ประชันเก๋งแดนมังกรร่วมสายเลือด MG5 Gen 1 VS Gen 2 6 ปีผ่านไป มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง?
- โดย : Autodeft
- 6 ก.ค. 64 00:00
- 13,430 อ่าน
นับตั้งแต่ เอ็มจี ทำตลาดในเมืองไทยด้วยความเป็นรถยนต์สายพันธุ์ยุโรปมีความโดดเด่นในการขับขี่ด้วยขุมพลังช่วงล่างเหนือชั้น ดีไซน์การออกแบบที่เข้าตา ออพชั่นครบครัน และเทคโนโลยีที่ใส่ไปในรถ MG แต่ละรุ่นล้วนทันสมัยและดีกว่าเจ้าอื่นๆจนได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้ใช้รถชาวไทยเป็นจำนวนมากและรวดเร็วแบบก้าวกระโดด
สำหรับในส่วนรถเก๋งที่ได้รับความนิยมจะมีชื่อ MG 5 เก๋ง C-Car รวมอยู่ด้วยเด่นด้วยพลัง Turbo 129 แรงม้า ขายดีตั้งแต่ปลายปี 2015 จนรถหมดสต็อกว่างเว้นกลุ่มตลาดรถเก๋งช่วงปีสองปีที่ผ่านมา ล่าสุดในปี 2021 นี้ MG หวนกลับมาทำตลาดรถเก๋งอีกครั้ง ด้วยการส่ง MG 5 เจเนอเรชั่นที่ 2 ออกสู่ตลาด โดยยังคงคอนเซ็ปต์เดิมคือตัวรถ C-Car ใหญ่เทียบเท่า Honda Civic แต่มาสู้กับ B-Car Eco Car นั่นเอง ครั้งนี้จึงนำ MG 5 ทั้ง 2 เจเนอเรชั่นมาเปรียบเทียบกันว่า 6 ปีผ่านไป มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง โดยเป็นการเปรียบเทียบรุ่นท็อปสุดด้วยกัน เริ่มกันที่
ภายนอก
MG 5 เจเนอเรชั่นแรก ได้ดีไซน์เนอร์คาดว่าเป็นชาวอังกฤษมาออกแบบโดยจำหน่ายที่จีนใช้ชื่อว่า MG GT ดีไซน์ภายนอกมาในสไตล์คูเป้ โฉบเฉี่ยว ปราดเปรียวสะท้อนความพรีเมียมระดับรถหรูสายพันธุ์ยุโรปด้วย กระโปรงหน้ารูปตัว V โดยได้รับแรงบันดาลใจจากลวดลายของธงยูเนียนแจ็คแห่งประเทศอังกฤษ รับกับไฟหน้าที่ให้ความสว่างเพื่อทัศนวิสัยที่ดีและความปลอดภัย และ ไฟท้าดีไซน์เรียวยาวประสานเป็นหนึ่งเดียว
MG 5 เจเนอเรชั่นที่ 2 หน้าตาถอดแบบมาจากรุ่นพี่ MG 6 ที่ดีไซน์มีความเป็นรถยุโรป และมีความคล้ายกับแบรนด์รถยนต์จากอิตาลีด้วยสไตล์ coupe-style slip-back body design ตั้งแต่ กระจังหน้าดีไซน์ใหม่ 3 มิติ Digital Burning Grille ประดับด้วยเส้นแนวตั้งสีดำประกบโลโก้ MG ขนาดใหญ่พร้อมไฟหน้าทรงยาวเรียว กันชนหน้าทรงสปอร์ตที่ออกแบบทั้งกระจังหน้าและช่องระบายอากาศที่มีขนาดใหญ่ บั้นท้ายสวยขึ้นด้วยไฟท้าย ดีไซน์ Leopard Claw ประกบกันชนหลังใหม่พร้อมคิ้วชายล่าง ติดตั้งท่อไอเสียคู่ และยังมีกระจกโอเปร่า เอกลักษณ์เด่นสไตล์ยุโรป โดยออพชั่นทั้ง 2 รุ่นมีความแตกต่างตามตารางต่อไปนี้
มิติตัวรถ
จากตารางพบว่า MG 5 ทั้ง 2 เจนมีความยาว ความกว้าง ฐานล้อ แตกต่างกัน โดยเจนที่ 2 มีความยาวมากกว่าเจนที่แล้ว 63 มม. ความกว้างมากว่าเจนที่แล้ว 38 มม. ความสูงน้อยกว่าเจนที่แล้ว 8 มม. ฐานล้อมากกว่าเจนที่แล้ว 30 มม. น้ำหนักรถน้อยกว่าเจนที่แล้ว 25 กก. และความจุถังน้ำมันน้อยกว่าเจนที่แล้ว 10 ลิตร
ภายใน
