สัมผัสความแกร่งของ มาสด้า บีที-50 ใหม่

  • โดย : Rattapitch Mongkolkittisup
  • 1 ต.ค. 58
  • 5,931 อ่าน

ย้อนรอยเจงกีสข่าน มหาวีรบุรุษนักรบผู้ยิ่งใหญ่ บนเส้นทางแห่งทุ่งหญ้า ทะเลทราย “ไทย-จีน-มองโกเลีย” รวมระยะทางกว่า 20,000 กิโลเมตร

หลังจากเปิดตัว  “มาสด้า บีที-50 โปร ใหม่” สู่สาธารณชนอย่างเป็นทางการเมื่อช่วงต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย ได้เดินหน้าจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาด เพื่อตอกย้ำภาพลักษณ์รถกระบะที่แข็งแกร่ง สมบุกสมบัน และดุดัน โดยมาพร้อมสโลแกนใหม่ของรถปิกอัพสายพันธุ์สปอร์ต Tough as life นิยามแกร่ง...คุณเท่านั้นที่กำหนด”

แน่นอนว่าแนวทางการทำตลาดสำหรับรถกระบะรุ่นนี้ไม่ธรรมดาเหมือนเช่นที่ผ่านมา  มาสด้าต้องการท้าพิสูจน์ความแกร่งของรถกระบะมาสด้า บีที-50 โปร ใหม่ ด้วยการจัดทริปประวัติศาสตร์เพื่อให้สื่อมวลชนไทยกว่า 48 ชีวิต ได้ร่วมทดสอบสมรถนะความสมบุกสมบันของรถกระบะรุ่นนี้บนเส้นที่ท้าทาย โดยการขับทางจากประเทศไทยเข้าสู่ประเทศจีนและสิ้นสุดที่ประเทศมองโกเลีย  โดยจุดหมายปลายทางของการเดินทางครั้งนี้อยู่ที่เมืองอูลานบาตอร์ (Ulaanbataar) เมืองหลวงของประเทศมองโกเลีย รวมระยะทางทั้งสิ้นกว่า 20,000 กิโลเมตร

ด้วยเหตุผลหลักที่หลากหลายเพื่อพิสูจน์ความแกร่งของรถกระบะมาสด้า บีที-50 โปร ใหม่ รวมทั้งผู้เข้าร่วมเดินทางทดสอบในครั้งนี้ มาสด้าเลือกเส้นทางเส้นนี้เนื่องจากเชื่อว่า “มองโกเลีย” คือดินแดนแห่งความยิ่งใหญ่ของมหาวีรบุรุษเจงกีสข่าน ผู้ที่ขึ้นชื่อว่าไปรบที่ไหนก็ชนะที่นั่น ดินแดนที่ไม่เคยมีนักเดินทางเข้าไปท่องเที่ยวมากนัก และยังเป็นเส้นทางที่อยู่ในความฝันของนักเดินทางและยังเป็นเส้นทางที่ยังไม่มีใครเคยพิชิตมาก่อน ผนวกกับเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่มีมาอย่างยาวนาน ที่เราได้ยินผ่านเรื่องเล่าต่างๆมากมายทั้งภาพยนตร์ หนังสือชีวประวัติ รวมทั้งตำนานเล่าขานผ่านกาลเวลาอันยาวนานกว่า 2500 ปี

นอกจากนี้เส้นทางดังกล่าวยังสามารถสะท้อนถึงภาพลักษณ์ความยิ่งใหญ่และความแกร่ง ดุดัน สมบุกสมบันของรถกระบะมาสด้า บีที-50 โปร ใหม่ได้เป็นอย่างดี

