Test Drive: รีวิว ทดลองขับ All New Suzuki XL7 ครอสโอเวอร์ใหม่ สปอร์ตขึ้นทั้งรูปลักษณ์ และการขับขี่
- โดย : รัฐศิลป์ รัตนกู้เกียรติ
- 7 ก.ค. 63 00:00
- 20,190 อ่าน
เปิดตัวแล้วอย่างเป็นทางการครั้งแรกในประเทศไทย เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2020 ผ่านทางออนไลน์ทั้ง Facebook และ Youtube กับรถใหม่นามว่า All New Suzuki XL7 รถครอสโอเวอร์ใหม่ล่าสุดจากค่ายรถยนต์ซูซูกิ ที่มีกระแสมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่การเปิดตัวในต่างประเทศ จนมีลูกค้าหลายท่านที่กำลังมองหารถประเภทนี้ ต่างถามไปทางซูซูกิบ้านเราว่าจะมีเข้ามาจำหน่ายหรือไม่ ซึ่งในวันนี้ก็ได้เปิดตัวแนะนำแล้วอย่างเป็นทางการ มาพร้
และในวันที่ 3 ก.ค. ที่เพิ่งผ่านมา ทางทีมงาน AUTODEFT ก็ได้พาไปสัมผัสคันจริงของ All New Suzuki XL7 กับรายละเอียดออพชั่น ความโดดเด่นทั้งภายนอกและภายใน ว่ามีอะไรบ้างให้ได้ชมกัน สามารถย้อนเข้าไปดูได้ที่นี่ วีดีโอพาชมคันจริง ภายนอก-ภายใน All New Suzuki XL7 กับราคา 779,000 บาท คลิก https://www.autodeft.com/clipvdo/vdo-interior-exterior-new-suzuki-xl7
ซึ่งในวันนี้ทาง บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จํากัด ก็ได้เชิญทีมงาน AUTODEFT ของเราเข้าร่วมทดสอบรถใหม่ All New Suzuki XL7 บนเส้นทาง กรุงเทพ-เขาใหญ่ ขับไปกลับแบบเช้าเย็นกลับ เพื่อได้สัมผัสฟิลลิ่งในการขับขี่ รวมไปถึงการนั่งโดยสารในตำแหน่งต่างๆ ภายในรถ ตลอดจนการจับอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันในสภาพการขับขี่บนถนนจริง ที่มีทั้งการจราจรติดขัด การทำความเร็วช่วงเดินทาง การเร่งแซง การขับขี่ในเส้นทางที่โค้งไปมา และในสภาวะที่มีฝนตกหนัก ที่ในวันนี้ทีมงานจะได้มาเล่าและแชร์ให้ได้ทราบกัน
ก่อนที่เราจะไปขับทดสอบกัน ขอเล่าในส่วนของรายละเอียดเด่นๆ กับ All New Suzuki XL7 ที่ได้รับการพัฒนาใหม่ว่ามีอะไรบ้าง ซึ่งปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหลายๆ ท่าน มีการเปรียบเทียบกันกับ Suzuki Ertiga ซึ่งอาจดูมีรูปลักษณ์ตัวถังที่คล้ายคลึงกัน มีการใช้แพลตฟอร์ม HEARTECH ร่วมกัน รวมไปถึงเครื่องยนต์และเกียร์ แต่ความแตกต่างนั้นมีไม่น้อยเลยทีเดียว โดยเฉพาะภายนอกรอบคันที่ตกแต่งมาในสไตล์ครอสโอเวอร์มาดลุย ไฟหน้า LED ที่สามารถปรับระดับได้จากสวิทซ์ด้านในรถ พร้อมไฟ Daytime Running Light กันชนหน้าหลังดีไซน์สปอร์ตตัดด้วยสีดำและเงิน เสริมความลุยด้วยซุ้มล้อสีดำ มีราวหลังคาติดตั้งมาให้ รองรับน้ำหนักสูงสุด 50 กิโลกรัม ล้ออัลอลอยลายทูโทน 16 นิ้ว พร้อมยาง 195/60R16 มีความสูงใต้ท้องรถเพิ่มขึ้นเป็น 200 มม. มิติต่างตัวถังเพิ่มขึ้น มีความยาว 4,450 มม. ความกว้าง 1,775 มม. ความสูง 1,710 มม. ฐานล้อ 2,740 มม. รัศมีวงเลี้ยว 5.2 ม. มีน้ำหนักรถ 1,175 กก. และความจุถังน้ำมัน 45 ลิตร
