Fast & Furious 7 ...หมดอารมณ์หนังซิ่ง สู่ตัวตนแอคชั่น ....
- โดย : Autodeft
- 2 เม.ย. 58 00:00
- 14,873 อ่าน
กลับมาอีกครั้งภาพยนตร์ซิ่งขวัญใจสาวกซิ่งทั้งหลาย กับที่สุดของความมันส์ในภาค 7 ของ Fast & Furious จะเป็นอย่างไรติดตามได้ในบทวิจารณ์นี้
เรื่อง โดย ณัฐยศ ชูบรรจง
นาทีนี้เชื่อเลยว่า ตอนที่ผมกำลังเขียนบทรีวิวภาพยนตร์อยู่ขณะนี้ หลายคนจะใช้เวลาของคืนวันที่ 1 เมษายนในการเข้าไปยังโรงภาพยนตร์ เพื่อดูหนังเรื่อง Fast & Furious ภาคที่ 7 ของภาพยนตร์ซิ่งสุดมันส์ที่ครองใจสาวกนักขับมาแล้วทั่วโลก แถมภาคนี้เป็นภาคสุดท้ายที่นักแสดงหนุ่ม Paul walker มารับบทบาทเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่เขาจะประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์จนเสียชีวิต ทำให้หลายคนยังไม่อาจจะทราบชะตาหนังภาคต่อไป และอาจจะเป็นไปได้ว่านี่คือภาคสุดท้ายของ ซีรี่ย์ก็ได้
เรื่องราวกระแสนิยมไม่เพียงแต่การประสบอุบัติเหตุของดาราหนุ่มเท่านั้น แต่ก่อนฉายราวๆ 1 สัปดาห์ ก็เป็นกระแสที่คนไทยจับตา หลังเสียเจียงฟ้องจาพนม และผู้ผลิตภาพยนตร์เรื่อง Fast7 ส่งผลให้มันอาจจะถูกระงับฉายชั่วคราวในไทย ก่อนที่สองสามวันก่อนฉายจริง ทางศาลสั่งให้ยกเลิกการระงับคุ้มครองชั่วคราวดังกล่าว คืนความสุขให้สาวกซิ่งได้เฮ!! ไปตามๆ กัน
ในภาคที่ 7 นี้เป็นเรื่องราวที่ต่อจากภาคที่ 6 หลังจาก บรรดาชาวแก๊งของ ดอมมินิค โทเร็ตโต้ หรือ ดอม นั้นไปผัวพันกับแก๊งข้ามชาติในภาคที่แล้ว อย่างที่หลายคนคงจะเห็นพล็อทเรื่องผ่าน teaser กันไปแล้วว่า ครั้งนี้ทางฝ่ายดอมเป็นคนถูกตามล่าอีกครั้งโดยพี่ชายของ โอเว่น ชอร์ ตัวร้ายในภาคที่แล้ว ซึ่งกลับมาล้างแค้นให้น้องชายของเขาเอง
พลอทเรื่องภาคนี้โดยรวมจึงต้องยอมรับว่าอาจจะผิดหวังสาวกผู้รักนักซิ่งทั้งหลาย เพราะในเรื่องเกือบทั้งหมดนั้นแทบจะกล่าวได้อย่างเต็มปากเลยว่าไม่มีคราบของความเป็น Fast & Furious เดิม ที่เน้นการท้าดวลแข่งรถ สะใจความเร็วอย่างที่ควรจะเป็น แม้จะมีโผล่มาในช่วงแรกตอนที่ ดอมและเลตตี้เดินทางไปยัง Race War เพื่อให้เล็ตตี้ฟื้นความทรงจำ แต่ก็เพียงฉากนั้นฉากเดียว ที่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการแข่งรถ เพราะหลังจากนั้น มันเป็นหนังบู้แอ็คชั่นแบบล้างผลาญที่เอาภาพยนตร์ชื่อดังบางเรื่องชิดซ้ายไปเลยทีเดียว
การคิดบัญชีแค้น แบบเจ้าทำน้องข้า ...ข้าจะฆ่าเจ้า สไตล์หนังจีน กลายเป็นสิ่งที่ทำให้ภาพยนตร์สนุกมากขึ้น โดยบทบาท เดคคาร์ด ชอร์ รับบทโดย เจสัน แสตทแฮม ดาราขาบู้เจ้าบทบาทจากภาพยนตืที่ขึ้นชื่อเรื่องความเร็วเช่นกันใน ซีรี่ย์ transporter