           สื่อมวลชนที่ร่วมพิสูจน์ความแข็งแกร่งในครั้งนี้แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มๆ ละ 24 คน รวมทั้งสิ้น 48 คน และมีรถกระบะมาสด้า บีที-50 โปร ใหม่ เข้าร่วมคาราวาน 8 คัน ทั้งสองกลุ่มร่วมทดสอบโดยทีมงานได้ออกเดินทางจากประเทศไทย มุ่งหน้าเข้าสู่ประเทศลาว และเข้าสู่เมืองหลวงของประเทศจีน ผ่านเส้นทางที่มีความหลากหลาย ความแตกต่างทางวัฒนธรรม และรอต้อนรับคณะสื่อมวลชนที่เมืองปักกิ่ง เพื่อให้คณะสื่อมวลชนทั้งหมดรับไม้ต่อและพิสูจน์ความแกร่งทั้งรถทั้งคนขับ จากเมืองหลวงของจีน มุ่งสู่เมืองหลวงอูลานบาตอร์ ซึ่งเป็นเมืองหลวงใหม่ของประเทศมองโกเลีย  และอีกคณะก็ขับย้อนกลับมายังเมืองปักกิ่ง ประเทศจีน รวมระยะทางกว่า 4,400 กิโลเมตร

รถกระบะมาสด้า บีที-50 โปร ใหม่ ที่ใช้เป็นเครื่องพิสูจน์ในทริปนี้มีด้วยกันทั้งหมด 8 คัน  ประกอบด้วย รุ่น Free Style Cab จำนวน 2 คัน และรุ่น Double Cab จำนวน 6 คัน ซึ่งทั้งหมดเป็นรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ แบบยกสูง หรือเรียกว่า Hi-Racer เครื่องยนต์ดีเซลอันทรงพลัง Di-THUNDER PRO 2.2 ลิตร คอมมอนเรล ไดเรคอินเจคชั่น 4 สูบ 16 วาล์ว 150 แรงม้า

จุดเริ่มต้นของการเดินทางอันยิ่งใหญ่ เริ่มต้นขึ้นที่สนามบินสุวรรณภูมิ โดยสมาชิกทั้งหมด 24 ชีวิต พร้อมออกเดินทางสู่ปักกิ่งไฟลท์เกือบเที่ยงคืน โดยสายการบิน Air China และทันทีที่เครื่องบินลงแตะพื้นเมืองปักกิ่งราว 6 โมงเช้าเศษ (เวลาที่เมืองปักกิ่งเร็วกว่าเมืองไทย 1 ชั่วโมง) บรรยากาศความหนาวเหน็บที่มาพร้อมพายุฝนก็ปะทะร่างทำให้ต้องรีบคว้าเสื้อกันหนาวมาห่มเพื่อบรรเทา หลังจากผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองของเมืองปักกิ่ง ซึ่งปัจจุบันมีนักเดินทางมุ่งหน้าเข้าสู่เมืองจีนค่อนข้างหนาตา ทั้งคนท้องถิ่น นักท่องเที่ยวชาวไทย หรือแม้กระทั่งฝรั่งตาน้ำข้าว ทำให้เราใช้เวลาสำหรับพิธีการของการตรวจคนเข้าเมืองร่วมๆ 1 ชั่วโมง ในที่สุดทั้งคณะก็ออกเดินทางโดยรถบัสจากสนามบินเมืองปักกิ่งไปยังโรงแรมที่ทางทีมงานได้จัดเตรียม รถกระบะมาสด้า บีที-50 โปร ใหม่ ไว้ให้นักทดสอบได้ยลโฉมกันก่อนออกเดินทาง แน่นอนว่ากองทัพต้องเดินด้วยท้อง อาหารมือแรกหลังจากที่เหยียบแผ่นดินมังกร คือ น้ำเต้าหู้ ผัดผัก และไข่ต้ม เล่นเอาทุกคนต่างมองหน้ากันเล็กน้อยก่อนจะหันกลับมารับประทานกันต่อเพื่อให้อิ่มท้องและเติมพลังงานเก็บเรี่ยวแรง หลังจากเพิ่มพลังมื้อเช้ากันแล้วก็ได้ฤกษ์เริ่มออกเดินทางทดลองขับรถกระบะมาสด้า บีที-50 โปร ใหม่ บนเส้นทางสายประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ ซึ่งวันแรกต้องวิ่งยาวกว่า 700 กิโลเมตรจึงจะถึงเมือง อีเรนฮอต (Erenhot) เมืองชายแดนระหว่างจีนและมองโกเลีย

