สัมผัสฟิลลิ่ง MINI 2016 กับ MINI Driving Experience 2016

  • โดย : รัฐศิลป์ รัตนกู้เกียรติ
  • 19 พ.ค. 59
  • 7,502 อ่าน

เมื่อนึกถึงรถยนต์ที่ขับสนุก และมีเอกลักษณ์ในแบบเฉพาะตัว เชื่อว่าหลายๆ คน คงนึกถึงรถยนต์ MINI มาเป็นอันดับแรก รถที่มีเรื่องราวและชื่อเสียงมาอย่างยาวนาน ใครต่อใครต่างหมายปองได้ครอบครอง และโฉมล่าสุดที่พูดได้ว่าไม่ลองงานนี้คงไม่รู้กันแน่

โอกาสอันดี มินิ ประเทศไทย เรียนเชิญทีมงานร่วมกิจกรรม MINI Driving Experience 2016 สัมผัสยานยนต์ระดับตำนานจากอังกฤษ พร้อมสมรรถนะการขับขี่เร้าอารมณ์ ในสไตล์เฉพาะตัวของ MINI โดยกิจกรรมในครั้งนี้แบ่งเป็น 3 สถานีทดสอบ ได้แก่ Elk Test, Figure 8 และ Handling Course

เริ่มต้นด้วย Elk Test หรือการทดสอบหักหลบสิ่งกีดขวางฉุกเฉิน พื้นที่สนามถูกจำลองขึ้น ไพลอนถูกวาง สร้างสถานการณ์ในขณะขับขี่บนทางตรง และต้องหักหลบฉุกเฉิน ซึ่งเริ่มด้วยการหักหลบไปทางซ้าย และหับหลบไปทางขวาในเกือบจะทันทีต่อเนื่องกันด้วยความเร็ว 50-60 กม./ชม. ตัวเลขความเร็วดังกล่าวอาจดูเป็นตัวเลขที่ไม่สูง แต่หากการหักหลบกะทันหันด้วยความเร็วขนาดนี้ รถที่มีบาลานซ์ไม่ดี พวงมาลัยไม่แม่นยำ หรือแม้ระบบช่วยเหลือต่างๆ ไม่มีหรือทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพ ก็อาจทำให้รถเสียหลักได้อย่างง่ายดาย

แต่สำหรับรถ MINI นั้น ขอบอกเลยว่าคุณจะรู้สนุกแทนที่จะกังวลในการทดสอบนี้ ในการหักหลบครั้งที่สองที่จะเกิดแรงเหวี่ยงขึ้นที่จะทำให้รถเสียการทรงตัว คุณสามารถเติมคันเร่งเพื่อให้ท้ายรถกวาดออก พร้อมควบคุมรถไปยังเส้นทางที่ต้องการได้อย่างสบายๆ ซึ่งรถที่ทางทีมงานใช้ทดสอบในช่วงนี้ก็ คือ MINI John Cooper Works ใหม่ ด้วยตัวรถที่มีการกระจายน้ำหนัก 50:50 มีส่วนหน้า-ท้ายที่สั้น ฐานล้อยาว จุดศูนย์ถ่วงต่ำ และขุมพลังสปอร์ตจากมินิ เครื่องยนต์ 4 สูบที่ติดตั้งแบบ transverse พร้อมอัพเกรดระบบส่งกำลังให้ทำงานราบรื่นด้วยเทคโนโลยี มินิ ทวินพาวเวอร์ เทอร์โบ ถือเป็นเครื่องยนต์ที่ทรงพลังที่สุดที่มินิเคยนำออกมาทำตลาด โดยมีกำลังสูงสุดถึง 231 แรงม้า

และระบบช่วงล่างทำงานสอดประสานกับเครื่องยนต์ ควบคู่ไปกับเบรกระดับสปอร์ตรุ่นใหม่จากเบรมโบ ระบบพวงมาลัยพาวเวอร์ เซอร์โวทรอนิก ที่ใช้ทั้งระบบไฟฟ้าและกลไกผสมผสานกัน และเทคโนโลยี Dynamic Stability Control ที่มีทั้งคุณสมบัติ Dynamic Traction Control (DTC)  Electronic Differential Lock Control (EDLC) และ Dynamic Damper Control ติดตั้งมาในตัวเป็นมาตรฐาน

