MG จ่อเผยรถใหม่รับปีหมูทอง…ตอบโจทย์ทุกกลุ่มลูกค้าชาวไทย

  • โดย : Autodeft
  • 11 ก.พ. 62
  • 15,635 อ่าน

ครบรอบ 5 ปีของการทำตลาดสำหรับ MG แบรนด์รถยนต์น้องใหม่สายพันธุ์ยุโรปที่ได้รับผลตอบรับที่ดีมาโดยในปี 2561 ที่ผ่านมาเติบโตขึ้นเกือบ 100% เมื่อเทียบกับปี 2560

MG

ปัจจัยที่ทำให้ MG ประสบความสำเร็จในตลาดรถยนต์เมืองไทย ด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีความโดดเด่นด้านนวัตกรรมและสมรรถนะ เริ่มต้นจากเก๋งคอมแพ็ครุ่น MG 6 จนมาถึง MG ZS อเนกประสงค์เล็ก รวมถึงเป็นเจ้าแรกที่ติดตั้งซันรูฟ (Sunroof) ในรถยนต์ขนาดเล็ก และแนะนำระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ i-SMART ซึ่งเป็นระบบการเชื่อมต่ออัจฉริยะระบบแรกและระบบเดียวในโลกที่รองรับการสั่งการในรถด้วยเสียงภาษาไทย พร้อมกับการพัฒนางานด้านบริการเพื่อให้สามารถดูแลลูกค้าแบบครบวงจร ฯลฯ รวมถึงโชว์รูมและศูนย์บริการที่ครอบคลุมทั่วประเทศกว่า 100 แห่ง

MG ZS

MG ZS

ล้วนทำให้ยอดขายปี 2561ที่ผ่านมาโกยตัวเลขมากถึง 23,740 คัน เติบโตขึ้นเกือบ 100% เมื่อเทียบกับปี 2560 และในปี 2562 นี้ เอ็มจี จะมียอดขายรถยนต์ในประเทศครบ 50,000 คัน พร้อมขยายโชว์รูมและศูนย์บริการ เพิ่มเป็น 140 แห่ง พร้อมยกระดับงานด้านการบริการให้เป็นมาตรฐานเดียวกันเพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ลูกค้า

และในปีหมูทอง ปี 2562 MG เตรียมแผนที่จะแนะนำรถยนต์รุ่นใหม่ออกสู่ตลาดตรงกลุ่มตรงเป้าหมายลูกค้าชาวไทยอย่างเต็มรูปแบบ โดยทีมงาน Autodeft ขอสรุปรถยนต์ MG รุ่นใหม่ที่มีแนวโน้มจะเปิดตัวภายในปีนี้ เริ่มจาก

 

 

Maxus T60

Maxus T60

ปิกอัพรุ่นแรกที่ใช้พื้นฐานเดียวกับรุ่น Maxus T60 แต่มีการพัฒนาหน้าตาให้เหมาะสมกับ MG คมเข้ม บึกบึน ตั้งแต่กระจังหน้าแนวตั้ง พร้อมไฟหน้า LED กับไฟส่องสว่างเวลากลางวัน LED Daytime แกร่งด้วยด้านข้างที่มีเส้นสายบึกบึน ล้ออัลลอยลวดลายฉกาจเข้ม 6 ก้าน พร้อมยาง ขนาด 245/65R17 บั้นท้ายแกร่งตามเทรนด์กระบะสมัยนี้ ด้วยกันชนท้ายทรงโหด และไฟท้ายดีไซน์ทันสมัย

Maxus T60

Maxus T60

ภายในให้ออพชั่นชนิดอลังการงานสร้างไม่ว่าจะเป็น แผงคอนโซลหน้าตกแต่งโทนสีเงิน silver decoration ผสมกับสีดำ พร้อมพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น 3 ก้าน ทันสมัยด้วยเครื่องเล่นวิทยุ DVD แบบจอสัมผัสขนาด 10 นิ้ว รองรับ ระบบนำทาง Bluetooth และระบบ Car-Link human-computer interactive สบายด้วยเบาะนั่งกึงหนังแท้สีดำเดินด้ายแดง ปรับด้วยระบบไฟฟ้า 6 ทิศทาง และชาร์จมือถือ ใช้งานโน็ตบุ๊คได้อย่างสบายด้วยช่องต่ออุปกรณ์ไฟฟ้า 12 V และ 220 V กับช่องเสียบ USB 2 จุด

ขุมพลังเป็นเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบแปรผัน VGT แถมเป็นขนาดใหญ่เพื่อต่อกรกับเจ้าดัง ขนาด 2.8 ลิตร กำลังสูงสุด 150 แรงม้าที่ 3,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 360 นิวตันเมตร ที่ 1,600-2,800 รอบ/นาที พร้อมเทคโนโลยีคอมมมอนเรลเจนสามล่าสุด จาก Bosch มีให้เลือกทั้งระบบเกียร์ธรรมดาและเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อมระบบขับสี่ Part-Time 4WD ปรับเปลี่ยนด้วยระบบไฟฟ้า จาก BorgWarner และระบบล็อคเฟืองท้ายไฟฟ้า Electronic rear differential lock