การเดินทางในครั้งนี้ทางทีมงานมาสด้าได้นำรถทั้งหมดขับล่วงหน้าออกจากกรุงเทพไปยังเมืองปักกิ่ง โดยใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 วัน ซึ่งรถทั้งหมดที่นำไปทดสอบครั้งนี้ประกอบด้วยรถกระบะมาสด้า บีที-50 โปร ใหม่ จำนวน 8 คัน และรถสำหรับทีมงานอีกจำนวน 4 คัน รวมทั้งขบวนการเดินทางในครั้งนี้มีรถกระบะมาสด้า บีที-50 โปร ทั้งหมด 12 คัน และเราได้ผู้เชี่ยวชาญการเดินทางอย่าง “ทรานส์ เอเชีย รูท”  ซึ่งเป็นทีมงานจัดกิจกรรมการเดินทางมาแล้วทั่วโลก เป็นผู้นำทางตลอดเส้นทางการทดสอบ

           วันแรกของการเดินทางหลังจากที่นักขับเข้าประจำยานพาหนะเป็นที่เรียบร้อย เวลาแห่งความประทับก็เริ่มต้นขึ้นทันที ฝูงบินมาสด้า บีที-50 โปร ใหม่ เริ่มทยอยออกเดินทางจากเมืองปักกิ่งมุ่งหน้าสู่เมืองอีเรนฮอต (Erenhot) เมืองชายแดนระหว่างจีนและมองโกเลีย ซึ่งเมืองนี้ยังอยู่ในเขตการปกครองของจีน การเดินทางประเดิมกันด้วยการขับแบบสบายๆ ท่ามกลางฝนที่ตกพรำๆ การจราจรช่วงแรกๆ ยังมีรถหนาแน่นพอสมควร ก่อนที่ขบวนทั้งหมดจะขึ้นทางด่วนได้ก็เกือบๆ ชั่วโมง เนื่องจากมีข้อกำหนดของทางการว่ารถบรรทุกจะขึ้นทางด่วนได้เฉพาะบางด่านเท่านั้น โดยเฉพาะในเมืองห้ามรถบรรทุกวิ่งโดยเด็ดขาด และเมื่อขึ้นทางด่วนได้แล้วก็เริ่มทำความเร็วได้พอสมควร แต่ก็ยังมีจำกัดความเร็วอยู่ที่ 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเม็ดฝนที่กระหน่ำลงเป็นระยะๆ ทำให้ต้องแวะเข้าห้องน้ำและยืดเส้นยืดสายกันเป็นระยะๆเหมือนกัน รวมทั้งด่านเก็บเงินก็มีให้เห็นอยู่เป็นช่วงๆ โดยเฉพาะในช่วงที่ผ่านจากเมืองหนึ่งสู่อีกเมืองหนึ่ง ตลอดข้างทางมีวิวที่สวยงาม เส้นทางส่วนใหญ่เป็นถนนลาดยางอย่างดีไม่มีแม้แต่รอยต่อหรือรอยซ่อมแซมของถนนให้น่ารำคาญใจ

นี่แค่วันแรกสมาชิกก็อิ่มเอมไปกับทัศนียภาพอันสวยงามของสองข้างทางแล้ว แม้ว่าในบางช่วงบางจังหวะต้องเผชิญกับแสงแดดที่ร้อนจัด บางช่วงก็มีฝนตกหนักสลับกันตลอดทั้งวัน แต่รถกระบะมาสด้า บีที-50 โปร ใหม่ ก็ให้ทัศนวิสัยที่ดีในทุกการขับขี่ตลอดเส้นทาง เพราะรถรุ่นนี้มีระบบเปิด-ปิดไฟอัตโนมัติ ที่ปัดน้ำฝนอัตโนมัติ กระจกมองหลังตัดแสงสะท้อนอัตโนมัติ ทำให้สามารถตอบสนองการขับขี่หลากหลาย และเพลิดเพลินกับการขับขี่จนแทบไม่รู้สึกเหนื่อยเลย 