แต่การมาของเจสันครั้งนี้ กลับไม่ได้ถูกโฟกัสถึงการขับขี่เร้าใจ ดวลกันท้าทายมันส์หยดติ๋งแบบที่เราหลายคนคาดหวังไว้ว่าจะได้เห็น แต่คุณกลับจะได้ดูลีลาบู้ ของเจสันในหลายๆ ฉาก อย่างเต็มอรรถรสมากกว่า เช่นเดียวกันกับขาบู้ไทย จาพนม ที่เข้ามารับบทบาทลูกน้องตัวฉกาจขององค์กรลับแห่งหนึ่งตามท้องเรื่อง ก็ทำให้เรารู้สึกในอารมณ์แบบเดียวกัน ในห้วงเวลาที่คุณชมภาพยนตร์ว่า Fast & furious 7 นั้น กลายพันธุ์ไปจากหนังแอคชั่นรถซิ่งไปสู่ หนังแอคชั่นแบบบู้หูดับตับไหม้ ชนิดที่เจอกันแวบเดียว เผลอเป็นยิงใส่กัน หรือไม่ก็ตีกันตลอดเวลา
อย่างที่เราบอกสิ่งที่ขาดไปนั้นเป็นเรื่องของอารมณ์ความเร็วในภาคนี้ ที่ทำให้คุณหมั่นเขี้ยวอยากรีบกลับไปที่รถ แล้ว ยัดคันเร่ง เดินเต็มเกียร์กลับบาน ซึ่งนั่นคือจิตวิญญาณที่แท้จริงของ Fast & Furious ตั้งแต่ภาคแรกเรื่อยมายันภาคที่ 5 เพราะหลังจากนั้น เริ่มกลายเป็นแอคชั่นบู้ไปเสียมากกว่า เช่นเดียวกับภาคล่าสุดที่เราเพิ่งออกจากโรงภาพยนต์
แม้ว่าการตัดหัวใจสำคัญอย่างการแข่งรถตามท้องถนนออกไป จะทำให้ลดอารมณ์ความเร็วที่ควรจะมีในหนังในซีรี่ย์นี้ แต่ในทางกลับกัน ภาคที่ 7 กลับใส่รายละเอียดแนวทางใหม่ของคำว่า “ซิ่ง” มาในภาพยนตร์ โดยเฉพาะ เราอาจจะต้องพูดตามตรงว่า ผู้สร้างพยายามงัดรูปแบบใหม่ออกมา เช่น การสร้างรถพิเศษเพื่อไปซิ่ง อย่างในช่วงฉากที่ทางดอมและลูกทีมไปช่วย แรมซี่ย์ นึ่งในตัวละครสำคัญตามท้องเรื่อง
พวกเขาต้องสร้างรถยนต์ที่มีความเป็นปัจเจกของตัวเองขึ้นมา ซึ่งโดยมากจะออกไปในแนวทางความดุดัน เน้นลุยออกไปทางแนวแรลลี่เสียมากกว่า แถมรถที่ใช้ในภาพยนตร์ยังออกไปในทางพวก American Muscle เสียมากด้วย ทิ้งรถญี่ปุ่นไว้เพียงบางยี่ห้อ อย่าง Subaru Impreza ,Nissan skyline R32 และ R35 หรือจะ Toyota Supra ที่โผล่มาตอนรำลึกถึง Paul Walker ในช่วงท้ายเรื่อง ทำให้ภาพยนตร์ขาดความเป็นหนังรถซิ่งในส่วนของรถที่เป็นแบบ Tuning car หรือรถแต่งไปอย่างน่าเสียดาย
แถมยิ่งกว่านั้นในภาคนี้ ทางผู้สร้างยังพาลไปเก็บพวกซุปเปอร์คาร์ หรือสปอร์ตหรูที่เข้ามาประกอบในภาพยนตร์ Fast & Furious 7 ด้วยเช่นกัน ส่วนตัวก็เข้าใจว่าอาจจะเพราต้องการแอบแดกดันภาพยนตร์ซิ่งจากเกม Need For Speed ที่โผล่มาฉายเมื่อปีกลาย แต่ก็โผล่มาไม่กี่ฉากเท่านั้น แถมยังไม่ได้มีการบู้ความเร็ว ซิ่งซุปเปอร์คาร์อย่างที่หลายคนคงอยากเห็น ว่า เมื่อดอมมีโอกาสมาซิ่งรถมูลค่าหลายล้านจะเป็นเช่นไร แต่นั่นก็ไม่ได้เกิดขึ้นตามอย่างที่ควรจะเป็น แต่กลับเป็นเพียงไม้ประดับบุญบารมีในภาพยนตร์ไปอย่างน่าเสียดาย แม้ว่าตามท้องเรื่องจะวางรถ Lykan Hypersport เอาไว้เป็นหมัดเด็ดก็ตามที
การวางหมากให้เป้นภาพยนต์บู้แอคชั่นมากกว่ารถซิ่งทำให้ตัวตนหนังเปลี่ยนไป ใครที่ชมภาพยนตร์ Fast& Furious ตั้งแต่ภาคแรกยันภาคที่ 7 จะค่อนข้างเข้าใจดีว่า วันนี้อรรถรสภาพยนตร์เรื่องนี้เปลี่ยนไปมากพอสมควร
แต่รสชาติใหม่ที่ต้องชมเชยใน Fast 7 คือมันกลายเป็นภาพยนตร์แอคชั่นที่คลุกเคล้าเรื่องความรักได้อย่างดีเกินคาด ลึกซึ้ง แต่ได้ความหมายที่มากพอจะทำใหคุณรักคนข้างกาย หรือคิดถึงคนที่คุณรักเมื่อมาดูภาพยนตร์เรื่องนี้
