ขุดประวัติม้าป่าคะนอง Ford Mustang ตั้งแต่รุ่นแรกถึงรุ่นปัจจุบัน
- โดย : พิสน ลีละหุต
- 29 ส.ค. 61 00:00
- 59,532 อ่าน
ถ้าจะให้พูดถึงรถสปอร์ต หรือ Muscle Car ตามสไตล์อเมริกัน Ford Mustang เจ้าม้าป่าคะนอง คือรุ่นที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับต้นๆ ของทั้งชาวอเมริกาและขาซิ่งทั่วโลก มาจากทั้งความสวยงามดุดัน และเครื่องยนต์ที่ทรงประสิทธิภาพอย่างมาก ทำให้ฟอร์ด มัสแตง ถือเป็นรุ่นรถยนต์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของฟอร์ดเลย รุ่นปัจจุบันที่ทำการจำหน่ายอยู่ ถือเป็นรุ่นที่ 6 ของรถซิ่งตระกูลนี้แล้ว วันนี้เราจะถอยหลังย้อนกลับไปตั
Ford Mustang generation 1 (1965–1973)
เริ่มต้นจากปี 1962 จากรถในโครงการ T-5 project เรียกกันว่า Ford Mustang I เป็นรถยนต์ต้นแบบ 2 ประตู ใช้เครื่องยนต์อยู่ 2 แบบคือ V4 89 แรงม้าและ 109 แรงม้า ออกแสดงตัวจริงเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ที่ United States Grand Prix ใน Watkins Glen, New York หลังจากนั้นก็ได้พัฒนามาจนเป็น Production Car ได้ในปี 1964 โดยตัวแรกที่ออกมา ชิ้นส่วนเกือบทั้งหมด ทั้งภายใน, แชสซี, ช่วงล่าง รวมทั้งเครื่องยนต์ เป็นการเอามาจาก Ford's Falcon และ Fairlane เกือบทั้งนั้น ใช้เครื่องยนต์ 6 สูบแถวเรียง 2.8 ลิตร 101 แรงม้า ขับเคลื่อนด้วยเกียร์ธรรมดา 3 สปีด ตั้งราคาขายอยู่ที่ 2,368 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งตามแผน ได้ตั้งเป้าไว้ที่ต่ำกว่า 100,000 คันในปีแรก แต่เพียงแค่ 3 เดือนหลังเปิดตัว Ford Mustang ก็ขายได้มากกว่าเป้าหมายตลอดทั้งปีไปแล้ว ในปีนั้นมีการซื้อมากถึง 318,000 คัน และเมื่อผ่านไป 18 เดือน ม้าป่าถูกผลิตไปแล้ว 1 ล้านคัน
หลังจากนั้นก็ได้มีการปรับปรุงเครื่องยนต์ใหม่ โดยเวอร์ชั่น V6 ถูกปรับกำลังเครื่องให้เป็น 3.3 ลิตร 120 แรงม้า พร้อมทั้งเพิ่มเครื่องยนต์ V8 4.7 ลิตร 210 แรงม้าเข้ามาอีก จากนั้นในปี 1967 ได้เริ่มมีการออกแบบให้ขนาดของมัสแตงนั้นใหญ่ขึ้น และจากนั้นเป็นต้นมา ตัวของรถก็มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆจนถึงปี 1973 และในช่วงนี้ก็ได้มีการอัพเกระเพิ่มออพชั่น ปรับหน้านิด นั่นหน่อยมาตลอดระยะเวลาของเจนแรก
Ford Mustang generation 2 (1974–1978)