ตลอดเส้นทางขบวนนักทดสอบรถจอดพักรถเป็นระยะๆ เพื่อเข้าห้องน้ำ ดื่มกาแฟ และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ ถ่ายรูปและเซลฟี่กันอย่างสนุกสนาน ที่สำคัญคือไม่ต้องกังวลเรื่องเครื่องดื่มระหว่างทาง เพราะทีมงานเตรียมชา  กาแฟ และกระติกน้ำร้อนไว้อย่างครบครัน แม้กระทั่งเครื่องดื่มแช่เย็นก็มี เพราะทีมงานจัดการขนตู้เย็นดัดแปลงระบบไฟฟ้าโดยต่อกับแบตเตอร์รี่ติดตั้งไว้ท้ายกระบะ สมกับที่เป็นรถอเนกประสงค์ รองรับทุกการใช้งานจริงๆ

อาหารมื้อที่สองในประเทศจีนเริ่มดีขึ้นหรือเพราะคุ้นชินกับลิ้นที่ลิ้มรสชาติของอาหารจีนมาตั้งแต่มื้อแรก อันนี้ก็ยากที่จะแยกแยะได้ เมืองจินนิง (Jinning)ซึ่งเป็นเมืองขนาดใหญ่แต่ว่าผู้คนยังดูโหรงเหลง คือสถานที่ที่เราได้แวะพักรับประทานอาหารกลางวัน ณ โรงแรม Blue Horizon International ก่อนมุ่งหน้าตรงสู่เมืองอีเรนฮอต (Erenhot) ซึ่งอยู่ในส่วนของมองโกเลียใน และอยู่ในเขตการปกครองของจีน ตลอดสองข้างทางในย่านนี้จะเห็นกังหันลมเยอะมาก เนื่องจากภูมิประเทศเป็นทุ่งหญ้าโล่งมีเพียงเนินเขาเตี้ยๆสลับกัน ว่ากันว่าที่เราเห็นกังหันเต็มไปหมดนั้นเพราะคนจีนในชนบทนิยมใช้พลังงานธรรมชาติจากลมในชีวิตประจำวันนั่นเอง

ยิ่งพวกเราเข้าใกล้มองโกเลียมากเท่าไหร่บรรยากาศเริ่มเปลี่ยนไป จากตึกรามบ้านช่องเยอะแยะในตัวเมืองประเทศจีน กลายเป็นทัศนียภาพที่เป็นทุ่งหญ้าสเต็ปขนาดกว้างใหญ่ ฝูงสัตว์เลี้ยงหลากหลายพันธุ์ ทั้งม้า วัว แพะ แกะ ฯลฯ เพราะคนมองโกเลียส่วนใหญ่ประกอบอาชีพปศุสัตว์ หรือเลี้ยงสัตว์เป็นหลัก

เมื่อขับถึงเมืองอีเรนฮอต (Erenhot) ก็เป็นเวลาใกล้พระอาทิตย์อัสดง ซึ่งที่นี่พระอาทิตย์จะลับขอบฟ้าประมาณเกือบสองทุ่ม  แทบไม่น่าเชื่อว่าหลังจากที่ขับมากว่า 700 กิโลเมตร ระบบคำนวณระยะทางจากน้ำมันที่เหลืออยู่แสดงให้เห็นว่ายังขับต่อได้อีกกว่า 100 กิโลเมตร ในขณะที่ทุกคันใช้ความเร็วค่อนข้างสูง แต่มาสด้า บีที-50 โปร ใหม่ ได้แสดงศักยภาพความแรงและความประหยัดน้ำมันให้เห็นจนเป็นที่ประจักษ์