Maxus T60

ระบบความปลอดภัยจัดเต็ม ไม่ว่าจะเป็น ถุงลมนิรภัยรอบคัน 6 จุด ระบบควบคุมการทรงตัว ESP กล้องมองรถรอบคันแบบ 360 องศา กล้องมองหลังเพื่อกาถอยจอดที่ปลอดภัย ไฟหน้าปรับตามการเลี้ยวของพวงมาลัย หรือ AFS ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน HDC ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAS เหนือชั้นด้วยระบบเตือนมุมอับสายตา Blind-spot monitoring โดยจะมาทั้งหมด 3 รูปแบบตัวถังทั้งแบบตอนเดียว ตอนครึ่ง และ 4 ประตู

 

MG HS

MG HS

Compact SUV เจนใหม่ที่เป็นตัวตายตัวแทนรุ่น MG GS หน้าตาภายนอกไม่แตกต่างจากต้นแบบ MG X-motion Concept หล่อล้ำในแบบ “Starlit Shield Front Grill” เริ่มที่กระจังหน้าโครเมี่ยมกับไฟหน้า bi-colour LED ดีไซน์ด้านข้าง เน้นความสปร์อตมากขึ้น ตั้งแต่เสา A ไปจนถึงเสา D หลังคารถที่ลาดลงกับซุ้มล้อขนาดใหญ่สีดำ และล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้วพร้อมยาง 235/50 R18 ด้านท้ายสวยขึ้นด้วยไฟท้าย LED พร้อมติดตั้งสปอยเลอร์หลังแบบดีไซน์เพียวสปอร์ต

MG HS

MG HS

ออพชั่นภายในล้ำอนาคตไม่ว่าจะเป็น หลังคา Panoramic แผงคอนโซลหน้าหุ้มด้วยวัสดุหนัง รวมถึงแผงข้างประตูหุ้มวัสดุหนังแบบสัมผัส soft leather พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นสปอร์ตท้ายตัด 3 ก้าน คอนโซลกลางติดตั้งระบบความบันเทิงแบบจอสัมผัส 10.1 นิ้ว พร้อมลำโพงไฮเอนด์จาก BOSE sound system และสร้างบรรยากาศด้วยไฟในห้องโดยสารเลือกได้ 64 สี ชูความเป็น Internet car intelligent system ในชื่อ "interconnected wisdom" พร้อมระบบความปลอดภัย MG Pilot Intelligent Driving Assistance ที่มีทั้งระบบแจ้งเตือนจุดอับสายตา blind spot warning และระบบเตือนถอยออกจากมุมอับ rear cross traffic warning

MG HS

ขุมพลังชัดเจนแล้วว่าใช้เครื่องยนต์เดียวกับรุ่น MG GS ทั้ง เครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบขนาด 1.5 ลิตร 169 แรงม้าที่ 5,600 รอบ/นาที แรงบิด 250 นิวตัเมตร ที่1,700-4,400 รอบ/นาที ในรุ่น 20 T และเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบขนาดใหญ่ 2.0 ลิตร 220 แรงม้าที่ 5,000-5,300 รอบ/นาที แรงบิด 350 นิวตันเมตร ที่ 2,500-4,000 รอบ/นาที ในรุ่น 30T พร้อมระบบส่งกำลังให้เลือกทั้งเกียร์ธรรมดา 6 สปีด และเกียร์อัตโนมัติคลัตช์คู่ TST ทั้ง 6 กับ 7 สปีด เลือกได้ทั้งรุ่นขับหน้าและขับสี่ AWD

 

MG 6

MG 6

เก๋งคอมแพ็คเจนสองที่งานนี้อาจได้เห็นในตลาดเมืองไทยเพื่อต่อกรกับคู่แข่งตัวเอ้อย่าง Toyota Corolla Altis ที่จะเปิดตัวในปี 2562 โดยได้รับอิทธิพลดีไซน์จาก MG E-motion concept แต่ยังมีกลิ่นความเป็นรถอังกฤษ ตั้งแต่ กระจังหน้าขนาดใหญ่ dot matrix มี 2 ลายประกบ โลโก้ MG ขนาดใหญ่ พร้อมไฟหน้า Projector โคมสปอร์ตโดยได้แรงบันดาลใจจากชิงช้ายักษ์ ลอนดอน อาย (London eyes) พร้อมล้ออัลลอยลาย 5 ก้านคู่ เลือกได้ทั้งขนาด 16-18 นิ้ว ด้านท้ายสง่าขึ้นด้วยไฟท้าย LED ประกบคิ้วฝากระโปรงท้ายโครเมี่ยม สร้างขึ้นจากโครงการพัฒนาที่ชื่อว่า IP32 นำพื้นฐาน Roewe i6 มาพัฒนา