Lee Iacocca ผู้ให้กำเนิดม้าป่าลำพอง ได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งประธานใหญ่ของ Ford Motor Company ในปี 1970 และเขาเองก็สั่งให้ปรับปรุงตัว Ford Mustang ใหม่ โดยให้มีคันที่เล็กลง แต่ทรงพลังมากขึ้น จนถึงปี 1973 ก็ได้มีการเปิดตัว Mustang II ในวันที่ 21 กันยายน 2 เดือนก่อนจะเกิดวิกฤติน้ำมันในปี 1973 โดยการลดขนาดนี้ ทำให้เป็นคู่แข่งทางตรงกับรถยนต์ที่นำเข้ามาอย่าง Toyota Celica เลย ตัวแรกนี้ มีการใช้เครื่องยนต์ 2.3 ลิตร 4 สูบเรียง และ 2.8 ลิตร V6 ปีแรก สามารถทำยอดขายได้ 385,993 คัน ซึ่งน้อยกว่าปีแรกที่ทำการจำหน่ายเจนแรกที่สามารถทำได้ 418,812 คัน ต่อมาเมื่อถึงปี 1975 ได้มีการเพิ่มเครื่องบยนต์ขนาด 4.9 ลิตร V8 เข้ามาด้วย โดยใช้เกียร์อัตโนมัติ 3 สปีดมาขับเคลื่อน เสริมด้วยออพชั่นพวงมาลัยพาวเวอร์และ Power Brakes จนมาถึงปี 1978 ก็ได้ทำการเปลี่ยนเกียร์ใหม่เป็นแบบ RAD 4-speed ส่วนในโฉม King Cobra ใช้เกียร์ C-3 automatic 4 สปีด คู่กับเครื่องยนต์ขนาด 2.3, 2.8 และ 5.0 ลิตร สำหรับทรงในโฉมนี้ มีให้เลือกทั้งแบบ Coupe และ Hatchback
Ford Mustang generation 3 (1979–1993)
เมื่อมาถึงปี 1979 ได้มีการปรับโครงสร้างใหม่ให้มีขนาดใหญ่กว่าเดิม ที่เรียกกันว่า Fox platform ทำให้สามารถเพิ่มขนาดของฐานล้อได้มากกว่าเก่า สามารถเพิ่มที่นั่งแถวที่ 2 ได้ รวมเป็นนั่งได้ 4 คน รวมทั้งพื้นที่ของห้องเครื่องและในฝากระโปรงหลังก็มากขึ้นตามไปด้วย โฉมนี้มีให้เลือกทั้งแบบ Coupe, Hatchback และ Convertible เครื่องยนต์นั้นส่วนใหญ่ยังใช้ยกมาจากเจน 2 ทั้ง 2.3 ลิตร 4 สูบ, 2.8 ลิตร V6, และ 5.8 ลิตร V8 แต่เครื่องยนต์ 2.3 ลิตร เทอร์โบนั้นมีขายอยู่เพียงไม่นานในช่วงแรกๆ แล้วก็หายไป แต่ก็กลับมาใช้งานอีกครั้งช่วงปี 1983 กับตัว Turbo GT ส่วนเครื่องยนต์ 2.8 ลิตร V8 ก็มีเพียงไม่นานเช่นกัน ถูกแทนที่ด้วยเครื่องยนต์ 6 สูบเรียง 3.3 ลิตร ก่อนที่จะถูกแทนที่ด้วยเครื่องยนต์ตัวใหม่ 3.8 ลิตร V6 ในปี 1983 ส่วนเครื่องยนต์ 5.0 ลิตร ก็ถูกยุติการผลิตไป แล้วแทนที่ด้วยเครื่องยนต์ที่เล็กกว่าคือ 4.2 ลิตร V8 ในปี 1979 แต่ก็ถูกกลับนำมาใช้อีกครั้งในปี 1982
ในช่วงปี 1979 - 1986 Ford Mustang มีให้เลือกหน้าได้ 2 แบบ คือแบบไป 2 ดวงตามรุ่นเดิมที่เคยมีมาตลอด กับรุ่นที่เป็นไฟหน้า 4 เหลี่ยม 4 ดวง ถูกขนานนามว่า "เจ้าสี่ตา Four Eyes" ก่อนจะถูกออกแบบใหม่ให้กลับมาเป็นไฟ 2 ดวงเช่นเดิมในปี 1987
ปี 1982 เป็นปีของการกลับมาใหม่อีกครั้งของ GT เพื่อมาแทนที่ Cobra และใช้เครื่องยนต์สมรรถนะสูง 5.0 ลิตรอีกครั้ง