การเดินทางในวันแรกสิ้นสุดลงแต่ทุกคนแทบไม่รู้สึกเหนื่อยหรือเพลียจากการเดินทางเลย เพราะรถกระบะมาสด้า บีที-50 โปร ใหม่ รุ่นนี้ มีห้องโดยสารที่กว้างขวางและมีพื้นที่ใช้สอยสะดวกสบายให้ความรู้สึกเหมือนนั่งอยู่ในรถเก๋ง  แถมผู้ขับขี่ยังรู้สึกสบายกับเบาะนั่งที่โอบกระชับแบบสปอร์ต สิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ภายในห้องโดยสารช่วยให้ความสะดวกสบายกับคนขับขี่และผู้โดยสารอย่างลงตัว  

วันที่สองของการเดินทางหลังจากอิ่มเอมกับอาหารเช้าแล้ว ทั้งคณะก็ออกเดินทางจากเมืองอีเรนฮอต (Erenhot) ผ่านด่านชายแดนประเทศจีนเข้าสู่ประเทศมองโกเลีย โดยใช้เวลาเพียง 10 นาทีจากโรงแรมที่พักเมื่อคืน ก็ถึงด่านชายแดนตรวจคนเข้าเมืองฝั่งประเทศจีนแล้ว ทั้งรถและคนขับต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ของวันนี้เสียไปกับกระบวนการตรวจคนเข้าเมือง เพราะการทำเรื่องข้ามชายแดนจากประเทศจีนไปประเทศมองโกเลียค่อนข้างยุ่งยาก และใช้เวลานาน ระบบของที่นี่ส่วนใหญ่ยังใช้มือเขียนเอง ทำให้ต้องเสียเวลาในการทำเรื่องผ่านแดนนานกว่า 1 ชั่วโมง แต่พอคนผ่านไปได้ก็ต้องรอรถผ่านการตรวจตามมาด้วย เพราะรถกับคนต้องทำเรื่องผ่านเมืองคนละจุด

หลังจากผ่านพิธีการของประเทศจีนแล้ว ก็ขับรถต่อมาอีกประมาณ 1 กิโลเมตร เพื่อมาทำพิธีผ่านด่านเข้าสู่ประเทศมองโกเลียต่อ ซึ่งรถทุกคันที่จะผ่านด่านเข้าประเทศมองโกเลียนั้น ต้องผ่านการฆ่าเชื้อโรค โดยเวลาขับรถผ่านเข้าด่าน รถจะต้องถูกขับเข้าช่องที่มีละอองน้ำยาฆ่าเชื้อโรคที่พ่นกระจายออกมา ซึ่งตรงนี้ต้องใช้เวลานานมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้พิธีการต่างๆ เกี่ยวกับการนำรถเข้าประเทศมองโกเลียนั้นมีความสลับซับซ้อนและทุกอย่างยังใช้ระบบคนเขียนใบผ่านด่าน โดยทำทีละคัน และคนกับรถก็ต้องแยกกันเพื่อไปทำพิธีการข้ามด่าน ทำให้ยุ่งยากพอสมควร

คนส่วนใหญ่ที่เดินทางผ่านด่านประเทศจีนและประเทศมองโกเลียนั้น จะเป็นคนท้องถิ่นชาวมองโกเลียที่เดินทางข้ามไปทำมาหากินกันที่เมืองอีเรนฮอต (Erenhot) ซึ่งทางการอนุญาตให้เข้าไปพำนักและทำมาหากินได้เฉพาะในเขตเมืองเท่านั้น จึงจะเห็นว่าแต่ละคนหิ้วของพะรุงพะรังเต็มไปหมดเหมือนกับจะย้ายบ้าน ทั้งเสื้อผ้า ที่นอน ตู้เย็น เครื่องซักผ้า ของใช้ต่างๆในครัวเรือน