ส่วน MG 5 เจนที่แล้วนั้น พื้นที่ว่างเหนือศีรษะนั่งสบายไม่อึดอัด และใส่ใจกับประโยชน์ใช้สอยแถมยังเลือกสรรวัสดุที่มีคุณภาพทั้งเบาะหนังที่ให้ความรู้สึกได้ถึงความเรียบหรูและประณีตในโทนสีดำและเบจ การออกแบบและจัดวางอุปกรณ์ต่างๆ เรียบง่ายมีสไตล์ด้วยแผงคอนโซลหน้าดีไซน์แบบมินิมอล พร้อมหน้าจอแสดงผลอัจฉริยะ และพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นพร้อมแพดเดิ้ลชิฟท์ สะดวกยิ่งขึ้นด้วยระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด พร้อมระบบนำทาง แสดงภาพกล้องมองหลัง เชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือผ่านบลูทูธ ฯลฯ
MG 5 เจนใหม่ นั้น ครบครันนั่งสบายพร้อมออพชั่นเต็มคันด้วยดีไซน์แผงคอนโซล 3D Diamond Design ลวดลายสปอร์ตพรีเมี่ยมพร้อมการออกแบบสไตล์ DRIVER-FOCUS COCKPIT ที่เหมาะสมกับตำแหน่งคนขับ พร้อมอปุกรณ์อื่นที่ให้มาไม่ว่าจะเป็นมาตรวัดดิจิตอลขนาดใหญ่ จอสัมผัสขนาดใหญ่ พร้อมระบบความบันเทิงสมัยใหม่ รองรับระบบเชื่อมต่อมัลติมีเดีย Apple CarPlay และสมาร์ทโฟนระบบ Android พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน 3 ก้าน ควบคุมเครื่องเสียงพร้อมปุ่มรับ วางสายโทรศัพท์หลังคา Sunroof และโทนสีดำแดงที่เลือกได้ 2 รูปแบบ ระบบกุญแจรีโมทอัจฉริยะ (Smart Key) พร้อมปุ่ม Push Start และ ระบบเบรกมือไฟฟ้า EPB (Electronic Parking Brake) แต่มีออพชั่นบางรายการไม่เหมือนกันตามตารางต่อไปนี้
จากตารางจะเห็นได้ว่าทั้ง 2 รุ่น มีความต่างอย่างชัดเจนทั้งเรื่องโทนสีภายใน ความทันสมัยของการดีไซน์ ถึงแม้ห้องโดยสารทั้งสองเจนเด่นตรงที่หลังคารถลาดลงแบบคู้เป้แต่การนั่งทั้ง 2 เจน ยังมีพื้นที่ของหลังคาเหลืออยู่ และยังพับได้แบบ 100% รวมถึงออพชั่นบางรายการเด่นกว่าเจนที่แล้วทั้งเบาะนั่งปรับไฟฟ้ามีระบบล็อกความเร็ว Cruise Control พนักพิงศีรษะด้านหลังปรับเลื่อนขึ้นลงได้จากเดิมที่พนักพิงเป็นแบบ FIX ตายตัว และยังมีแอร์ช่องหลังให้แต่เจนที่แล้วกลับมีที่วางแขนให้ซึ่งเจนที่สองนั้นไม่ติดตั้งให้
นอกจากนี้ทั้ง 2 เจน ยังมีระบบเชื่อมต่อการทำงานผ่านทางมือถือ เหมือนกัน โดยระบบใน MG 5 เจนแรกจะเรียกชื่อว่า inkaNet ให้ความสะดวกในการตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับรถ การจราจร เส้นทาง ระบบนำทางที่สามารถกำหนดเพิ่มเติมสถานที่ที่สนใจของผู้ขับขี่ได้ด้วยตัวเอง โดยผู้ใช้สามารถใช้งานและสั่งการได้ผ่านทางสมาร์ทโฟนและหน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อความสะดวก ปลอดภัย และวางใจได้ในการขับขี่ในทุกการเดินทาง โดยมีทั้ง การเตือนความผิดปกติของรถยนต์ (Vehicle Alarm) เพิ่มความปลอดภัยให้แก่รถของคุณ ระบบจะแจ้งเตือนความผิดปกติผ่านทาง Push Notification