ทำความรู้จัก 10 ทีม 20 นักแข่งรถสูตร 1 Formula 1 ประจำฤดูกาล 2022 ตอนที่ 2

  • โดย : พิสน ลีละหุต
  • 14 มี.ค. 65
  • 13,002 อ่าน

เข้าสู่ฤดูกาลใหม่ของการแข่งขันรถสูตร 1 Formula 1 หรือเรียกกันง่าย ๆ ว่า F1 กันอีกแล้ว เรามาดูกันหน่อยดีกว่าว่า 10 ทีม 20 นักแข่งที่ลงชิงชัยในปีนี้มีใครบ้าง ติดตามกันได้เลย

อ่านตอนที่ 1 ได้ที่นี่

F1

Scuderia AlphaTauri

Scuderia AlphaTauri Honda หรือ Scuderia Toro Rosso เดิม ทีมนี้คือทีมน้องร่วมสายเลือดกับ Red Bull Racing เลย เพราะนักแข่ง 4 คนจาก 2 ทีมนี้ สามารถสลับสับเปลี่ยนตำแหน่งกันได้อยู่ตลอดเวลา สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่อิตาลี เริ่มก่อตั้งทีมตั้งแต่ปี 2006 ด้วยการซื้อทีม Minardi ต่อมาจาก Paul Stoddart ทาง Dietrich Mateschitz ผู้เป็นเจ้าของ Red Bull เลยต้องการใช้ทีมนี้เป็นเหมือนทีมฝึกหัดเยาวชนเพื่อให้พร้อมกับการขึ้นไปสู่ทีมใหญ่ใน Red Bull Racing อีกทีหนึ่ง โดยปีแรกใช้งานนักขับอย่าง Vitantonio Liuzzi และ Scott Speed แต่ด้วยเครื่องยนต์ที่ไม่เป็นใจ เลยไม่สามารถขับให้จบการแข่งขันไปหลายสนาม และทำอันดับได้ไม่ดี เลยจบฤดูกาลแรกด้วยการเก็บไปได้เพียง 1 คะแนนเท่านั้น ปี 2007 เลยตัดสินใจเปลี่ยนเครื่องยนต์ไปใช้ของ Ferrari แต่ก็ดีขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เก็บไปได้เพียง 8 คะแนน แต่ปีนี้เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง เพราะช่วง 7 สนามสุดท้าย ก็ได้มีการเอา Sebastian Vettel เข้ามาเป็นนักขับแทน Scott Speed และทำผลงานได้ดีที่สุดถึงอันดับที่ 4 ปี 2008 Vettel เลยได้ตำแหน่งนักขับในทีมไปครอง เป็นปีที่เริ่มลืมตาอ้าปากได้ เพราะสามารถเก็บแต้มได้ถึง 39 แต้ม แถมยังคว้าแชมป์ได้อีก 1 สนาม ผลงานของ Vettel ที่รายการ Italian Grand Prix อีกด้วย ก่อนที่ภายหลังจะได้ขึ้นไปขับในทีมใหญ่ จากนั้น Toro Rosso ก็กลายเป็นทีมแรกรับของนักแแข่งเยาวชน เพื่อป้อนนักแข่งส่งให้ทีมใหญ่อีกหลากหลายคน ทั้ง Daniel Ricciardo, Daniil Kvyat, Max Verstappen, Pierre Gasly, Alexander Albon หรือแม้กระทั่ง Carlos Sainz Jr. ที่ไม่เคยขึ้นไปขับทีมใหญ่ แต่ย้ายไปขับให้ Renualt และ Mclaren และ Ferrari ก็เคยอยู่ในทีมนี้มาก่อนเช่นกัน ปีล่าสุด 2021 สามารถเก็บคะแนนรวมไปได้ 142 คะแนน เป็นอันดับที่ 6 ปัจจุบันใช้เครื่องยนต์ของ Honda เป็นขุมกำลังเช่นเดียวกับทีมใหญ่

F1

Scuderia AlphaTauri Honda ปัจจุบันมี Franz Tost ชาวออสเตรียวัย 66 ปีช่วยดูแลเป็นผู้อำนวยการทีมอยู่ แต่ก็มี Dr. Helmut Marko มาช่วยดูแลอยู่เช่นกัน

นักแข่ง

F1

Pierre Gasly

นักขับวัยรุ่นดวงใหม่วัย 26 ปี Pierre Gasly เป็นชาวฝรั่งเศส ที่เติบโตมาจาก Red Bull Junior Team เช่นกัน เริ่มเข้ามาอยู่ในวงการรถสูตร 1 ได้ตั้งแต่ปี 2015 ด้วยการเป็นนักขับสำรองให้กับทีม Red Bull Racing ก่อนที่ในปี 2017 ช่วงปลายฤดูกาล เขาได้โปรโมทขึ้นเป็นนักขับหลักให้กับทีมเล็ก Toro Rosso แทนที่ Daniil Kvyat ลงแข่งรวม 5 สนาม แต่ไม่สามารถเก็บคะแนนได้เลย ปีต่อมา ฤดูกาล 2018 ได้การันตีอยู่ในทีมเดิมต่อไป โดยเปลี่ยนคู่หูใหม่เป็น Brendon Hartley โดยเปิดตัวได้อย่างดี สามารถคว้าอันดับ 4 ได้ใน Bahrain Grand Prix ก่อนที่จะจบฤดูกาลไปด้วย 29 คะแนน เป็นอันดับที่ 15 ปีต่อมาจึงได้รับโอกาสที่ดีที่สุดในชีวิต ด้วยการถูกดึงขึ้นไปขับให้กับทีมใหญ่ Red Bull Racing เคียงคู่กับ Max Verstappen แต่ด้วยฟอร์มที่ไม่ดี และรับแรงกดดันไม่ไหว ไม่สามารถขึ้นไปกดดันกลุ่มทีมนำได้เลย จนถึงช่วงเบรกพักครึ่งฤดูกาล Christian Horner ผู้อำนวยการทีมจึงตัดสินในลดชั้น Pierre Gasly ลงไปอยู่ทีม Toro Rosso เช่นเดิม แล้วให้ Alex Albon ขึ้นมาขับทีมใหญ่แทน ซึ่งหลังจากนั้นก็ถือว่าเขาสามารถงัดฟอร์มที่ดีกลับมาได้อีกครั้ง โดยสามารถทำผลงานได้ดีที่สุดในบราซิล ด้วยการขึ้นโพเดียมด้วยการเป็นอันดับที่ 2 เป็นครั้งแรกในชีวิตในการแข่งขัน F1 เลย จบฤดูกาลด้วยการเก็บไป 95 คะแนน เป็นอันดับที่ 7 และได้ที่นั่งในทีมเดิมต่อไป และปี 2020 คือปีที่ดีที่สุดของเขาเลย เพราะสามารถระเบิดฟอร์มได้อย่างเต็มที่ มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม คว้าแชมป์ไปได้ 1 รายการที่ Monza และเก็บแต้มได้สม่ำเสมอ สุดท้ายจบฤดูกาลไปที่อันดับที่ 10 สุดท้ายแล้วความหวังในการกลับไปนั่งในทีม Red Bull Racnig ก็ยังไม่เป็นจริง เมื่อทีมใหญ่ยังมองว่าเขาเหมาะกับทีมเล็กมากกว่า ส่วนผลงานในฤดูกาลก่อน สามารถเก็บไปได้ 110 คะแนน จบเป็นอันดับที่ 9 ผลงานที่ดีที่สุดคือการจบอันดับที่ 3 ที่รายการ Azerbaijan Grand Prix