การที่ทีมงานใช้พลอทเรื่องด้วยดอมต้องพยายามฟื้นความทรงจำของเลทตี้ ไปพร้อมกับการบู้ล้างผชาญ รวมถึงไบรอันเองต้องจากมีอา มาเพื่อทำภารกิจสุดท้าย เช่นเดียวกับการเริ่มเรื่องด้วยการสูญเสียของฮานที่โตเกียว ทั้งหมดเป็นเรื่องที่แสดงออกถึงความรู้สึกว่า รัก ซึ่งคุณจะสัมผัสได้แบบขนมปันกรอบนอกนุ่มใน
ความซาบซึ้งพัฒนาความสัมพันธ์ของตัวละครต่างๆในเรื่องราวเหตุการณ์ความรัก จะถูกขั้นเป็นฉากๆ เพื่อสรุป ความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น ซึ่งคุณจะเห็นได้ เช่นการค้นพบจี้ไม้กางเขนของดอมที่อยู่ในรถของฮาน ซึ่งมอบโดยชอร์น พระเอกจากภาค Tokyo Drift เป็นตัวอย่างหนึ่งที่คุณจะเห็นและสัมผัสได้ถึงพลังแห่งความเป็นหนังรักที่ขอบู้ล้างผลาญสุดตัว
โดยเฉพาะ wording ที่สำคัญในภาพยนตร์ท้ายเรื่องที่ว่า “Because We cannot tell someone to love you” จากปาก ตัวเอก ดอมมินิค โทเร็ตโต้ ที่แม้จะเป็นคนโหด แต่กลับถูกทำให้มีความหวาน ถือเป็นวลีสั้นๆ ที่กินใจ ยิ่งถ้าคุณสัมผัสถึงความรักในหนังแอคชั่นแบบนี้ ..บอกเลยว่า ซึ้งจนแทบน้ำตาเล็ด
และยิ่งพอจบเรื่องในภาค ทางทีมงาน Fast7 ยังเอา การรำลึกความซึ้งและแสดงการสูญเสียของนักแสดงหนุ่ม Paul Walker นั่นยิ่งทำให้คำว่าความรัก ผลิดอกออกผลในจิตใจของคนที่ชมภาพยนตร์ Fast 7 ในมุมมองแบบที่พวกเขาไม่เคยรู้สึกมาก่อน
ออกจากโรงภาพยนตร์มา Fast 7 อาจจะขาดอรรถรสในความเป็นหนังรถซิ่ง มันสูญเสียตัวตนดังกล่าวไปสู่ความเป็นอภิมหาหนังแอคชั่นฟอร์มยักษ์มากกว่า ซึ่งเดิมทีในภาพยนตร์ชุดนี้เมื่ออกจากโรงภาพยนตร์ปุ๊ป เราจะรู้สึกว่า เดินไปที่รถ ต้องเหยียบคันเร่ง ขับเต็มเกียร์ ซิ่งสุดใจกลับบ้าน และเรากำลังเก็บเกี่ยวความมันส์จากความบันเทิงบนจอ มาใช้บนถนนในระหว่างขับกลับบ้าน
ทว่าในทางกลับกัน Fast & Furious ภาคนี้ ก็มีจุดดีหลายๆอย่าง ไม่ว่าจะการผันตัวเองไปสู่ความเป็นภาพยนตร์แอคชั่น อย่างแท้จริง ชัดเจนกว่าภาคที่แล้ว ไม่เน้นมากในการบู้ที่รถ แต่เน้นที่ความมันส์ในการต่อสู้อย่างสะใจ และเรื่องราวรักๆใคร่ .. และนั่นทำให้เรารู้สึกว่า วันนี้ Fast 7 มาถึงจุดสิ้นสุดของคำว่าหนังรถซิ่ง และมันน่าจะก้าวต่อไปในฐานหนังบู้แอคชั่น มากกว่าในอนาคต ... ถ้าพวกเขาจะทำภาคต่อไป
เรื่องโดย ณัฐยศ ชูบรรจง (Bonn)
ติดตามผู้สื่อข่าวและนักทดสอบรถยนต์ นาย ณัฐยศ ชูบรรจง ได้ที่ Facebook ,Twiter (@nattayodc)
ขอบคุณ ฟิล์มติดรถยนต์ Cardinal ที่เชิญกระผมและทีมงาน Autodeft.com เข้าร่วมการชมภาพยนตร์ Fast&Furious7 มา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ
ภาพทั้งหมดจาก Teaser ภาพยนตร์ Fast & Furious 7
ติดตามข่าวสารยานยนต์ รวดเร็วก่อนใคร ได้ที่ Autodeft.com