เมื่อผ่านด่านมาแล้วเราก็แวะกินข้าวและขับกันต่อ ซึ่งก็เริ่มได้กลิ่นไอของการขับบนเส้นทางออฟโรด บนพื้นผิวถนนขรุขระ (TRACK) ตลอดเส้นทาง เป็นสัญญาณว่าผ่านเข้ามาถึงดินแดนประเทศมองโกเลียแล้ว เพราะภูมิประเทศของมองโกเลียส่วนใหญ่เป็นที่ราบสูง ภูเขา และทุ่งหญ้า ซึ่งในช่วงแรกขบวนทั้งหมดต้องวิ่งกันแบบระมัดระวังเพราะยังไม่คุ้นชินกับเส้นทาง เผลอๆ อาจจะหลงทางเอาง่ายๆ เนื่องจากไม่มีร่องรอยของการเดินทางก่อนหน้านี้และยังต้องทำความรู้จักกับรูปแบบการวิ่งที่ไม่มีถนนให้เห็นเป็นเส้นทาง ซึ่งการเดินทางส่วนใหญ่ต้องอาศัยความชำนาญการของไกด์และผู้นำขบวนซึ่งจะใช้สัญญาณดาวเทียม เข็มทิศ และการจดจำแนวเทือกเขาผ่านจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง จากหมู่บ้านหนึ่งไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่งถ่ายทอดกันไปเรื่อยๆ เพียงแค่ลงมาวิ่งในทางออฟโรด (TRACK) สักพักก็เจอกับฝูงอูฐฝูงใหญ่ที่หากินตามธรรมชาติเล่นเอาทั้งคณะตื่นเต้นกันใหญ่ พากันจอดรถลงไปถ่ายรูปกันแบบใกล้ชิด สร้างความประทับใจอย่างไม่รู้ลืม

ก่อนที่จะถึงที่พักในคืนที่สองทั้งคณะก็ได้แวะเติมพลังงานกันที่ Energy Place ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และเคารพนับถือของชาวมองโกเลีย เป็นสถานที่สำหรับนักเดินทางที่จะแวะพักเพื่อเติมพลังงานให้กับชีวิตจากความเหนื่อยล้าที่ต้องเดินทางข้ามทะเลทรายโกบี ซึ่ง Energy Place นั่นถูกค้นพบโดยพระธุดงค์ที่ออกเดินทาง และแวะมานั่งพักผ่อนที่จุดนี้ แต่กลับรู้สึกถึงพลังธรรมชาติทำให้รูสึกสดชื่นหายเหนื่อย ที่แห่งนี้จึงถูกเนรมิตไว้สำหรับนักเดินทางที่ผ่านไปผ่านมาทุกคนก็จะแวะเติมพลัง สภาพโดยทั่วๆ ไปจะเป็นลานหินสีแดงเม็ดเล็กๆ วางเป็นวงกลม เพื่อที่ให้คนทั่วไปนอนรับพลังจากธรรมชาติ เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง ในขณะที่อากาศรอบๆ ร้อนมาก แต่พอนอนลงบนพื้นหินสีแดงอมชมพูนี้กลับรู้สึกเย็นอย่างน่าประหลาด ทั้งคณะเลยนอนกันนานอยู่ 15 นาที เพื่อชาร์จพลังกันเต็มที่

 

 คืนแรกกับบรรยากาศของการนอนกระโจม ค่ำคืนนี้เรานอนนับดาวกันที่ Gobi Sunrise Camp ซึ่งเป็นกระโจมสีขาวเรียงรายอย่างสวยงาย หรือที่คนมองโกเลียเรียกว่า “เกอ”  ตั้งอยู่ใกล้ๆกับชายขอบของทะเลทรายโกบี สถานที่อันยิ่งใหญ่ที่ครั้งหนึ่งเคยเต็มไปด้วยไดโนเสาร์ และสิ่งมีชีวิตนานาชนิด ไม่ว่าจะเป็นหมาป่า อูฐ หรือนกนานาชนิดในเวลากลางคืน อากาศที่นี่จะหนาวมากในเวลากลางคืนและร้อนมากในเวลากลางวัน