F1

Yuki Tsunoda

หนุ่มน้อยชาวญี่ปุ่นวัย 20 ปี ที่เริ่มไต่เต้าความสำเร็จมาตั้งแต่วัย 16 กับการเข้ามาแข่งขันในรายการ Formula 4 ในญี่ปุ่น จากการเป็นนักเรียนในสังกัด Honda's Suzuka Circuit Racing School แล้วได้มาอยู่ในโครงการ Honda Formula Dream Project จบการแข่งขันสนามแรกด้วยอันดับที่ 2 และจบอันดับ 4 ในสนามที่ 2 ด้วยความมีฝีมือ จึงมีโอกาสได้เข้าร่วมทีม Red Bull junior team จนจบปี 2018 แล้วขยับตำแหน่งขึ้นมาขับ F3 ในปี 2019 กับทีม Jenzer Motorsport ซึ่งก็สามารถโชว์ฟอร์มได้ดีด้วยการเก็บคะแนนได้ทุกสนาม ได้แชมป์ 1 สนาม และขึ้นโพเดียมอีก 3 ครั้ง จากนั้นในปี 2020 ก็ได้ขยับขึ้นมาขับรายการ FIA Formula 2 Championship กับทีม Carlin คว้าแชมป์ไปได้ 3 สนาม, 4 Pole-Position, 7 โพเดียม จบฤดูกาลในอันดับที่ 3 จนได้รับโอกาสในการเป็นนักขับหลักของทีม Scuderia AlphaTauri Honda ในปี 2021 แทนที่ของ Daniil Kvyat ซึ่งก็ถือว่าเป็นนักแข่ง Rookie ที่สามารถทำผลงานได้ดีมากที่สุดในฤดูกาลก่อนกับการเก็บได้ 32 คะแนนจบอันดับ14 ในคะแนนนักขับรวม ผลงานที่ดีที่สุดคือการจบอันดับที่ 4 ในการแข่งสนามสุดท้ายที่ Abu Dhabi

F1

Aston Martin Aramco Cognizant Formula One Team

เมื่อปีก่อน นายใหญ่ของทีมอย่าง Lawrence Stroll นักธุรกิจชาวแคนาดาที่เข้าไปซื้อหุ้น Aston Martin เป็นจำนวน 20% เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นจากเดิมชื่อทีม Force India ที่เจ้าของทีมเดิมอย่าง Vijay Mallya มาเป็น Lawrence Stroll แล้วเปลี่ยนชื่อทีมเป็น Racing Point ก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็น Aston Martin ในฤดูกาล 2021 โดยปัจจุบันทีม Aston Martin ใช้บริการเครื่องยนต์ของ Mercedes อยู่ จบฤดูกาล 2021 ด้วยอันดับที่ 7 ด้วยคะแนนเพียง 77 คะแนนเท่านั้น

F1

Aston Martin มีฐานสำนักงานใหญ่อยู่ในประเทศอังกฤษ เคยมี Otmar Szafnauer ชายชาวโรมาเนียอายุ 57 ปี เป็นผู้อำนวยการทีม แต่ฤดูกาลนี้เขาถูกส่งไปควบคุมทีม Alpine แทน โดยปีนี้จะได้ Mike Krack ชาว Luxembourg วัย 49 ปี ที่เคยเป็นวิศวกรเครื่องยนต์รถแข่งให้กับทีม BMW Sauber มาก่อน  แต่คนที่มีอิทธิพลในทีมมากที่สุด คงหนีไม่พ้นเจ้าของทีม Lawrence Stroll นั่นเอง