บนแอพพลิเคชันในสมาร์ทโฟนเพื่อแจ้งให้ผู้ใช้ได้ทราบ ระบบการนำทาง (Navigation) ฟังก์ชั่นนี้ช่วยให้ข้อมูลระบบนำทางผ่านทาง Google Map และ ช่วยให้ผู้ใช้สามารภติดตามตำแหน่งของรถได้ ระบบขอบเขตอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Fence) ช่วยกำหนดขอบเขตรัศมีการขับรถยนต์ ระบบแจ้งอัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน (Fuel Consumption) แสดงอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันในการขับรถ ระบบเลขาฯ ส่วนตัว (i-Call) และ วางแผนการเดินทาง (Travel Plan)
แต่สำหรับ MG 5 เจนใหม่ ใช้ชื่อว่า i–SMART พร้อมเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด Digital Key สามารถใช้งานรถผ่านกุญแจดิจิตอลโดยรับ - ส่ง โค้ดจากแอพพลิเคชัน i-SMART สามารถสั่งการเปิด-ปิด และสตาร์ทรถยนต์ รวมถึงการส่งกุญแจดิจิตอลให้กับผู้อื่นเพื่อใช้งานรถยนต์ผ่านแอพพลิเคชั่น i-SMART
- Smart Command หรือ ระบบสั่งการอัจฉริยะ ประกอบไปด้วย กุญแจดิจิตอล ระบบสั่งการผ่านคำสั่งเสียงภาษาไทย ควบคุมการทำงานของระบบปรับอากาศผ่านทางสมาร์ทโฟน ค้นหาข้อมูลจุดท่องเที่ยวน่าสนใจ และวางแผนการเดินทางTravel Plan จากสมาร์ทโฟนส่งเข้าหน้าจอทัชสกรีนของรถได้ โทรออก – รับสายจากจอทัชสกรีน สามารถติดต่อ MG Call Centre เพื่อสอบถามข้อมูล หรือขอรับจุดน่าสนใจ (Point Of Interest ด้วยปุ่มลัดบนพวงมาลัย
- Smart Connect หรือ ระบบเชื่อมต่ออัจฉริยะ ประกอบไปด้วย เล่นเพลงทั้งรูปแบบออนไลน์ และสตรีมมิ่ง ค้นหาร้านอาหาร ที่พัก และสถานที่ท่องเที่ยวบนแผนที่นำทาง รายงานการจราจรแบบ Real Time เรียกดูข้อมูลข่าวสารเหตุการณ์ปัจจุบัน และข้อมูลพยากรณ์สภาพอากาศ อัพเกรดระบบต่าง ๆ ผ่านออนไลน์ (FOTA)
- Smart Check หรือ ระบบตรวจเช็กอัจฉริยะ ประกอบไปด้วย ตรวจสอบสถานะของประตูรถ ตรวจสอบตำแหน่งของรถ พร้อมบอกเส้นทางไปยังรถยนต์ผ่านฟังก์ชั่น FIND MY CAR โดยกำหนดให้รถเปิดไฟหน้า ไฟท้าย หรือใช้เสียงแตรผ่านการตั้งค่าตรวจสอบความผิดปกติ และแจ้งสถานะการทำงานของรถ เช่น เครื่องยนต์ ลมยาง และถุงลมนิรภัย ระบบช่วยค้นหาศูนย์บริการ นัดหมาย และบันทึกการดูแลรักษารถยนต์ตามระยะ ระบบแจ้งเตือนเมื่อความผิดปกติเกิดขึ้นกับระบบการทำงาน หรืออุปกรณ์ของรถกำหนดขอบเขตการใช้รถได้ตั้งแต่ 500 ม. ถึง 10 กม. โดยระบบจะแจ้งเตือนเมื่อรถเข้า - ออก ในขอบเขตที่กำหนดไว้
ขุมพลัง