สิ่งเหล่านี้เองใน MINI John Cooper Works ทำให้การทดสอบในสถานี Elk Test เป็นอะไรที่สนุกสนานเมื่ออยู่หลังพวงมาลัย ผู้ขับขี่สามารถควบคุมรถไปตามเส้นทางได้อย่างแม่นยำและมั่นใจ โดยมีหนึ่งเทคนิคง่ายๆ คือการใช้สายตา หากต้องการหลบสิ่งกีดความไปในทิศทางใดสายตาต้องมองไปยังทิศทางนั้น เราก็จะสามารถควบคุมรถให้ไปยังทิศทางที่ต้องการได้อย่างแม่นยำ และโดยเฉพาะในโหมด Sport ตัวรถจะมีการปรับน้ำหนักพวงมาลัย การตอบสนองของคันเร่ง เกียร์ และช่วงล่างให้มีความสปอร์ตยิ่งขึ้น และแข็งจนรู้สึกได้ ทำให้การขับขี่ในโหมดนี้สามารถควบคุมรถได้แม่นยำ และเร้าใจมากยิ่งขึ้น หรือใครที่ใช้รถในประจำวันแบบปกติชิวๆ โหมด Green ก็จะช่วยเซฟน้ำมันของคุณได้

ต่อกันด้วยสถานีทดสอบที่ 2 ก็คือ Figure 8 หรือการขับวนเป็นเลขแปด สนามถูกจำลองให้รถขับวิ่งวนเป็นเลขแปด โดยพื้นสนามถูกฉีดน้ำให้เปียกเพื่อจะให้ผู้ทดสอบบนสนามนี้ได้สัมผัสกับการขับขี่ขณะที่รถมีอาการบานโค้ง โดยเริ่มต้นด้วยการปิดระบบ DSC (Dynamic Stability Control) จากนั้นขับวนเป็นเลขแปดบนสนาม เมื่อความเร็วไต่ระดับขึ้นสังเกตได้อย่างชัดเจนว่าหน้ารถบานออกจากวงอย่างรวดเร็ว และเมื่อถอนคันเร่งตัวรถก็จะกลับเข้ามาในวงสนาม

หลังจากที่ปิดระบบ DSC กันไป คร่าวนี้เราจะเปิดระบบและวิ่งวนเป็นเลขแปดอีกครั้ง ทีมงานเดินคันเร่งวนเป็นเลขแปดในระดับความเร็วที่หน้ารถจะต้องบานออกเมื่อตอนปิดระบบ DSC แต่เมื่อเปิดระบบแล้วตัวรถยังคงเกาะอยู่ในโค้ง ระบบช่วงเหลือต่างๆ เข้ามาช่วยเหลือ ทำให้สามารถควบคุมรถอยู่ในเส้นทาง และสังเกตได้ว่าแม้จะเติมคันเร่ง หรือแช่คันเร่งในขณะที่รถจะบานโค้งออกในขณะที่ขับวนอยู่นั้น ระดับความเร็วก็จะถูกควบคุมไว้โดยระบบ เพื่อให้เราสามารถควบคุมรถให้อยู่ในเส้นทางอย่างปลอดภัย และอีกสิ่งน่าประทับใจก็คือ การทำงานของระบบที่มีความนุ่มนวลและราบรื่นกว่าระบบช่วยเหลือทั่วๆ ไป

สถานีสุดท้าย Handling Course เริ่มต้นด้วยการ เร่งความเร็วจากจุดหยุดนิ่ง ก่อนต้องเบรกให้รถหยุดสนิท ช่วงนี้เองทำให้ทีมงานได้สัมผัสกับอีกสมรรถนะของอัตราเร่งอันเร้าใจของ MINI John Cooper Works ใหม่ พร้อมกำลัง 231 แรงม้า แรงบิด 320 นิวตันเมตร และเมื่ออยู่ในโหมด Sport ทันทีที่กดคันเร่งพร้อมส่งเสียงคำรามเร้าใจ ความเร็วไต่ระดับอย่างรวดเร็วต่อเนื่องก่อนถึงจุดเบรกที่ความเร็วประมาณเกือบๆ 120 กม./ชม. และเบรกแบบกะทันหันทันทีที่ผ่านไพลอนที่กำหนด ตัวรถและระบบต่างๆ เข้ามาช่วยเหลือได้อย่างนุ่มนวล ไม่มีอาการจับเบรกปล่อยเบรกปล่อย ให้รู้สึกแต่อย่างใด

โดยในสถานีสุดท้ายนี้ ทีมงานได้ทดสอบขับ มินิ รุ่นอื่นๆ ที่มีสไตล์ในตัวตนที่แตกต่างกันออกไป เริ่มด้วย MINI Countryman Cooper SD ALL4 Park Lane ขุมพลังดีเซล มินิ ทวินพาวเวอร์ เทอร์โบ ขนาด 2.0 ลิตร กำลังสูงสุด 143 แรงม้าที่ 4,000 รอบต่อนาที พร้อมแรงบิดสูงสุด 305 นิวตันเมตร พร้อมมิติตัวรถที่ดูสูงโปร่งในแบบรถครอบครัว แต่ยังสามารถใช้งานในแบบสปอร์ตพร้อมทัศนวิสัยอันชัดเจน อัตราเร่ง เบรก และการควบคุมก็ยังสามารถทำได้ดีกว่ารถครอบครัวด้วยกัน ในสถานี Handling Course ก็ให้อีกอารมณ์ของมินิที่ไม่ได้เน้นแรงมากมาย แต่มีกำลังเหลือเฟือสำหรับใช้งาน