ปี 1983 เป็นปีที่กลับมาของ Mustang แบบ Convertible หลังหยุดผลิตไป 9 ปี
ปี 1984 เป็นปีของการเปิดตัวรุ่นเครื่องเล็กแรง SVO ที่ใช้เครื่องยนต์ 2.3 ลิตร 4 สูบเทอร์โบ อินเตอร์คูลเลอร์ พร้อมตัวถังแบบใหม่ และมีการฉลองครบรอบ 20 ปี ม้าป่าคะนองด้วย GT350 รุ่นพิเศษ ที่ภายในเป็นสีแดง รวมทั้งมีการขลิบแดงที่ตัวถังด้านนอกด้วย
ในช่วงที่ยอดขายไม่ดี และราคาน้ำมันทวีความรุนแรงมากขึ้นในช่วงยุค 80 รวมทั้งการมาของ Mazda MX-6 รถสปอร์ตขับหน้าจากแดนปลาดิบ ได้รับความนิยมสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ฟอร์ดจึงได้ตัดสินใจปรับระบบของ Mustang ใหม่ให้กลายเป็นรถขับเคลื่อนล้อหน้า ไม่มีเครื่อง V8 แต่หลังจากที่แฟนพันธุ์แท้ได้ข่าวมา ก็ได้มีการเขียนจดหมายส่งตรงไปที่ฟอร์ด เพื่อขอร้องให้ยกเลิกโครงการนี้ซะ เพราะรถมัสแตง ต้องเป็นเครื่องกำลังแรงและขับเคลื่อนล้อหลัง จึงอยากให้คงเอกลักษณ์ตัวนี้เอาไว้ ในที่สุดทางฟอร์ดจึงได้ตัดสินใจนาทีสุดท้าย เปลี่ยนชื่อรถยนต์ใหม่ที่ทำการผลิตมาแล้ว จาก Mustang ให้กลายเป็น Probe แทน
Ford Mustang generation 4 (1994–2004)
โฉมนี้ ถือเป็นการปรับโฉมหน้าของ Ford Mustang ไปมากพอสมควร ภายใต้รหัส SN-95 เป็นการดัดแปลงมาจากแพลตฟอร์มใหม่ Fox-4 ที่ออกแบบสำหรับรถขับหลังโดยเฉพาะ เครื่องยนต์พื้นฐานใช้เป็นขนาด 3.8 ลิตร V6 145 แรงม้าในปี 1994-1995 ก่อนจะมาจูนใหม่ให้เป็น 150 แรงม้าในปี 1996-1998 จับคู่กับเกียร์ทั้งแบบธรรมดา 5 สปีด และอัตโนมัติ 4 สปีด ส่วนเครื่องยนต์ 5.0 ลิตร V8 ก็ถูกยุติการผลิตไปในช่วงนี้อีกครั้ง แทนที่ด้วยเครื่องยนต์ 4.6 ลิตร SOHC V8 215 แรงม้า ช่วงปี 1996 ในรุ่น Mustang GT และขยับเป็น 225 แรงม้าในปี 1998
ในปี 1999 มีการปรับปรุงการตกแต่งภายนอกใหม่อีกหลายอย่าง ทั้งรูปทรงที่ดูมีความคมชัดมากขึ้น, ซุ้มล้อมีขนาดใหญ่ขึ้น ตัวถังมีมุมเหลี่ยมมากกว่าเดิม ทำให้ภาพรวมตัวรถดูดุดันมากขึ้น ส่วนเครื่องยนต์นั้น ถึงแม้จะเป็นตัวเดิม แต่มีการปรับจูนใหม่ให้มีความแรงเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมาตรฐาน 3.8 ลิตร V6 ถูกจูนใหม่ให้กำลังเพิ่มเป็น 190 แรงม้า, 4.6 ลิตร V8 ขยับเป็น 260 แรงม้า, และเมื่อถึงปี 2001 เครื่องยนต์ 3.8 ลิตร V6 ก็ขยับเป็นความแรง 193 แรงม้า จนมาถึงปี 2004 ได้เปลี่ยนเครื่องมาตรฐานใหม่ให้เป็น 3.9 ลิตรแทน
Ford Mustang generation 5 (2005–2014)