นักแข่ง

F1

Sebastian Vettel

อดีตแชมป์โลก 4 สมัยอย่าง Sebastian Vettel เป็นชาวเยอรมันอายุ 34 ปี เริ่มต้นการเข้าร่วม F1 เป็นนักแข่งสำรองของทีม BMW Sauber เมื่อปี 2006 แต่มีโอกาสได้เพียงเป็นนักแข่งทดสอบในรอบ Practice เท่านั้น จนมาถึงปี 2007 เมื่อนักแข่งหลักอย่าง Robert Kubica ได้รับอุบัติเหตุหนักจนไม่สามารถทำการแข่งขันต่อได้ในสนามที่ 6 Vettel เลยได้เลื่อนขึ้นมาเป็นนักแข่งหลักในทีมได้ที่สนาม 7 รายการ United States Grand Prix เขาเริ่มต้นการแข่งขันสนามแรกด้วยการจบที่ 8 กลายเป็นนักแข่งอายุน้อยที่สุดที่สามารถคว้าคะแนนในการแข่งรถสูตร 1 ไปได้ แต่ขับไปได้เพียงไม่กี่สนาม ทีมก็ได้ปล่อยตัวเขาให้ไปร่วมทีม  Scuderia Toro Rosso เพื่อไปแทนที่ Scott Speed ในสนามที่ 11 รายการ Hungarian Grand Prix แต่เปิดตัวได้ไม่ดีเท่าไหร่ เพราะคัดเลือกได้เป็นอันดับที่ 20 และจบการแข่งขันเป็นอันดับที่ 20 แล้วมาเจอฝันร้ายในสนามที่ 15 กับการแข่งขันรายการ Japanese Grand Prix เมื่อเขาทำอันดับได้ดี ขึ้นมาอยู่ที่ 3 ตามหลัง Lewis Hamilton และ Mark Webber อยู่ แต่ขณะที่กำลังอยู่ในช่วงรถ safety car วิ่งอยู่ Vettel ดันพลาดขับไปชน Webber (ทีม Redbull) จนต้องออกจากการแข่งขันไปทั้งคู่ กลายเป็นฝันร้ายที่สุดในชีวิตการแข่งขันของเขาเลย ทำให้สนามต่อมาเขาถูกปรับกริดไป 10 อันดับ แต่ถูกเลื่อนขึ้นมาเนื่องจากทางคณะกรรมการมองว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเกิดจากพฤติกรรมการขับของ Lewis Hamilton หลังรถ Safety Car แต่สามารถแก้ตัวได้ในสนาม Chinese Grand Prix ด้วยการขับจบเป็นอันดับ 4 เก็บไปได้ 5 คะแนน ดีที่สุดตั้งแต่ก่อตั้งทีม Toro Rosso มา และปีต่อมาคือปีทองของเขากับทีมนี้ เพราะสามารถคว้าแชมป์ได้ 1 สนาม เก็บคะแนนได้รวม 35 คะแนน มากกว่า Mark Webber และ David Coulthard จาก Red bull ทีมใหญ่ด้วยซ้ำ จนในที่สุดปี 2009 Sebastian Vettel ก็ได้เลื่อนขึ้นมาขับให้กับทีมใหญ่อย่าง Red bull แทนที่  David Coulthard และเป็นปีที่เริ่มเฉิดฉายของเขาทันที ด้วยการคว้าแชมป์ไปได้ 4 สนาม ยืนบนโพเดียม 8 สนาม คว้าคะแนนเป็นอันดับที่ 2 ไปรวม 84 คะแนน ตามหลัง Jenson Button ที่คว้าแชมป์ไปได้เพียง 11 คะแนนเท่านั้น แถมพาทีมคว้าอันดับ 2 ของทีมผู้สร้างได้อีกด้วย ก่อนที่ 4 ปีถัดมา คือ 2010-2013 เขาคว้าแชมป์ไปได้ 4 ปีรวดกับทีม Red bull พร้อมพาทีมคว้าแชมป์ทีมผู้สร้างได้เป็นครั้งแรกอีกด้วย จนมาถึงปี 2015 Vettel ตัดสินใจทำสัญญา 3 ปีกับ Scuderia Ferrari เปิดฤดูกาลแรกด้วยการจบเป็นอันดับที่ 3 คว้าแชมป์ไปได้ 3 สนาม แต่ปีต่อมาผลงานก็ถอยหลังลงอีก เมื่อจบเป็นอันดับที่ 4 โดยไม่สามารถคว้าแชมป์สนามไหนได้เลย แต่ 2 ปีต่อมา Vettel ทำผลงานได้ดีขึ้น แต่ยังไม่สามารถทำได้ดีกว่าแชมป์โลกอย่าง Lewis Hamilton ไปได้ จบเป็นอันดับที่ 2 ทั้ง 2 ปี จนฤดูกาล 2019 สุดจบได้เพียงอันดับที่ 5 คว้าแชมป์ได้สนามเดียว ท่ามกลางการเฉิดฉายของเด็กรุ่นใหม่อย่าง Max Verstappen และ Charles Leclerc จนปี 2020 ทาง Ferrari ตัดสินใจไม่ต่อสัญญากับเขา รวมทั้งรถของ Ferrari ในปีก่อนกลับแย่ลงอย่างเห็นได้ชัด และการ Support จากทีมก็แย่ลง ทาง Vettel เลยหันไปเซ็นสัญญาขับให้กับทาง Aston Martin แทน ซึ่งก็ถือว่าเข้ามาช่วยได้ยังไม่ดีมากพอ เพราะสามารถเก็บคะแนนไปได้เพียง 43 คะแนน จบเป็นอันดับที่ 12 เท่านั้น ผลงานที่ดีที่สุดคือการได้อันดับที่ 2 ในรายการ Azerbaijan Grand Prix ส่วนรายการที่ฮังการี เขาก็เข้าเป็นอันดับที่ 2 เช่นกัน แต่ถูกปรับแพ้เพราะมีน้ำมันเหลือไม่มากพอให้กรรมการตรวจสอบหลังจากจบการแข่งขัน

F1

Lance Stroll

แน่นอนว่า ในเมื่อพ่อของเขาเป็นเจ้าของทีม ลูกชายอย่าง Lance Stroll ชายหนุ่มชาวแคนาดาวัย 23 ปี ก็ต้องมาขับให้กับทีมของพ่อตัวเองอย่างแน่นอน แต่จุดเริ่มต้นชีวิตในวงการ F1 ไม่ได้เริ่มต้นที่นี่ แต่ไปเริ่มกับทีม Williams ตั้งแต่ปี 2017 ถึงแม้ว่าจะโชว์ฟอร์มได้ไม่ดีใน 3 สนามแรก เพราะไม่สามารถจบการแข่งขันได้เลย แต่ที่สนาม 4 ในรัสเซีย เขาก็สามารถขับจบการแข่งขันได้เป็นครั้งแรก โดยเข้าเป็นอันดับที่ 11 แต่หลังจากนั้นเขาก็เริ่มขับได้ดีขึ้น โดยตำแหน่งดีที่สุดคือการที่สามารถขึ้นโพเดียมได้ใน Azerbaijan Grand Prix จบเป็นอันดับที่ 3 ที่ตอนนั้นมีอายุเพียง 18 ปี 239 วันเท่านั้น จบฤดูกาลแรกด้วยการเก็บได้ 40 คะแนน ได้อันดับที่ 12 ไป ต่อมาในฤดูกาล 2018 Stroll ยังคงขับให้ Williams ต่อไปเช่นเดิม ถึงแม้ว่าพ่อของเขาจะเข้ามาซื้อทีม Force India และเปลี่ยนเป็น Racing Point ในช่วงกลางฤดูกาล จบฤดูกาลด้วยการเก็บไปได้เพียง 6 คะแนน จบอันดับที่ 18 ถือเป็นผลงานที่แย่ลงทั้งตัวนักขับและในส่วนของทีม จนปีล่าสุด 2019 ที่เขาย้ายมาขับให้ทีม Racing Point อย่างเป็นทางการ จบฤดูกาลด้วยการเก็บไป 21 คะแนน จบเป็นอันดับที่ 15 เคยทำตำแหน่งได้ดีที่สุดคืออันดับที่ 4 ในรายการ Germany Grand Prix แต่ปี 2020 เขาทำผลงานได้ดีขึ้น ด้วยการขึ้นโพเดียมได้ 2 ครั้ง และเก็บคะแนนได้เกือบทุกสนาม จบฤดูกาลเป็นอันดับที่ 11 ส่วนฤดูกาลก่อนฟอร์มจะแย่ลง เพราะเก็บคะแนนไปได้เพียง 34 คะแนนเท่านั้น ผลงานที่ดีที่สุดคือการจบอันดับที่ 6 ที่กาตาร์ แต่สุดท้ายแล้ว เขาก็เป็นนักแข่งที่มีตำแหน่งนักแข่วงรถ F1 ที่มั่นคงมากที่สุดแล้ว เพราะมีพ่อเป็นเจ้าของทีมนั่นเอง