MG 6

MG 6

ภายในลงตัวในการจัดวางฟังก์ชั่นต่างๆ ตั้งแต่ พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นสปอร์ตท้ายตัด 3 ก้าน จอสัมผัสขนาดใหญ่แถมชูเทคโนโลยี Internet Car หรือ อินเตอร์เน็ตในรถยนต์ พร้อมการเชื่อมต่อระบบอินเตอร์เน็ตที่มีประสิทธิภาพสูง สามารถล็อกอินเพื่อใช้งานรถอินเตอร์เน็ตได้อย่างเป็นอิสระ ควบคุมฟังก์ชั่นต่างๆ ของตัวรถ อย่างการปลดล็อกด้วยรีโมทคอนโทรล สั่งการด้วยเสียงเพื่อสั่งเปิดและปิดซันรูฟ ปรับควบคุมอุณหภูมิภายในรถ เลือกเล่นเพลงที่ชื่นชอบ การเปิดระบบปรับอากาศ และระบบนำทาง ประสิทธิภาพสูง เป็นต้น

MG 6

ขุมพลังมีให้เลือกถึง 2 รูปแบบความแรงตั้งแต่เครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ รหัส 15E4E ขนาด 1.5 ลิตร 169 แรงม้าที่ 5,600 รอบ/นาที แรงบิด 250 นิวตันเมตรที่ 1,700-4,400 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติคลัชต์คู่ 7 สปีด เอาใจสาวกรักษ์โลกด้วยเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ Plug In Hybrid รหัส 10E4E ขนาด 1.0 ลิตร จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลัง 125 แรงม้าที่ 5,200 รอบ/นาที แรงบิด 170 นิวตันเมตรที่ 2,000-4,700 รอบ/นาที ในภาคเครื่องยนต์ และ 80 แรงม้า แรงบิด 380 นิวตันเมตร ในภาคไฟฟ้า ในรุ่น 45T PHEV จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 7 สปีด อนาคตจะมีรุ่น Sedan 4 ประตู ทำตลาดคู่กับรุ่น Fastback 5 ประตู ด้วยหรือไม่นั้นต้องติดตาม

 

MG eZS

MG eZS

ด้วยวิสัยทัศน์หลักของทาง MG ภายใต้กลุ่ม SAIC Motor ในการพัฒนารถยนต์แห่งอนาคตด้วยการกำหนดแกนหลัก 4 ประการ ครอบคลุมไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคยุคใหม่ในทุกมิติ ทั้ง ความเป็นอัจฉริยะ (Intelligent) การเชื่อมต่อเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตเข้ากับระบบภายในรถยนต์ (Internet) การใช้พลังงานทางเลือก (New Energy) และเป็นทรัพยากรที่สามารถใช้ร่วมกันได้ (Sharing) ทำให้ MG แนะนำยานยนต์พลังงานทางเลือกใหม่ด้วยการนำรุ่น MG ZS ต่อยอดกลายเป็นรถยนต์อเนกประสงค์เล็กเวอร์ชั่นเครื่องยนต์ไฟฟ้าให้กำลังมากสุด 150 แรงม้า ซึ่งมีตัวเลขในการทำระยะทางวิ่งได้ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้งที่ 431 กิโลเมตร ก่อนที่จะต้องหาจุดชาร์จนั้นเอง

MG eZS

MG eZS

รูปร่างหน้าตาคล้ายกับเวอร์ชั่นเครื่องยนต์ปกติตั้งแต่กระจังหน้าดีไซน์เอกลักษณ์หรูหรา ลงตัวกับไฟหน้ารถแบบ Projector พร้อมไฟส่องสว่างขณะขับขี่กลางวัน Daytime ในโคมเดียวกันรับกับกันชนหน้าดีไซน์ดุแบบสีทูโทน ด้านท้ายเสริมความสวยด้วยไฟท้าย LED กับ หลังคา panoramic sunroof แต่ล้ออัลลอยงานี้ใช้คนละลาย ทั้งขนาด 16 นิ้ว 5 ก้านพร้อมยาง 205/60R16 และขนาด 17 นิ้ว 5 ก้านทูโทนพร้อมยางขนาด 215/50R17 พร้อมตัวอักษร E สีเขียว ติดตรงหน้ารุ่น ZS โดยขายที่จีนเป็นที่แรกในช่วงปีนี้ และตามมาด้วยอังกฤษช่วงเดือนกันยายนนี้

จับตาดูแล้วว่ารถยนต์รุ่นใหม่ 4 รุ่นที่มีแนวโน้มจะเข้าตลาดเมืองไทยของค่าย MG นั้นใครจะเป็นรถใหม่….ใครมาก่อนหรือมาทีหลังต้องติดตามกันต่อไป

 

เรื่องและเรียบเรียงโดย นายเต้ย

 

 

 

ติดตามข่าวสารยานยนต์ รวดเร็วก่อนใคร ได้ที่ Autodeft.com 

5 เรื่องน่าสนใจ