โฉมนี้ Ford Mustang ได้มีการปรับโฉมไปจากเดิมมากอีกครั้ง มีการใช้แพลตฟอร์มใหม่ชื่อ D2C ผลิตขึ้นมาภายใต้รหัส S-197 เปิดตัวครั้งแรกที่งาน North American International Auto Show เมื่อปี 2004 กลับไปอิงทรงเดิมแบบ Fastback ในช่วงยุค 60 แต่ปรับให้ดูทันสมัยขึ้น และช่วงนี้เองที่โรงงานเมืองเดียร์บอร์น ปิดสายการผลิตมัสแตงที่ยาวนาน 40 ปี และย้ายไปที่โรงงานแฟลตร็อค ณ เมืองแฟลตร็อค รัฐมิชิแกน ที่ใช้ผลิตมัสแตงมาจนถึงปัจจุบัน เริ่มผลิตเจน 5 จริงในปี 2005 รุ่นพื้นฐานจะใช้เป็นเครื่องยนต์ 4.0 ลิตร SOHC V6 210 แรงม้า ส่วนตัว GT ขยับขึ้นไปใช้ขนาด 4.6 L SOHC V8 300 แรงม้า ส่วนเกียร์นั้น รุ่นพื้นฐานจะใช้เป็นเกียร์ธรรมดา Tremec T5 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 5R55S 5 สปีด ซึ่งมีการไปใช้ในรุ่น GT ด้วย แต่เกียร์ธรรมดาในรุ่นนี้จะเป็น Tremec TR-3650 5 สปีดแทน
เมื่อมาถึงปี 2010 ได้มีการปรับหน้าตาของ Ford Mustang ใหม่อีกครั้ง ทั้งปรับในส่วนการออกแบบภายนอกเล็กน้อย รวมทั้งมีการเปลี่ยนไฟท้ายใหม่เป็นแบบ LED ปรับจูนเครื่องยนต์ในรุ่น GT ใหม่ให้กลายเป็น 315 แรงม้า ปรับค่าโช๊คกับสปริงใหม่ให้ดีกว่าดิม เพิ่มระบบ Traction และ stability control หรือระบบควบคุมการทรงตัว ลงในทุกรุ่นที่วางจำหน่ายรวมถึงล้อขนาดใหม่อีกด้วย และเมื่อถึงปี 2011 ได้มีการเปลี่ยนยกชุดเกียร์เป็นแบบใหม่คือ เกียร์ธรรมดา Getrag-Ford MT82 6 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 6R80 6 สปีด ใช้พื้นฐานมาจาก ZF 6HP26 ซึ่งเป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของฟอร์ด มีการเปลี่ยนพวงมาลัยใหม่ให้เป็นระบบไฟฟ้าแทนแบบไฮโดรลิก เครื่องยนต์ 3.72 ลิตร V6 ใหม่ ถูกผลิตมาจากอลูมินั่ม ทำให้เครื่องยนต์มีน้ำหนักเบากว่าเดิม 18 กิโลกรัม ผลิตกำลังได้ 305 แรงม้า ส่วนเครื่องยนต์ 3.7 ลิตร มาในรูปแบบใหม่ 2 ท่อไอเสีย เพิ่มความประหยัดน้ำมันได้มากกว่าเดิม ส่วนรุ่น GT กลับมาใช้เครื่องยนต์ 5.0 ลิตรอีกครั้ง โดยมาพร้อมกับวาล์ว 32 ตัว ผลิตกำลังได้ 412 แรงม้า พร้อมล้อ 19 นิ้วและยางสมรรถนะสูง เบรกด้วยระบบของ Brembo และในส่วนของ Shelby GT500 จะใช้เครื่องยนต์ 5.4 ลิตร supercharged V8 ผลิตกำลังได้ 550 แรงม้า