F1

Williams Racing
ถือเป็นอีกปีที่มีการเปลี่ยนแปลงในทีม Williams Racing อย่างมากมาย โดยทีมนี้เริ่มต้นก่อตั้งทีมแล้วเข้าร่วมแข่งขัน F1 ตั้งแต่ปี 1977 โดย Sir Frank Williams เริ่มต้นด้วยการใช้เครื่องยนต์ของ Ford-Cosworth แต่ไม่สามารถเก็บแต้มได้เลยในช่วงปีแรก แต่มาเริ่มสะสมความยิ่งใหญ่ในปี 1980 เมื่อได้นักขับอย่าง Alan Jones กับ Carlos Reutemann มาช่วยเก็บแต้มได้เป็นกอบเป็นกำ จนคว้าแชมป์ไปได้ทั้งฐานะทีมผู้สร้างและนักขับ ใช้เวลาเพียงไม่กี่ปี่ก็สามารถคว้าแชมป์โลกได้แล้ว และมีการเก็บแชมป์โลกในรางวัลทีมผู้สร้างไปรวม 9 ครั้ง (1980, 1981, 1986, 1987, 1992, 1993, 1994, 1996, 1997) และในรางวัลนักขับอีก 7 ครั้ง (1980, 1982, 1987, 1992, 1993, 1996, 1997) ทั้ง Alan Jones, Keke Rosberg, Nelson Piquet, Nigel Mansell, Alain Prost, Damon Hill และคนสุดท้ายที่สร้างความสำเร็จได้คือ Jacques Villeneuve ซึ่งขับรถสูตร 1 เป็นปีที่ 2 เท่านั้นก็สามารถคว้าแชมป์โลกได้เลย แต่หลังจากนั้นเป็นต้นมา ผลงานของทีม Williams ก็ไม่สามารถขยับขึ้นไปใกล้กับคำว่าแชมป์โลกได้อีกเลย โดยมีการเปลี่ยนไปใช้เครื่องยนต์หลายหลายยี่ห้อ โดยปี 1998 ใช้ของ Mecachrome, ปี 1999 ใช้ของ Supertec, ปี 2000-2005 ใช้ของ BMW, ปี 2006 กลับมาใช้ของ Cosworth อีกครั้ง ปีต่อมาเปลี่ยนเป็นของ Toyota ใช้ต่อเนื่องจนถึงปี 2010-2011 กลับมาใช้ของ Cosworth อีก ปี 2012–2013 หันไปใช้ของ Renault ก่อนที่จะถึงปี 2014 จะหันมาใช้ของ Mercedes-Benz ซึ่งยังใช้ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ฤดูกาลล่าสุดคือความตกต่ำสุดขีดของทีม Williams Racing เพราะจากการแข่งขันไป 21 สนาม ทีมสามารถเก็บได้เพียงคะแนนเดียว จากการแข่งขันในเยอรมนี ที่ Robert Kubica สามารถเข้าเส้นชัยได้เป็นอันดับที่ 10 ท่ามกลางฝนที่ตกอย่างหนัก วิ่งเข้าเส้นชัยได้เพียงแค่ 13 คันจาก 20 คันเท่านั้นเอง แถมนักแข่งจากทีม Alfa Romeo ยังถูกปรับเพิ่มอีก 30 วินาที จากการทำผิดกฎเรื่องระบบช่วยเหลือตอนออกสตาร์ทอีกด้วย และผลงานของฤดูกาล 2020 ยิ่งย่ำแย่ไปใหญ่ ไม่สามารถเก็บได้แม้แต่คะแนนเดียว สุดท้ายเมื่อช่วงกลางฤดูกาล จึงได้มีการเปลี่ยนมือจากกลุ่มตระกูล Williams ไปสู่มือของกลุ่มทุนในสหรัฐฯ Dorilton Capital ที่เข้ามาดูแลทีมต่อไปด้วยจำนวนเงิน 152 ล้านยูโร หรือประมาณ 5,500 ล้านบาท ฤดูกาลก่อนถือเป็นปีที่ดีขึ้นเลย เพราะสามารถเก็บคะแนนได้รวมทั้งปี 23 คะแนน จบเป็นอันดับที่ 8 แต่ก็มีข่าวร้ายเมื่อผู้ก่อตั้งทีมอย่าง Sir Frank Williams ต้องจากไปอย่างสงบด้วยวัย 79 ปีเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2021 ที่ผ่านมา

F1

แน่นอนว่า ทีม Williams Racing ถูกดูแลโดยคนในตระกูล Williams มายาวนาน 43 ปี ทั้ง Sir Frank Williams ผู้ก่อตั้งทีมและ Claire Williams ที่มาดูแลในภายหลัง แต่เมื่อมีการเปลี่ยนเจ้าของแล้ว ทีมจึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงผู้ดูแลทีมใหม่ ซึ่งปีก่อนได้ Simon Roberts ชาวอังกฤษวัย 60 ปี  มาเป็นผู้อำนวยการทีม แต่ในช่วงกลางฤดูกาลก็ถูกเปลี่ยนเป็น Jost Capito ชาวเยอรมันวัย 63 ปี ที่คร่ำหวอดในวงการ Motorsport มากว่า 30 ปี ทั้ง BMW Motorsport, Porsche, Sauber, Ford Performance, Volkswagen Motorsport, McLaren ก่อนที่จะมาเป็น CEO และผู้อำนวยการทีมในปัจจุบัน

นักแข่ง

F1

Nicholas Latifi

นักแข่งชาวแคนาดาวัย 26 ปี Nicholas Latifi เริ่มเข้าสู่วงการนี้ตั้งแต่ปี 2016 ในฐานะนักแข่งทดสอบให้กับทีม Renault ก่อนที่ปี 2018 จะย้ายไปขับทดสอบและเป็นนักขับสำรองให้กับ Force India และในที่สุดโอกาสของเขาก็มาถึง เมื่อทีม Williams Racing ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า Nicholas Latifi จะเป็นนักแข่งให้กับทีมในฤดูกาล 2020 แต่ก็ทำผลงานได้สุดย่ำแย่ จบเป็นอันดับที่ 20 ไม่สามารถเก็บคะแนนได้เลย แต่ก็ยังได้ขับต่อในปี 2021 ที่เป็นปีที่เขาทำผลงานได้ดีขึ้น ด้วยการเก็บได้ 7 คะแนน ทำคะแนนรวมจบเป็นอันดับที่ 17 และยังได้ไปต่อกับทีมเดิมต่อไปในปี 2022