จากตารางทั้ง 2 เจนของ MG 5 ยังใช้ขุมพลังเดียวกันเต่เมื่อมาอยู่เจนใหม่นั้นมีการพัฒนาขุมพลังโดยการปรับกำลังอัดมากขึ้นจากเดิมเป็น 11.5 :1 มีผลให้แรงม้ามากขึ้นกว่าเดิม 8 แรงม้า และแรงบิดมากขึ้น 15 นิวตันเมตรส่วนรอบของแรงม้าและแรงบิดเท่าเดิม แต่ทั้ง 2 เครื่องยนต์นั้นสามารถเติมน้ำมันได้สูงสุดถึง E85 แต่ที่น่าเสียดายว่าใน MG 5 เจนใหม่นี้ไม่มีเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ มาตอบโจทย์กลุ่มคนรักความเร็ว(โดย MG 5 เจนที่แล้วมีเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบทำตลาด ขนาด 1.5 ลิตร 15SG4 ให้กำลังสูงสุด 129 แรงม้าที่ 5,500 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 210 นิวตันเมตรในรอบต่ำช่วง 2,000-4,400 รอบต่อนาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดแบบทอร์คคอนเวอเตอร์)
ช่วงล่าง
MG 5 ทั้ง 2 เจน ยังใช้ช่วงล่างเหมือนกันพร้อมระบบพวงมาลัยพาวเวอร์ที่ควบคุมด้วยระบบไฟฟ้า แต่สำหรับเจนใหม่ได้ตรงที่ระบบพวงมาลัยปรับน้ำหนักได้ 3 ระดับแบบเดียวกับ New MG ZS คือ โหมด City โหมด Standard และโหมด Sport สวนล้อและยางเจนใหม่มีการเพิ่มขนาดมาเป็น 17 นิ้ว ตกแต่งหรูแบบรถยุโรปแบบใบพัด
ระบบความปลอดภัย
เมื่อเทียบกันแล้วจะพบว่าทาง MG 5 เจนที่แล้วได้เปรียบตรงที่จะมีความปลอดภัยบางอย่างที่จำเป็นทั้ง ระบบป้องกันการลื่นไถลเมื่อเกียร์ลดต่ำอย่างฉับพลัน (MSR) ระบบควบคุมการเบรกขณะเข้าโค้ง (CBC) และระบบตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง (ITPMS - Indirect Tire Pressure Monitor System แต่ MG 5 เจนใหม่ถึงไม่มีระบบความปลอดภัย 3 รายการที่กล่าวมาแต่กลับให้ข้าวของมาเยอะกว่าเดิมททั้งถุงลมนิรภัย 6 จุด ระบบป้องกันการไหลของรถโดยไม่องเหยียบเบรกค้าง (Auto Vehicle Hold) ระบบสัญญาณไฟแจ้งเตือน เมื่อมีการเบรกฉุกเฉิน ESS ระบบช่วยเตือนเมื่อต้องการเปลี่ยนเลน LCA ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตา BSD ระบบช่วยเตือนขณะถอยหลัง RCTA ระบบช่วยเตือนการชนด้านหลัง RCW และมีกล้องมองภาพรอบทิศทางแบบ 3 มิติ
รายละเอียดสีภายนอกรถ
ถึงแม้ว่า MG 5 ทั้ง 2 เจน มีจุดมุ่งหมายเดียวกันในการถล่มคู่แข่งกลุ่ม B-Car Eco Car ด้วยตัวรถมีขนาดเท่ากับ Honda Civic Toyota Corolla Altis แต่ความใหญ่โตของตัวรถเจนใหม่แน่นอนว่าได้เปรียบแบบเห็นๆ ข้าวของที่ติดรถรวมถึงขุมพลังความปลอดภัยนั้นชัดเจนแล้วว่าเจนใหม่ได้เปรียบแบบเห็นถึงแม้บางอย่างจากเจนที่แล้วอาจไม่ได้ใส่มาด้วย โดยราคาของเจนที่แล้วตอนป้ายแดง ราคาจำหน่ายเริ่มที่ 649,000-759,000 บาททั้งรุ่นเครื่องธรรมดาและเทอร์โบ แต่เจนใหม่มีด้วยกัน 3 รุ่นดังนี้
- รุ่น C ราคา 559,000 บาท
- รุ่น D ราคา 599,000 บาท
- รุ่น X ราคา 689,000 บาท
แต่สุดท้าย MG 5 ทั้ง 2 เจนจะใช่หรือไม่ใช่งานนี้รักใครชอบใครก็เลือกกันตามอัธยาศัย แต่ก่อนจะตัดสินใจซื้อ การทดลองขับเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ ว่ารถที่คุณลองขับนั้นมีความน่าสนใจมากน้อยเพียงใด
เรื่องโดย นายเต้ย
ติดตามข่าวสารยานยนต์ รวดเร็วก่อนใคร ได้ที่ Autodeft.com