เมื่อมาถึงปี 2012 ฟอร์ด มัสแตงได้มีการปรับปรุงเครื่องใหม่ โดยใน Shelby GT500 ได้เครื่องยนต์ใหม่เป็น 5.8 ลิตร supercharged V8 ผลิตกำลังได้ 662 แรงม้า ขับเคลื่อนด้วยเกียร์ธรรมดา 6 สปีด ส่วน GT และ V6 มีการปรับปรุงกระจังหน้ากับช่องรับลมใหม่ให้คล้ายกับ GT500 โฉมปี 2010–2012 ตัว GT ได้ปรับจูนเครื่องยนต์ใหม่ให้ผลิตพลังได้ 420 แรงม้า มากกว่าเดิม 8 ตัว
Ford Mustang generation 6 (2015-ปัจจุบัน)
Ford Mustang โฉมปัจจุบัน ได้ทำการเผยโฉมให้ชมครั้งแรกเมื่อ 5 ธันวาคม 2013 พร้อมกันทั้งที่ มิชิแกน, นิวยอร์ก, แคลิฟอร์เนีย, สเปน, จีน และออสเตรเลีย ปรับขนาดของตัวถังเล็กน้อย โดยมีขนาดกว้างกว่าเดิม 1.5 นิ้ว ปละเตี้ยกว่าเดิม 1.4 นิ้ว กระจังหน้าเป็นทรงสี่เหลี่ยมคางหมู, พื้นที่ห้องโดยสารมีขนาดใหญ่กว่าเดิม มีเครื่องยนต์ให้เลือก 3 แบบคือ 2.3 ลิตร EcoBoost 4 สูบ 310 แรงม้า เพื่อเอาใจตลาดที่เมืองจีนโดยเฉพาะ, 3.7 ลิตร V6 300 แรงม้า และ 5.0 ลิตร V8 435 แรงม้า ขับเคลื่อนด้วยเกียร์ธรรมดา 6 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อม Paddle Shift ช่วงล่างด้านหลังเป็นแบบอิสระ Independent rear suspension (IRS) ถูกออกแบบมาเพื่อฟอร์ด มัสแตงโฉมนี้โดยเฉพาะ
ล่าสุดช่วงปี 2017 ได้เปิดตัวรถยนต์ใหม่ 2018 ที่มีการปรับปรุงการออกแบบภายนอกเล็กน้อย และปรับจูนเครื่องยนต์ใหม่อีกครั้ง โดยเครื่องยนต์ขนาด 3.7 ลิตรถูกตัดออกไป แล้วใช้เครื่อง 2.3 ลิตร 4 สูบ Ecoboost 310 แรงม้าเป็นเครื่องยนต์พื้นฐานแทน ส่วนเครื่องยนต์ 5.0 ลิตร V8 สามารถผลิตกำลังเพิ่มขึ้นเป็น 460 แรงม้า ส่วนเกียร์นั้นเป็นการยกชุดใหม่ในเกียร์อัตโนมัติ ให้กลายเป็น 10 สปีดแทน
กว่า 50 ปีที่ผ่านมา Ford Mustang ทำยอดจำหน่ายไปแล้วราว 10 ล้านคัน ถือเป็นรถสปอร์ตที่สามารถทำยอดขายได้ดีที่สุดในโลก 3 ปีซ้อน และเป็นรุ่นที่ประสบความสำเร็จในด้านชื่อเสียงและยอดขายของฟอร์ดมากที่สุด และสำหรับชาวไทย มีข่าวล่าสุดออกมาว่า ฟอร์ด ประเทศไทย เตรียมจะนำเข้ามาจำหน่ายในเมืองไทยเร็วๆนี้อย่างเป็นทางการ หลังจากปล่อยให้ Grey Market ขายกันอย่างสนุกสนามฃนมานานแล้ว ส่วนเจนเนอเรชั่นต่อไปของ Ford Mustang นั้น อาจต้องเลื่อนการเปิดตัวไปอีกเป็นปี คาดมาจากการเลือกโครงสร้างที่ไม่ลงตัว ทำให้น่าจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการได้ในปี 2022 ถึงอย่างไรก็ตาม ด้วยชื่อเสียงที่สะสมมาตลอด 50 กว่าปีนี้ คงจะทำให้ Ford Mustang ยังอยู่ได้อย่างต่อเนื่องอีกนานแสนนาน
ข้อมูลจาก Wikipedia , TH Wikipedia
ติดตามข่าวสารรถยนต์รวดเร็วก่อนใครได้ที่ AUTODEFT.com