F1

Alexander Albon
นักแข่งลูกครึ่งไทย-อังกฤษ “น้องเล็ก” Alexander Albon นักแข่ง F1 ที่ลงทำการแข่งขันภายใต้ธงชาติไทย อายุ 25 ปี เริ่มต้นเหมือนกับนักแข่งทั่วไปด้วยการขับรถแข่งโกคาร์ทมาก่อนตั้งแต่เด็ก แล้วเริ่มเข้ามาสู่วงการ F2 ช่วงปี 2017 กับการขับให้ทีม ART Grand Prix ด้วยการจบเป็นอันดับที่ 10 ของคะแนนนักขับ ทำคะแนนไปได้ 86 คะแนน โดยสนามสุดท้ายเกือบที่จะคว้าแชมป์ไปได้ที่สนาม Abu Dhabi แต่กลับโดน Charles Leclerc เฉือนเข้าเส้นชัยไปได้อย่างหวุดหวิด ปีต่อมาก็ได้ย้ายไปขับให้ทีม DAMS แล้วจบฤดูกาลไปด้วยอันดับที่ 3 แต่ก็เหมือนเป็นทางตัน Albon ได้ตัดสินใจยอมเซ็นสัญญาย้ายไปแข่งขันรายการใหม่อย่าง Formula E ซึ่งเป็นรายการแข่งขันรถยนต์ไฟฟ้าทางเรียบ โดยจะร่วมแข่งกับทีม Nissan e.dams ในฤดูกาล  แต่ทุกอย่างกลับตาลปัตร เมื่ออยู่ดี ๆ ทีม Toro Rosso ยอมจ่ายค่าฉีกสัญญา ดึงเอา Albon เข้าไปร่วมทีมในปีนั้นทันที โดยมาแทนที่ของ Pierre Gasly ที่ถูกขยับขึ้นไปขับให้ทีมใหญ่ Red Bull Racing แทน ถือเป็นคนไทยคนที่ 2 ต่อจากพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช ที่ได้ร่วมลงทำการแข่งขัน F1 ตั้งแต่ปี 1954 และใช้เวลาเพียงสนามที่ 2 ในรายการ Bahrain Grand Prix น้องเล็กก็สามารถคว้าแต้มแรกมาให้กับตัวเองได้ด้วยการจบเป็นอันดับที่ 9 และเริ่มมาส่องประกายให้โลกเห็นในรายการที่ประเทศจีน เขาต้องเริ่มการแข่งจาก Pit Lane จากอุบัติเหตุหนักในการทดสอบรอบ 3 จนไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขันรอบคัดเลือก แต่เขาก็สามารถพาตัวเองเข้าเส้นชัยจบเป็นอันดับที่ 10 ได้ จนได้รางวัล Driver Of The Day จากการโหวตของผู้ชมไปได้ และสามารถทำอันดับดีที่สุดให้ Toro Rosso ได้ด้วยตำแหน่งอันดับที่  6 ในการแข่งขัน German Grand Prix

F1

และแล้วก็มาถึงจุดพลิกผันอีกครั้ง เมื่อผู้อำนวยการทีม Red Bull Racing อย่าง Christian Horner นั้นมองว่า  Pierre Gasly ยังไม่ดีพอสำหรับทีมใหญ่ ทาง Dr. Helmut Marko เลยแนะนำให้ลองดึง Alex Albon มาขับให้แทน จนในที่สุดหลังจากพักครึ่งฤดูกาล ทีมเลยตัดสินใจประกาศการสลับที่กันของทั้ง 2 คนนี้ โดย Albon จะเริ่มเป็นนักขับของทีมใหญ่ Red Bull Racing ตั้งแต่สนาม Belgian Grand Prix เป็นต้นไปจนจบฤดูกาล แล้วมาประเมินกันอีกครั้งว่าปี 2020 ใครจะได้มาขับคู่กับ Max Verstappen ซึ่งโอกาสอันดีนี้ Albon ก็ไม่ปล่อยให้หลุดมือไปง่าย ๆ เพราะแค่สนามแรกที่เขาต้องเริ่มแข่งขันด้วยตำแหน่งที่ 17 จากการที่ถูกปรับเรื่องการเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ แต่เขาก็สามารถขับไล่แซงไปจนจบในอันดับที่ 5 ได้ ภาพจำสนามนี้คือการวิ่งแซง  Sergio Pérez ไปได้ในรอบสุดท้าย แบบเบียดลงข้างทางฝุ่นฟุ้งกระจาย และอีกครั้งที่สนามในรัสเซีย ที่ Albon เกิดอุบัติเหตุในรอบคัดเลือก จนต้องเริ่มต้นใน Pit Lane อีกครั้ง แต่ก็สามารถไต่อันดับแซงมาจนจบอันดับที่ 5 ได้ และสนามรองสุดท้ายที่บราซิล ในขณะที่เหลือไม่กี่รอบ Albon ครองอันดับที่ 2 อยู่ และน่าจะเป็นครั้งแรกที่น้องเล็กจะจบการแข่งขันด้วยตำแหน่งบนโพเดียม แต่แล้วแชมป์โลก Lewis Hamilton ก็มาชนจนหลุดออกนอกแทรค จนต้องมาจบอันดับที่ 14 ไปอย่างน่าเสียดาย แต่สุดท้ายแล้วเขาก็จบฤดูกาลไปได้ด้วยอันดับที่ 8 มี 92 คะแนน พร้อมตำแหน่งนักขับในที่เดิมต่อไปในปี 2020

F1

แต่ในปี 2020 กลับเป็นปีที่แย่สุด ๆ ของน้องเล็ก เมื่อเปิดสนามแรกที่กำลังจะฉายฟอร์มเยี่ยม และกำลังไล่แซงเพื่อคว้าตำแหน่งบนโพเดียมให้ได้เป็นครั้งแรก แต่กลับโดนเจ้าเก่าเจ้าเดิมอย่าง Hamilton ชนในมุมแบบเดิมจนหลุดแทรคไปในช่วงท้ายการแข่งขัน จนต้องออกจากการแข่งขันไป และหลังจากนั้น Albon เองก็ไม่สามารถประคองฟอร์มของตัวเองเอาไว้ได้สม่ำเสมอ ถึงแม้ว่าจะสามารถขึ้นโพเดียมได้อีก 2 ครั้งที่อิตาลีและบาห์เรน แต่ทีมก็มองว่าเขายังไม่ดีพอที่จะช่วยส่งให้ Max Verstappen ขึ้นไปครองแชมป์โลกได้ ในปี 2021 “น้องเล็ก” เลยถูกเปลี่ยนหน้าที่ให้กลายไปเป็นนักขับสำรองแทน แต่ในช่วงปีที่ผ่านมา Albon เองก็ถือเป็นทีมงานสำคัญที่ช่วยให้การพัฒนารถของทีม Red Bull Racing ดีขึ้นได้อย่างมาก ด้วยการเป็นนักขับหลักในการขับ Simulator ให้กับทีมเพื่อพัฒนารถในทุกสนาม นอกจากนี้ยังถูกส่งไปพัฒนาฟอร์มการขับของตัวเองในรายการ DTM ภายใต้สังกัดทีม AlphaTauri AF Corse จับคู่กับ Liam Lawson โดยขับไปทั้งหมด 14 จาก 16 สนาม เก็บคะแนนรวมได้อันดับที่ 6 รวม 130 คะแนน เนื่องจากใน 2 สนามสุดท้ายนั้น ได้รับสัญญาจากทีม Williams Racing ให้ไปเป็นนักขับหลักให้กับทีมอย่างเป็นทางการของฤดูกาล 2022 แล้ว