การพักกระโจมทำให้เราได้เรียนรู้วิถีชีวิตของคนมองโกเลีย  ที่นี่ไม่ได้มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากนัก ในกระโจมจะมีเตียงนอน มีเตาผิงแบบมองโกเลีย ซึ่งสำคัญมากเพราะในวันที่คณะเราพักอากาศกลางคืนจะหนาวถึง 2-4 องศา ในขณะที่กลางวันแดดร้อนจัดอากาศอยู่ที่ราวๆ 20-25 องศา เรียกว่าสภาพอากาศ ระหว่างกลางวันกับกลางคืนที่นี่ต่างกันแบบสุดขั้วจริงๆ  

ที่ตื่นเต้นอีกอย่างคือตั้งแต่เที่ยงคืนไฟก็ถูกปิดมืด เนื่องจากไฟฟ้ามีจำกัดจะต้องใช้สอยอย่างประหยัด เป็นโอกาสที่ทำให้ผู้มาพักได้สัมผัสบรรยากาศที่เงียบสงบใกล้ชิดธรรมชาติมากขึ้น มองเห็นดาวจำนวนมากลอยอยู่กลางท้องฟ้าและดูเหมือนใกล้กับเรามากๆ  

วันที่ 3 ออกเดินทางผ่านบากา กาซริน จูลู (Baga Gazrin Chuluu) วันนี้ตะลุยต่อบนเส้นทางออฟโรดที่เป็นทางขรุขระ (TRACK) เต็มรูปแบบ ตรงจุดนี้ เมื่อมองไปไกลๆ จะไม่รู้เลยว่าเส้นทางไหนไปทางไหน การเดินทางอาศัยแค่เข็มทิศ  ควบคู่กับประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของผู้นำทาง ซึ่งต้องใช้ความคุ้นเคยล้วนๆ ขนาดมีไกด์ท้องถิ่นนำทางบางครั้งก็ยังหลงทางบ้างเล็กๆ น้อยๆ พอเป็นสีสันของการผจญภัย รวมระยะทาง 400 กิโลเมตร บรรยากาศ 2 ข้างทาง จัดว่าสวยงามไม่แพ้วันก่อนๆ และวันนี้ก็พักค้างแรมที่กระโจมอีกหนึ่งคืนก่อนออกเดินทางในวันต่อไป

วันที่ 4 มุ่งหน้าสู่เมืองคาราโครัม (Kharakhorum) เมืองหลวงเก่าของประเทศมองโกเลีย ระยะทาง 350 กิโลเมตร  เส้นทางนี้ตลอดเส้นเราจะเห็นทุ่งหญ้า ภูเขา ทะเลทรายที่สวยงามมาก สิ่งที่ต้องระมัดระวังมาก สำหรับการขับรถบนเส้นทางนี้คือ หินภูเขา เพราะหากขับทับก้อนหินผิดมุมนิดเดียวยางอาจแตกหรือรั่วซึมได้ ซึ่งคณะเราก็เจอมาแล้ว รวมทั้งทรายที่มีความนุ่มมากๆ ทำให้ล้อติดหล่มทรายเอาง่ายๆเหมือนกัน

