-Position ได้อีก 9 ครั้ง ด้วยความที่มีฝีมือขนาดนี้ จึงได้เริ่มเข้าสู่สวงการ F1 ในฐานะนักขับทดสอบให้กับทีม Minardi ในช่วงปลายปี 1999 ก่อนที่จะได้รับตำแหน่งนักขับสำรองในปี 2000 และข้ามเป็นนักขับหลักให้กับทีมในปี 2001 แต่ก็ไม่ได้สร้างผลงานอะไรที่ดี เมื่อจบฤดูกาลด้วยการไม่มีคะแนนเลย ดีที่สุดคือการจบที่อันดับ 10 จึงทำให้ Alonso ย้ายไปขับเป็นนักขับทดสอบให้กับ Renault ในปี 2002 และขึ้นเป็นนักขับหลักได้ในปี 2003 และก็เป็นปีที่เขาเริ่มส่งประกาย เมื่อทำลายสถิติด้วยการเป็นนักแข่งที่อายุน้อยที่สุดในขณะนั้นที่คว้าตำแหน่ง Pole-Position ไปได้ ในสนามที่ 2 เท่านั้น ตามมาด้วยการทำลายสถิติเป็นนักขับอายุน้อยที่สุดในขณะนั้นที่คว้าแชมป์ไปได้ เก็บแต้มรวมไปได้ 55 คะแนน จบอันดับที่ 6 และมาคว้าแชมป์โลกไปได้ในปี 2005 และ 2006 กลายเป็นนักขับที่อายุน้อยที่สุดที่สามารถคว้าแชมป์โลกได้ 2 ครั้ง ก่อนที่ในปี 2007 Alonso จัดการเซ็นสัญญากับทีม McLaren และก็เกือบคว้าแชมป์โลกได้ในปีนั้น เพราะสามารถทำคะแนนได้มากที่สุดคือ 109 คะแนน แต่แชมป์โลกในปีนั้นอย่าง Lewis Hamilton ก็ทำได้เท่ากัน แต่เข้าเส้นชัยในอันดับที่ 2 ได้มากกว่าเท่านั้นเอง เขาขับให้กับ Mclaren จนจบสัญญา แล้วในปี 2010 ก็ย้ายไปขับให้กับทีม Ferrari และก็จบฤดูกาลแรกกับทีมใหม่ในอันดับที่ 2 อีกครั้ง พ่ายให้กับ Sebastian Vettel ที่ขับให้กับ Red Bull Racing แชมป์โลกในปีนั้นไป ก่อนที่ปี 2015 Alonso จะย้ายกลับไปขับให้ McLaren อีกครั้ง ในปี 2015 แต่ก็ไม่สามารถสร้างผลงานที่ดีได้เลย จนประกาศเลิกขับ F1 ไปในปี 2018 แล้วออกไปขับรายการอื่น ๆ แทน และก็ถือว่ามีผลงานที่น่าพอใจ เพราะคว้าแชมป์ได้ทั้งรายการ FIA World Endurance Championship และ 24 Hours of Le Mans กับทีม Toyota Gazoo Racing แต่ในที่สุดก็ถูกทีมเดิมที่เคยคว้าแชมป์โลกด้วยกันอย่าง Renault ภายใต้ชื่อใหม่ Alpine F1 Team นั่นเอง

ติดตามตอนที่ 2 ที่นี่

ติดตามข่าวสารรถยนต์รวดเร็วก่อนใครได้ที่ AUTODEFT.com

5 เรื่องน่าสนใจ