F1

Alfa Romeo F1 Team ORLEN
ถึงแม้ว่าแบรนด์รถยนต์ Alfa Romeo จะมีต้นกำเนิดจากฝรั่งเศส ก่อนที่ภายหลังจะถูกค่ายจากอิตาลีซื้อไป แต่กับทีม Alfa Romeo Racing นั้นต่างออกไป เพราะถูกดูแลโดยทีมงานของ Sauber Motorsport AG จากสวิตเซอร์แลนด์ ดังนั้นฐานสำนักงานใหญ่จึงอยู่ที่เมืองซูริค สวิตเซอร์แลนด์ เริ่มต้นการเข้าร่วมการแข่งขัน Formula 1 ตั้งแต่ปี 1950 - 1951 นักแข่งสามารถคว้าแชมป์ไปได้ทั้ง 2 ปี (Giuseppe Farina ปี 1950, Juan Manuel Fangio ปี 1951) ก่อนที่จะหยุดไปเพราะประสบปัญหาเรื่องการเงิน หลังจากนั้นหลายปี ก็เริ่มกลับมาแข่งขันใหม่อีกครั้งในปี 1979 ใช้ชื่อทีมว่า Alfa Romeo 177 เริ่มต้นด้วยการใช้เครื่องยนต์ของ Ford/Cosworth เป็นขุมกำลัง ซึ่งทีมก็ลงทำการแข่งขันอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จแต่อย่างใด ก่อนที่จะจบฤดูกาลสุดท้ายเมื่อปี 1985 จนถึงฤดูกาล 2018 ทาง Alfa Romeo ก็ได้เข้ามาเป็นพาร์ทเนอร์กับทีม Sauber เป็นการกลับมาในวงการ F1 ใหม่อีกครั้ง แล้วใช้ชื่อทีมเป็น Alfa Romeo Sauber F1 Team และเปลี่ยนเครื่องยนต์จาก Honda ให้มาเป็น Ferrari ใช้นักขับเป็น Charles Leclerc กับ Marcus Ericsson จบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 8 มี 48 คะแนน และเมื่อปี 2019 ก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็น Alfa Romeo Racing อย่างเป็นทางการ มีนักขับอย่าง Kimi Räikkönen และ Antonio Giovinazzi เป็นกำลังหลัก และยังคงใช้เครื่องยนต์ของ Ferrari ต่อไป ปิดฤดูกาลล่าสุดด้วยการมีเพียง 8 คะแนน ได้อันดับ 8 ไป ก่อนที่ปี 2022 จะเก็บคะแนนได้เพิ่มเป็น 13 คะแนน แต่กลับจบได้เป็นอันดับที่ 9 แทน พร้อมกับการประกาศเลิกขับของ “The Iceman” Kimi Räikkönen

F1

Alfa Romeo Racing ORLEN มี Frédéric Vasseur ชายวัย 53 ปีชาวฝรั่งเศสเป็นผู้อำนวยการทีม รับหน้าที่มาตั้งแต่ปี 2017

นักแข่ง

F1

Valtteri Bottas
นักแข่งชาวฟินแลนด์ชื่อว่า Valtteri Bottas อายุ 32 ปี เริ่มต้นอาชีพนักขับ F1 ในปี 2013 กับทีม Williams เปิดฤดูกาลแรกได้ดีที่สุดคือการทำเวลารอบคัดเลือกในสนาม Canadian Grand Prix เป็นอันดับที่ 3 คว้าคะแนนแรกในสนาม United States Grand Prix ด้วยการจบอันดับที่ 8 และจบปีแรกด้วยการเก็บได้เพียง 4 คะแนนเท่านั้น ก่อนที่ปีต่อมาจะเริ่มฉายแวว ด้วยการระเบิดฟอร์มจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 4 มากกว่าอดีตแชมป์โลกอย่าง Sebastian Vettel และ Fernando Alonso ด้วยซ้ำ ก่อนที่จะจบอันดับที่ 5 และ 8 ใน 2 ปีต่อมา และในที่สุดเขาก้ได้เข้าร่วมกับทีมแชมป์โลกอย่าง  Mercedes-AMG Petronas F1 Team ในปี 2017 ขับร่วมกับแชมป์โลกอย่าง Lewis Hamilton แชมป์โลกคนปัจจุบัน เข้ามาแทนที่ Nico Rosberg ที่คว้าแชมป์และประกาศเลิกแข่งไปทันที แต่แน่นอนว่าการเข้ามาอยู่เป็นนักแข่งเบอร์ 2 ของทีม แถมเบอร์ 1 ยังเป็นแชมป์โลกอีกต่างหาก มันไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างแน่นอน แต่ก็ถือว่าเริ่มต้นได้ไม่เลว เพราะสามารถคว้าอันดับที่ 3 ไปได้ เป็นรองเพียง Hamilton และ Vettel เท่านั้น โดยสามารถคว้าแชมป์ไปได้ถึง 3 สนาม ก่อนที่ปี 2018 จะฟอร์มตก กลายเป็นนักแข่งคนแรกของ Mecedes ที่จบฤดูกาลแล้วไม่สามารถคว้าแชมป์สนามได้เลย ตั้งแต่ Michael Schumacher ในปี 2012 จบที่ 2 ไปถึง 7 สนาม ก่อนที่ปีล่าสุด 2020 ที่สามารถคว้าแชมป์ไปได้ถึง 2 สนาม ขึ้นโพเดียม 11 ครั้ง จบฤดูกาลด้วยการคว้าอันดับที่ 2 ประเภทนักแข่งไป ถือเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยทีมคว้าแชมป์ประเภททีมผู้สร้างไปด้วย แต่ปี 2021 ฟอร์มของ Bottas ก็เริ่มไม่คงที่ ถึงแม้ว่าจะสามารถเก็บคะแนนได้มากถึง 226 คะแนน จบเป็นอันดับที่ 3 ก็ตาม แต่ทีมต้องการความสดใหม่ของ George Russell ที่ฟอร์มดีในปีก่่อนมาช่วยเอาแชมป์โลกนักขับกลับมาสู่ทีมมากกว่า เขาเลยไม่ได้รับการต่อสัญญาจากทีม แต่ด้วยฝีมือและประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมของ “ผู้กอง” ทำให้ทีม Alfa Romeo มอบสัญญาใหม่ให้กับเขา เพื่อมาแทนที่นักขับที่เลิกไปอย่าง Kimi Räikkönen นั่นเอง