ภายในตัวรถ All New Suzuki XL7 ได้รับการตกแต่งใหม่ ด้วยลาย Carbon Fiber พร้อมคิ้วเดินบริเวณขอบสีเงินที่แดชบอร์ด และแผงประตูข้างรถ พวงมาลัย 3 ก้าน ตกแต่งด้วยสีเงินสไตล์สปอร์ต รวมไปถึงคอนโซลเกียร์ ทั้งหมดทำให้ภาพรวมภายในห้องโดยสารดูสปอร์ตเท่ไม่เบา ตัวเบาะที่นั่งเองหุ้มด้วยผ้ากำมะหยี่และหนังสังเคราะห์ที่บริเวณขอบด้านข้างของเบาะและส่วนของหมอนรองศีรษะ เบาะสามารถปรับพับได้หลากหลายรูปแบบ มีช่องไฟสำรองทั้ง 3 แถว จอกลางขนาดใหญ่ 10.1 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth รองรับระบบ Apple Carplay และ Android Auto มีระบบปรับแต่งเสียงและประมวลผลในแบบดิจิทัล (Digital Sound Processor) ช่องเชื่อมต่อ USB และ HDMI ลำโพง 4 จุด พร้อมทวิตเตอร์คู่หน้า 2 จุด ซึ่งจากการที่ได้ลองเปิดเพลง เปิดดูคอนเสิร์ตผ่าน Youtube เปิดไฟล์ทดสอบเสียงรอบทิศทางแล้ว ยอมรับเลยว่าให้เสียงที่ดีมากเลยทีเดียว
หน้าปัดเรือนไมล์แบบใหม่ พร้อมจอกลางสีที่แสดงผลการขับขี่ต่างๆ ในสไตล์เดียวกันกับ Swift Sport มีทั้ง Driving G-Force อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง ระดับแรงม้าแรงบิด การเหยียบเบรกและคันเร่ง นาฬิกาแบบเข็มพร้อมวันที่ สถานะของประตู เป็นต้น ระบบปรับอากาศอัตโนมัติและระบบปรับอากาศด้านหลัง และช่องวางแก้วคู่หน้ายังสามารถเป่าลมเย็นได้ มาพร้อมกุญแจแบบ Keyless มีปุ่มสตาร์ท และระบบ Keyless Entry ที่สามารถตั้งค่าให้การปลดล็อคเพียงประตูคนขับบานเดียวจากการกดปลดล็อค หรือปลดล็อคทั้งหมดจากการกดปลดล็อคในครั้งเดียว
All New Suzuki XL7 มากับแพลตฟอร์ม HEARTECH ที่ลดจุดเชื่อมต่อเพิ่มความแข็งแรงที่มีมาตั้งแต่ใน Ertiga รวมไปถึงโครงสร้างนิรภัย TECT ซึ่งใน Suzuki XL7 มีการเพิ่มส่วนของฉนวนกันความร้อนกระโปรงหน้า ฉนวนกันความร้อนคอนโซลด้านใน ทั้งหมดเพื่อลดเสียงจากเครื่องยนต์ มีการเพิ่มการเชื่อมจุดที่หน้าแชสซีลดอาการสั่นสะเทือนของเครื่องยนต์ เพิ่มขนาดซีลเบ้ารูแกนพวงมาลัย มีการซีลประตูคู่ลดเสียงลมและเสียงเครื่องยนต์ที่เข้ามาในห้องโดยสาร
นอกจากนี้ในเรื่องของหลักอากาศพลศาสตร์ และลดแรงเสียดทานของ Suzuki XL7 ใหม่ ได้ติดตั้งแผ่นดักลมด้านหน้าและหลัง แผ่นใต้บริเวณเครื่องยนต์ด้านซ้ายและขวา รวมไปถึงแผ่นใต้หม้อน้ำอีกด้วย ส่วนของช่วงล่างมีการปรับเซ็ตใหม่ทั้งโช๊คอัพและสปริงหน้าหลัง เหล็กกันโครงหน้าที่มีความหนาขึ้น 1 มม. ระบบพวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า EPS ใหม่ มอเตอร์และกล่องควบคุมพวงมาลัยไฟฟ้าใหม่ ระบบไฟฟ้าของรถต่างๆ ใหม่ รวมไปถึงการปรับตั้งมุมล้อใหม่