ซึ่งสำหรับรุ่น Park Lane นี้ เป็นสีเทาเมทัลลิก Earl Grey จับคู่กับหลังคาและกระจกมองข้างสีแดง Oak Red พร้อมแต่งด้วยแถบสีสไตล์สปอร์ตในสีเดียวกับกระโปรงรถ กันชนท้าย และส่วนข้างตัวรถ ขณะที่ไฟเลี้ยวติดตั้งในกรอบชุบโครเมียมที่แต่งด้วยสีแดง Oak Red เช่นกัน นอกจากนี้ ตัวรถยังเสริมความสปอร์ตด้วยล้อแม็กอัลลอยน้ำหนักเบาขนาด 18 นิ้วสีเทาในดีไซน์ Turbo Fan Dark Grey พร้อมตกแต่งรอบตัวถังด้วยชิ้นส่วนกันชนและขอบประตูสีเงินในชุดแต่ง MINI ALL4 Exterior

และอีกหนึ่งรุ่นกับ MINI Clubman ใหญ่ที่สุดในตระกูลมินิ จากการขับทดสอบเร่งจากจุดหยุดนิ่ง เบรก และขับวนไปตามสนามที่ถูกเซ็ตไว้ ให้ฟิลลิ่งแบบสุขุมแต่แฟงด้วยพลัง เมื่อสังเกตตัวรถจากด้านนอกที่ดูแบนและกว้างให้ความรู้สึกว่ารถน่าจะไม่คล่องตัวสักเท่าไหร่ ซึ่งน่าจะส่งผลต่ออัตราเร่งและการควบคุมรถ แต่ครั้งเมื่อได้ลองขับเข้าจริงกับเป็นรถที่ควบคุมได้ง่ายดาย อัตราเร่งดี พร้อมกับที่สุดของความนุ่มนวลในตระกูลมินิ

โดย MINI Clubman นั้น เป็นรถอีกหนึ่งรุ่นของมินิ ที่ออกแบบมาให้ดูหรูหรามีสไตล์มากกว่าความสปอร์ต เน้นความนุ่มนวลตลอดการเดินทาง ตอบรับทุกการใช้งานด้วยช่องเก็บสัมภาระที่มีความจุมากถึง 360 ลิตร และยังสามารถขยายขนาดเพิ่มขึ้นเป็น 1,250 ลิตร เมื่อทำการพับเบาะที่นั่งหลังซึ่งแยกกันที่ 40:20:40 ส่วนฝากระโปรงท้ายแบบบานพับสองข้างใช้วัสดุโลหะสะดุดตา เสากลางระหว่างบานกระจกซ้าย-ขวามีขนาดเล็กลงกว่าในรุ่นก่อนหน้า ช่วยเพิ่มวิสัยทัศน์ในการมองด้านหลังให้ดียิ่งขึ้น ทั้งยังสะดวกสบายด้วยการเปิดประตูแบบไม่ต้องสัมผัส เพียงใช้เท้าไปจ่อที่บริเวณใต้กันชนท้ายเมื่อมีกุญแจรถอยู่กับตัว

อีกหนึ่งประสบการณ์ดีๆ สนุกๆ ที่ทาง มินิ ประเทศไทย จัดขึ้น MINI Driving Experience 2016 ที่จะไม่มีทางรับรู้ได้เลยจนกว่าจะได้สัมผัส และลองขับด้วยตัวคุณเองเท่านั้น คุณเท่านั้นคือคำตอบของทุกคำถาม MINI ใช่หรือไม่ใช่สำหรับคุณ...

 

ติดตามข่าวสารยานยนต์ รวดเร็วก่อนใคร ได้ที่ Autodeft.com 

 

มินิ ประเทศไทยยังมอบความอุ่นใจทุกเส้นทางกับโปรแกรมบำรุงรักษาและการรับประกัน
โปรแกรม Service Inclusive อภิสิทธิ์พิเศษสุดสำหรับเจ้าของรถมินิ คุ้มครองรถให้ขับเคลื่อนไปในทุกเส้นทางอย่างราบรื่น โดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาตลอดระยะเวลา 5 ปี หรือตลอดระยะทาง 100,000 กิโลเมตร (แล้วแต่กำหนดใดถึงก่อน) นอกจากนี้ มินิ ยังมีโปรแกรมการรับประกันที่ขยายขอบเขตการคุ้มครองเป็นตลอดระยะเวลา 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง

5 เรื่องน่าสนใจ