F1

Zhou Guanyu
นักขับสายเลือดมังกร Zhou Guanyu วัย 22 ปี เริ่มต้นการขับรถแข่งตั้งแต่วัย 8 ขวบบนรถโกคาร์ท ก่อนที่จะย้ายตัวเองไปแข่งในอังกฤษในช่วงปี 2012 เพื่อให้มีรายการแข่งขันที่ใหญ่และมากขึ้น และก็โชว์ฟอร์มได้เยี่ยม เมื่อในปี 2013 เขาเก็บแชมป์ได้ 2 รายการด้วย จนเมื่อปี 2015 Guanyu ขยับขึ้นมาขับรถ F4 และคว้าแชมป์ได้ 3 สนามในรอบ 2 ที่สนาม Monza จบฤดูกาลนั้นด้วยการเป็นรองแชมป์ และรับตำแหน่ง “นักแข่งหน้าใหม่ยอดเยี่ยม” ไปครองได้ด้วย สำหรับในวงการ F1 นั้น Guanyu ได้เริ่มสัมผัสจริง ๆ ในปี 2014 ด้วยการเข้าร่วมเป็น 1 ในนักขับเยาวชนของ Ferrari Driver Academy จนไปจนถึงปี 2018 ก่อนที่จะย้ายตัวเองไปทีม Renault Sport Academy แทน แล้วรับหน้าที่เป็นนักขับของทีมพัฒนารถด้วย ก่อนที่ปี 2020 จะถูกดันขึ้นไปเป็นนักขับทดสอบให้กับทีม Renault Formula One Team ที่ปัจจุบันถูกเปลี่ยนชื่อไปเป็นทีม Alpine นั่นเอง และแล้วฝันก็เริ่มใกล้เข้าความเป็นจริง เมื่อเขาได้โอกาสในการขับรถ Alpine ในช่วงทดสอบที่การแข่งขัน Austrian Grand Prix 2021 นับเป็นสัมผัสแรกที่ได้ขับรถสูตร 1 อย่างจริงจัง ก่อนที่จะได้รับสัญญานักขับหลักจากทีม Alfa Romeo เพื่อลงแข่งในปี 2022 ซึ่งถือเป็นนักแข่งจากเมืองจีนคนที่ 2 ต่อจาก Ma Qinghua ที่ได้รับสัญญาเพื่อลงแข่ง F1 แต่ถ้าเขาได้ลงแข่งขันอย่างจริงจังเมื่อไหร่ เขาจะเป็นชาวจีนคนแรกที่ได้ลงแข่งรถสูตร 1 อย่างเป็นทางการทันที

F1

Haas F1 Team
ทีมสายเลือดอเมริกัน Haas เริ่มต้นทีมด้วยการเป็นทีมแข่ง Nascar ในสหรัฐฯ ก่อนที่จะเริ่มเข้ามาร่วมลงแข่งรถสูตร 1 ในปี 2016 มีฐานใหญ่อยู่ในสหรัฐฯ ก่อตั้งทีมโดย Gene Haas เจ้าของ Haas Automation ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องจักรกลโรงงาน เริ่มต้นฤดูกาลแรกด้วยการใช้นักแข่งอย่าง Romain Grosjean และ Esteban Gutiérrez แค่สนามแรกในรายการ Australian Grand Prix นักขับอย่าง Grosjean สามารถเข้าเส้นชัยได้ในอันดับที่ 6 เก็บไป 8 แต้มให้กับทีม ถือเป็นทีมผู้สร้างจากอเมริกาทีมแรกที่สามารถคว้าแต้มใน F1 ได้ และเป็นทีมที่ 2 ต่อจาก Toyota Racing ที่สามารถเก็บคะแนนได้ตั้งแต่ลงสนามครั้งแรกเมื่อปี 2002 และยังจบอันดับที่ 5 ในสนามต่อมาอีกด้วย เปิดปีแรกไปอย่างสวยงาม กับ 29 คะแนน เป็นอันดับที่ 8 จาก 11 ทีม และปี 2017 ได้สลับตำแหน่งนักขับด้วยการเอา Kevin Magnussen มาแทนที่ Gutiérrez แล้วก็เปิดหัวได้อย่างดี โดยเฉพาะที่โมนาโก เมื่อนักขับทั้ง 2 คนสามารถเก็บแต้มให้ทีมได้ทั้งคู่ (อันดับ 8 และ 10) จบฤดูกาลด้วยตำแหน่งเดิม เพิ่มเติมด้วยแต้มที่มากขึ้นเป็น 47 คะแนน แต่พอเข้ามาปี 2018 กลับเปิดหัวด้วยฝันร้ายในรายการที่ออสเตรเลีย โดยขณะที่แข่งอยู่นั้น Magnussen และ Grosjean กำลังอยู่ในอันดับที่ดี คือที่ 4 และที่ 5 แต่ความผิดพลาดใน Pit Stop ที่ทำการล๊อกยางไม่ดี ทำให้ทั้งคู่ต้องออกจากการแข่งขันไปอย่างไม่น่าเชื่อว่าความผิดพลาดจะเกิดขึ้นซ้ำ 2 ครั้งในรอบเดียวได้ แต่สุดท้ายแล้วทั้ง 2 คนก็ค่อย ๆ ไล่เก็บคะแนนได้เรื่อย ๆ จนสุดท้ายปิดฤดูกาลไปด้วย 93 คะแนน จบเป็นอันดับที่ 5 เป็นผลงานที่ดีที่สุดอย่างน่าประหลาดใจสำหรับทีมน้องใหม่ที่ลงแข่งเพียงไม่กี่ปี แต่ปีล่าสุด ฤดูกาล 2019 มันคือฝันร้ายของ Haas ถึงแม้จะใช้นักแข่งคู่เดิม แต่ผลงานกลับตกต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด จบฤดูกาลไปด้วยเพียงอันดับที่ 9 มี 28 คะแนนเท่านั้น อันดับที่ดีที่สุดคืออันดับ 7 ในสนามที่สเปนกับฮังการี ทำเอาเจ้าของทีมอย่าง Gene Haas หัวเสียไปเลย แต่เท่านั้นยังไม่แย่พอ เพราะทีมยังฟอร์มตกอย่างถึงที่สุด กับการเก็บได้เพียง 3 คะแนนเท่านั้น จบในอันดับรองบ๊วย แถมยังประสบปัญหาการเงินอีก ทำให้ปีนี้จึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงแบบยกทีม ด้วยการเสี่ยงเอานักแข่งหน้าใหม่ที่ไม่มีประสบการ์ในการแข่งรถ F1 มาก่อนเลยทั้ง Mick Schumacher และ Nikita Mazepin และก็พังจริง ๆ เพราะทีมไม่สามารถเก็บคะแนนจากทั้ง 2 คนได้เลย จบฤดูกาลปี 2021 ด้วยการไม่มีคะแนนเลย รับตำแหน่งบ๊วยไป แถมยังประสบปัญหาการเงินก่อนแข่งฤดูกาล 2022 อีก เพราะต้องตัดสินใจยกเลิกสัญญากับผู้สนับสนุนหลักอย่าง Uralkali เนื่องจากเจ้าของอย่าง Dmitry Mazepin เป็นผู้ใกล้ชิดกับ Vladimir Putin ประธานาธิบดีของรัสเซีย ที่ออกคำสั่งรุกรานประเทศยูเครน จนทำให้ทั่วโลกกำลังกดดันในรูปแบบต่าง ๆ และแน่นอนว่าเมื่อผู้สนับสนุนหลักถูกยกเลิกสัญญาไป นักขับอย่าง Nikita Mazepin ที่เข้ามาอยู่ในทีมได้ด้วยกำลังเงินสนับสนุน ก็ต้องถูกยกเลิกสัญญาไปด้วยแบบอัตโนมัติ

F1

Haas F1 Team ใช้บริการเครื่องยนต์ของ Ferrari อยู่ โดยมี Günther Steiner ชาวอิตาลีวัย 56 ปีเป็นผู้อำนวยการทีมตั้งแต่เริ่มต้น ซึ่งก่อนหน้านี้เขาเคยเป็นทีมงานให้กับ Red Bull Racing มาก่อน