ส่วนของขุมกำลังยังคุ้นเคยกันดีกับเครื่องยนต์เบนซิน K15B ขนาด 1.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 105 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 138 นิวตันเมตร ที่ 4,400 รอบต่อนาที พร้อมเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด แต่มีการปรับอัตราเฟืองท้ายใหม่ ต่างจาก Ertiga และยังมีกล่องควบคุมเครื่องยนต์ ECM ใหม่อีกด้วย
จากข้อมูลนี้ทำให้ทราบได้ว่า Suzuki XL7 ไม่ใช่เพียงการนำเอา Ertiga มายกสูงแต่เพียงเท่านั้น แต่รถใหม่ Suzuki XL7 นั้น ได้รับการพัฒนาขึ้นมาใหม่ มีการปรับเซ็ตจุดต่างๆ ของรถใหม่หมด ภายนอกตัวรถแม้ดูคล้ายคลึงกันแต่ชิ้นส่วนต่างๆ มีดีไซน์ไม่เหมือนกัน รวมไปถึงเสา A และเสา B ของตัวรถ หากเทียบกันแบบชัดๆ
ได้เวลาพร้อมล้อหมุนเริ่มต้นการขับทดสอบ All New Suzuki XL7 ครอสโอเวอร์ใหม่ ก้าวแรกในการเข้าไปในห้องโดยสาร ตัวประตูให้ความรู้สึกในการเปิดปิดที่แน่นใช้ได้ สัมผัสของพวงมาลัยหุ้มหนัง และการตกแต่งด้วยคาร์บอนให้ความรู้สึกที่ดูวัยรุ่นขึ้น ตัวเบาะที่นั่งผู้ขับสามารถปรับสูงต่ำได้ ทัศนวิสัยต่างๆ ชัดเจน ตำแหน่งที่นั่งสูงทำให้ท่าทางของการนั่งขับค่อนข้างที่จะสบาย เน้นให้สามารถมองภายนอกรถได้ชัดเจน การขับขี่ช่วงในเมืองที่การจราจรค่อนข้างหนาแน่น พวงมาลัยมีน้ำหนักเบาแรกการขับสามารถควบคุมได้ง่าย อัตราเร่งการขับขี่ในเมืองค่อนข้างคล่องตัวไม่ได้รู้สึกว่าตัวรถอืด ซึ่งในการทดสอบวันนี้รถคันที่ทีมงานขับทดสอบมีการนั่งโดยสารไปทั้งหมด 4 ท่าน รวมสัมภาระท้ายอีกเล็กน้อย ก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวรถอืดแต่อย่างใด สามารถขับขี่ใช้งานทั่วๆ ไป ได้แบบสบายๆ หากแต่เมื่อต้องการพละกำลังการเติมคันเร่งลึกลงไปก็พอจะมีเสียงเครื่องยนต์คำรามดังเข้ามาให้ได้ยินอยู่บ้าง อาจจะเร่งไม่ได้ติดเท้าทันใจ แต่ก็สามารถตอบสนองไต่ความเร็วขึ้นไปได้อย่างเพียงพอ
ส่วนของช่วงล่างเองนั้นให้การตอบสนองไปทางสปอร์ตมากขึ้น จะไม่ได้ให้ฟิลลิ่งในแบบนุ่มนวลจ๋าๆ ช่วงล่างของรถจะค่อนข้างมาทางหนึบนุ่ม และยังพอมีอาการสะเทือนจากพื้นถนนให้พอได้รู้สึกแต่ไม่ถึงกับกระด้างจนรู้สึกว่านั่งไม่สบาย อาการในการจั้มคอสะพานของรถที่มีความสูงแบบนี้ก็ถือว่าทำได้ดี ไม่เด้งย้วยจนทำให้รู้สึกไม่มั่นใจ
และในช่วงของการขับขี่ทางไกลที่มีการใช้ความเร็วในระดับ 120 กม./ชม. การไต่ระดับขึ้นไปจากตั้งแต่ช่วง 50-60 กม./ชม. ทำได้แบบสบายๆ หากคุณไม่ได้รีบร้อนหรือเท้าหนักชอบอัตราเร่งแบบโหดๆ แล้ว All New Suzuki XL7 สามารถที่จะตอบสนองการขับขี่ได้มั่นใจ เครื่องยนต์และเกียร์ให้พละกำลังที่เหลือเฟือ และยังสามารถเร่งความเร็วทะลุเกิน 120 กม./ชม. ได้ต่อเนื่อง แม้จะไม่ได้ดึงแบบหลังติดเบาะ แต่ก็เพียงพอให้คุณเร่งแซงได้ การเก็บเสียงในห้องโดยสารในช่วงความเร็วเดินทางออกต่างจังหวัดทำได้ดี เสียงลมแทบไม่มีให้ได้ยิน จะมีก็แต่เสียงเครื่องยนต์เมื่อจังหวะที่คุณกดคันเร่ง และเสียงยางที่ดังเข้ามาบ้างจากแต่ละช่วงถนน ส่วนของระบบเบรกที่เป็นแบบดิสก์หน้าหลังดรัมเบรก จะไม่ได้ถึงกับดูดติดเท้าเวลาเหยียบเบรก แต่พอที่จะให้ความรู้สึกในการเบรกได้แบบไม่หัวทิ่ม ทั้งในช่วงการชะลอความเร็ว หรือต้องการเบรกเพื่อหยุดรถสนิทที่ต้องเหยียบแป้นเบรกให้ลึกมากขึ้น
การเก็บเสียงจากด้านหน้ารถเข้ามาในห้องโดยสารนั้นค่อนข้างดีมาก ฟิลลิ่งของพวงมาลัยในช่วงความเร็วเดินทางมีระยะฟรีเล็กน้อยให้รู้สึกไม่ล้าจากการต้องคอยประคองพวงมาลัยในช่วงทางตรงยาวๆ และน้ำหนักเบาขับง่าย สามารถควบคุมผ่านโค้งได้เป็นธรรมชาติ กะระยะในการหักเลี้ยวพวงมาลัยได้แม่นยำ
ซึ่งการขับขี่หากอยู่บนถนนลาดยางที่ไม่มีรอยต่อ ความรู้สึกที่ได้นั่งสบายมากทีเดียว หากแต่เป็นช่วงของถนนคอนกรีตที่มีรอยต่อเป็นช่วงๆ และเมื่อขับด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้น ช่วงรอยต่อก็จะถี่มากขึ้น ความรู้สึกจากช่วงล่างที่ส่งแรงสะเทือนขึ้นมาพอให้ได้รู้สึกที่ปลายเท้า แต่ไม่รู้สึกมาถึงตัวเบาะที่นั่งจนรู้สึกกระด้าง ที่ความเร็ว 100 กม./ชม. รอบเครื่องยนต์อยู่ที่ 2,500 รอบ/นาที และที่ความเร็ว 120 กม./ชม. รอบเครื่องยนต์อยู่ที่ 3,000 รอบ/นาที
อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยช่วงการขับขี่ในเมืองและนอกเมืองที่มีการใช้ความเร็วและเร่งแซง อยู่ที่ประมาณ 14.2 กม./ลิตร แต่เมื่อเฉลี่ยกับช่วงขากลับเข้าไปด้วยแล้ว ที่ฝนค่อนข้างเทหนักลงมา ทำให้ไม่สามารถใช้ความเร็วได้มากนัก และยังต้องเจอกับสภาพการจราจรที่ติดขัดหลายช่วง ที่ถึงขั้นหยุดนิ่งสลับเคลื่อนตัว อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยทำได้ 15.8 กม./ลิตร นับได้ว่าสามารถทำตัวเลขได้ดีไม่น้อย ซึ่งเมื่อครั้งที่ทีมงานได้ขับทดสอบ Ertiga เมื่อปีที่แล้ว จากการวิ่งในทริปทดสอบตัวเลขอยู่ที่ 12.3 กม./ลิตร ทั้งหมดเป็นตัวเลขจากที่ตัวรถคำนวณออกมา ซึ่งอาจจะไม่สามารถเทียบกันได้โดยตรงในตอนนี้ เนื่องจากการขับขี่และสภาพเส้นทางที่แตกต่างกัน แต่จากข้อมูลอย่าง Eco Sticker เอง ด้านของ XL7 ก็สามารถทำตัวเลขเฉลี่ยนอกเมืองในเมืองได้ดีกว่า
และในช่วงขากลับทีมงานได้เปลี่ยนมาเป็นผู้โดยสารกันดูบ้าง มีการนั่งทั้งที่ตอนหน้าและเบาะแถวสอง ความแตกต่างชัดเจนที่รู้สึกได้เลยก็คือในเบาะตอนสองตำแหน่งที่นั่งให้ความรู้สึกที่ค่อนข้างจะสูงกว่าที่นั่งตอนหน้า ตัวเบาะแถว 2 เอง สามารถปรับเลื่อนหน้าหลังได้ รวมไปถึงการปรับเอนตัวพนักพิง แต่จะไม่มีที่เท้าแขนกลางมาให้ การนั่งในแถวที่สองตัวกระจกข้างที่ค่อนข้างกว้างให้ความรู้สึกที่โปร่ง ตัวเบาะนุ่มแน่นระดับกลาง การนั่งโดยสารสำหรับคนตัวสูง 178 ซม. พื้นที่เหนือศีรษะก็ยังมีแบบเหลือๆ แอร์ตอนหลังให้ความเย็นแบบฉ่ำๆ ซึ่งต้องบอกเลยว่าแม้ในรถทดสอบจะไม่ได้ติดฟิล์มกันความร้อนมาให้ แต่ในช่วงที่มีแดดจัด ระบบปรับอากาศของ All New Suzuki XL7 ก็ได้ให้ความเย็นแบบฉ่ำๆ เลยทีเดียว