สำหรับวันสุดท้าย วันที่ 5 เป้าหมายอยู่ที่เมืองอูลานบาตอร์  เมืองหลวงแห่งใหม่ของประเทศมองโกเลีย ประชากรของประเทศนี้มีอยู่ประมาณ 3 ล้านกว่าคน และอาศัยอยู่ในเมืองหลวงประมาณ 2 ล้านกว่าคน ก่อนออกเดินทางแวะเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ คาราโครัม ซึ่งเป็นแหล่งรวบรวมเรื่องราวของเมืองเก่า วิถีชีวิต ความเป็นอยู่ ชนชาติ เผ่าพันธุ์ ที่ยังหลงเหลืออยู่เป็นอนุสรณ์สถานให้ชนรุ่นหลังได้ศึกษาอดีตชาติมีอายุราว 500 ปี ซึ่งหลงเหลืออยู่เพียงแห่งเดียว เพราะว่าสถานที่แห่งนี้จะเป็นที่เคารพสักการะของชาวมองโกเลีย หลังจากนั้นก็ได้เวลาแห่งการผจญภัยต่อกับเส้นทางที่มุ่งหน้าสู่อูลานบาตอร์ นอกจากนี้เรายังผ่านสถานที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งคือ ทะเลสาบฮุฟสกูล (Hovsgol Lake)  ที่มีความยาวถึง 16 กิโลเมตร กว้าง 35.5 กิโลเมตร และลึกถึง 265 เมตร น้ำในทะเลสาบใสมาก  เพราะมีแม่น้ำไหลผ่านถึง 90 สาย  และยังมีม้าให้เช่าขี่เดินป่า หรือเดินไปตามแนวทะเลสาบอีกด้วย

            เมื่อมาถึงจุดหมายปลายทางอย่างครบสมบูรณ์ทั้งรถทั้งคนขับ  รวมทั้งพบปะสมาชิกผู้สื่อข่าวชุดใหม่ที่จะสลับสับเปลี่ยนกันมานั่งหลังพวงมาลัย ถามว่าทริปนี้ ทุกคนเหนื่อยไหม? ตอบได้คำเดียวเลยว่า “เหนื่อย” แต่บนความเหนื่อยก็มีความสุข ความสนุกสุดเหวี่ยง แบบหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว บางคนยังบอกว่า...แม้จะมีเงินมากแค่ไหนก็อาจไม่มีโอกาสได้มาสัมผัสบรรยากาศแบบนี้

ขณะที่สมรรถนะของรถกระบะมาสด้า บีที-50 โปร ใหม่ ก็ตอบโจทย์ของการเดินทางได้ทุกรูปแบบแม้ว่าจะเป็นรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ ก็สามารถลุยบนทางขรุขระ (TRACK) และทะเลทรายได้อย่างสบาย พร้อมพาสื่อมวลชนทุกคนไปถึงจุดหมายปลายทางได้อย่างสนุกสนานและปลอดภัย  แม้ว่าตลอดเส้นทางต้องเผชิญกับอุปสรรคต่างๆ มากมาย

การตะลุยไปแตะเส้นทางข้ามขอบฟ้า ผ่านทุ่งหญ้า ผ่านทะเลทราย ผ่านภูเขาลูกแล้วลูกเล่า ผ่านอุปสรรคต่างๆมากมาย เรียนรู้การดำเนินชีวิตและวัฒนธรรมของชาวมองโกเลีย รวมทั้งความเข้าใจซึ่งกันและกัน ความเป็นเพื่อน ความมีน้ำใจของคนไทยในทริปนี้ทำให้ทุกคนเดินทางมาถึงอย่างภาคภูมิใจ นับเป็นการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของวงการรถยนต์เมืองไทย  และเป็นบริษัทรถยนต์รายแรกและรายเดียวที่กล้าท้าพิสูจน์ความแกร่งของรถกระบะบนเส้นทางแกร่งกับระยะทางรวมกว่า 20,000 กิโลเมตร แม้ว่าการเดินทางจะสิ้นสุดลงแล้ว แต่สำหรับทริปในประวิติศาสตร์ครั้งนี้จะถูกเล่าขานจากรุ่นสู่รุ่น และจะถูกจารึกไว้ในความทรงจำและความประทับใจตราบนานเท่านาน ตราบใดพระอาทิตย์ยังขึ้นทุกวัน มาสด้าก็จะยังคงมุ่งนั่นสร้างสรรค์ความสุขและความสนุกทุกการขับขี่ลงไปในรถทุกคันที่เราผลิต ซูม-ซูม.

 

------------

ติดตามข่าวสารรถยนต์รวดเร็วก่อนใครได้ที่ AUTODEFT.com

5 เรื่องน่าสนใจ