นักแข่ง

F1

Mick Schumacher
นักขับชาวเยอรมันวัย 23 ปี ลูกชายของอดีตแชมป์โลก 7 สมัย Michael Schumacher แต่ Mick Schumacher เองก็คงอยากสร้างเกียรติประวัติของตัวเอง เริ่มต้นเข้าวงการรู Formula ด้วยการเข้าเป็นนักแข่งทดสอบให้กับทีม Jenzer Motorsport ในการแข่งขัน Formula 4 ในปี 2014 แล้วขยับขึ้นมาขับแข่งจริงในปี 2015 ก่อนที่ปี 2016 จะขยับคลาสขึ้นมาขับ Formula 3 ในรายการที่ประเทศอินเดียก่อน จนจบอันดับที่ 3 แล้วขยับขึ้นมาขับในรายการ FIA Formula 3 European Championship ในทีม Prema Powerteam จบฤดูกาลปี 2017 ไปด้วยอันดับที่ 12 ดีที่สุดคือการขึ้นโพเดียมเป็นอันดับที่ 3 ที่ Monza และเริ่มฤดูกาลปี 2018 ด้วยความย่ำแย่ โดยครึ่งฤดูกาลแรกเขาเก็บคะแนนอยู่เป็นอันดับที่ 10 เท่านั้น แต่จากนั้นก็เริ่มเก็บคะแนนได้เป็นกอบเป็นกำ เก็บชัยไปได้ 8 สนาม, 14 โพเดียม, 7 Pole-Position และ 4 fastest laps ทำให้ปี 2019 Mick Schumacher ได้ขยับขึ้นไปขับรายการ FIA Formula 2 Championship และจบฤดูกาลไปด้วยเพียงอันดับที่ 12 แต่ฤดูกาลต่อมาคือปี 2020 Mick Schumacher ก็ไม่ยอมแพ้ ยังคงขับให้กับทีม Prema เช่นเคย แล้วสามารถคว้าแชมป์ไปครองจนได้ สุดท้ายก็ได้สัญญาเป็นนักขับให้กับทีม Haas F1 Team ในฤดูกาล 2021 แล้วก็สร้างความพอใจให้กับทีมได้พอสมควร ถึงแม้ว่าจะเก็บคะแนนไม่ได้เลยก็ตาม แต่เขาก็จบด้วยอันดับดีกว่าเพื่อนร่วมทีมอย่าง Nikita Mazepin อยู่เสมอ จนได้ขับต่อในปี 2022

F1

Kevin Magnussen
หลังจากที่ทีมได้ยกเลิกสัญญากับ Nikita Mazepin ในช่วงลงสนามทดสอบก่อนเปิดฤดูกาลไม่กี่สัปดาห์ ทำให้ทีมต้องหันไปหาศิษย์เก่า นักขับชาวเดนมาร์กวัย 28 ปี Kevin Magnussen ใหม่มาขับแทน โดยเขาเริ่มต้นในวงการ F1 ด้วยการเป็นนักขับทอสอบให้กับทีม McLaren เมื่อปี 2012 ก่อนที่จะได้ขยับมาเป็นนักแข่งหลักเคียงข้างกับ Jenson Button แทนที่ของ Sergio Pérez ที่ย้ายไป Force India ในปี 2014 เปิดหัวฤดูกาลด้วยความน่าตื่นเต้น เพราะสามารถจบเป็นอันดับที่ 2 ได้ แล้วค่อย ๆ ทยอยเก็บแต้มให้กับตัวเองและทีมได้อย่างต่อเนื่อง จนสามารถจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 11 มี 55 คะแนน และปีถัดมาในฤดูกาล 2015 เขาก็ต้องหลีกทางให้กับอดีตแชมป์โลก Fernando Alonso ที่ย้อนกลับมาร่วมทีม McLaren ใหม่อีกครั้ง ทำให้ Magnussen ต้องกลายเป็นนักขับสำรองไป แต่แล้วในที่สุด เขาก็ได้กลับมาขับแทน Alonso จนได้ เพราะอดีตแชมป์โลกได้เกิดอุบัติเหตุในช่วงฝึกซ้อม ก่อนที่ฤดูกาลจะเริ่มต้นขึ้น ทำให้หมอสั่งห้ามลงทำการแข่งขันเด็ดขาด แต่ได้แสดงฝีมือเพียงแค่สนามเดียวคือที่ออสเตรเลีย แถมยังแข่งไม่จบอีกด้วยเพราะเครื่องยนต์มีปัญหา และ Alonso ก็กลับมาแข่งได้ในสนามต่อมา และสุดท้าย ผู้ช่วยส่วนตัวประธานของทีมอย่าง Ron Dennis ได้ส่งจดหมายถึงเขาเพื่อแจ้งว่า จะปล่อยตัวเขาออกจากทีมตั้งแต่เดือนตุลาคมเป็นต้นไป ทำให้ Magnussen ต้องรีบหาทีมใหม่ทันที โดยเริ่มแรกเขาได้คุยกับ Haas ก่อนที่จะมีการประกาศชื่อ Romain Grosjean กับ Esteban Gutiérrez มาเป็นนักแข่งประจำฤดูกาล รวมทั้งยังติดต่อพูดคุยกับทีม Manor Racing รวมทั้งยังมีการพูดคุยถึงการออกไปแข่งขัน Indy Car ด้วย แต่สุดท้ายแล้ว ก็ได้ลงเอยเซ็นสัญญากับทีม Renault และเป็นนักขับในปี 2016 ซึ่งเป็นปีที่ไม่ดีเลย Magnussen เก็บได้เพียง 7 คะแนนเท่านั้น จบที่อันดับ 16 แต่สุดท้ายในปี 2017 ก็ได้ย้ายมาอยู่กับ Haas จนได้ โดยมาแทนที่ Esteban Gutiérrez และจบด้วยอันดับที่ 14 เก็บได้ 19 แต้ม แล้วมาระเบิดฟอร์มเอาตอนปี 2018 เมื่อเก็บได้มากถึง 56 คะแนน จบอันดับที่ 9 แต่กับฤดูกาลล่าสุด 2019 กลับทำได้เพียง 20 คะแนนเท่านั้น อยู่ในอันดับที่ 16 และฤดูกาลสุดท้ายของเขาในปี 2020 ก็ยังฟอร์มแย่ ด้วยการเก็บได้เพียงคะแนนเดียวเท่านั้นจากอันดับที่ 10 ในรายการ Hungarian Grand Prix ก่อนที่จะปล่อยให้หมดสัญญาไปในปีนั้น แล้วในที่สุดก็ได้รับโอกาสใหม่อีกครั้งในปี 2022

อ่านตอนที่ 1 ได้ที่นี่

ติดตามข่าวสารรถยนต์รวดเร็วก่อนใครได้ที่ AUTODEFT.com

5 เรื่องน่าสนใจ