เมื่อลองขยับมาที่เบาะด้านหน้าการนั่งโดยสารค่อนข้างสบายกว่าในเบาะแถวสอง ตัวเบาะสามารถรับสรีระได้ดี ด้านข้างแผงประตูมีช่องวางโทรศัพท์ที่ออกแบบมาให้สามารถวางได้ในแนวนอนแบบพอดี เป็นอีกจุดที่ส่วนตัวแล้วชอบมากๆ ตัวเบาะฝั่งผู้โดยสารเองจะไม่สามารถปรับระดับขึ้นลงได้ แต่นั้นก็ไม่ได้เป็นปัญหาแต่อย่างใด ตัวที่เท้าแขนกลางตอนหน้าที่เลื่อนสไลด์ได้เหมาะสำหรับผู้ขับขี่คนเดียวมากกว่า เนื่องจากมีขนาดที่ไม่ได้ใหญ่นัก และในจังหวะขากลับนี้เองที่มีฝนตกเทลงมาอย่างหนัก เสียงจากฝนที่กระทบกับหลังคาและดังเข้ามาในห้องโดยสารนั้นดีมากทีเดียว ไม่ได้รู้สึกว่าหลังคาบางหรือมีเสียงดังก๊อกแก๊กในขณะที่ขับขี่ตอนฝนตก
และในด้านของระบบความปลอดภัย All New Suzuki XL7 ก็มีทั้งระบบถุงลมนิรภัย SRS คู่หน้า เบรกหน้ามากับดิสก์เบรก ด้านหลังเป็นดรัมเบรก พร้อมระบบเบรก ABS ระบบ EBD ช่วยกระจายแรงเบรก ระบบ ESP ที่ช่วยควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (HDC) และมีจุดยึดเบาะนั่งนิรภัย ISOFIX และ Top tether สำหรับเด็กพร้อมด้วยกล้องมองภาพขณะถอยหลังและเซ็นเซอร์กะระยะ
ทั้งหมดนี้กับการขับทดสอบครั้งแรกกับ All New Suzuki XL7 แม้จะเป็นช่วงเวลาที่ไม่นานนัก และสภาพการจราจรที่รถค่อนข้างหนาแน่นในวันนี้ รวมไปถึงฝนที่ตกเทหนักลงมาในหลายๆ ช่วงของการขับขี่ แต่ก็พอให้ทีมงานได้สัมผัสครอสโอเวอร์ใหม่นี้กันไม่น้อย ที่ไม่ได้มีเพียงรูปลักษณ์ที่โดดเด่นหล่อเท่ ยังให้สมรรถนะการขับขี่ที่สปอร์ตมากขึ้น มีบุคลิกฟิลลิ่งการขับขี่ที่แตกต่างจาก Ertiga ที่หลายท่านนำมาเปรียบเทียบกัน เป็นรถยนต์อีกหนึ่งรุ่นที่อยากให้ทุกคนได้ลองขับกันด้วยตัวเอง ก่อนที่จะเชื่อว่ารถรุ่นนี้เป็นอย่างไร…
สิ่งที่ชอบ
- รูปลักษณ์ที่ดูสปอร์ตมาดลุย แต่งครบจากโรงงาน
- ภาพรวมในเรื่องของสมรรถนะการขับขี่ ในรถระดับนี้กับราคาที่คุ้มค่า
- จอกลางขนาดใหญ่ 10.1 นิ้ว ที่รองรับการเชื่อมต่อหลากหลายครบครัน รวมไปถึง Android Auto
- อัตราการบริโภคน้ำมันเฉลี่ยในเมืองและนอกเมือง
- การเก็บเสียงในห้องโดยสาร
- การตกแต่งภายในด้วยลายคาร์บอน
- ช่องวางโทรศัพท์ที่บริเวณแผงประตูข้าง
- ระบบปรับอากาศที่เย็นฉ่ำทั่วทั้งห้องโดยสาร
สิ่งที่ไม่ชอบ
- อยากให้มีที่เท้าแขนกลางในเบาะแถวที่สอง
- หากได้รับการอัพเกรดยางที่มีสเปคสูงขึ้น น่าจะทำให้การขับขี่นุ่มนวลมากขึ้น และเสียงจากยางที่ดังเข้ามาลดน้อยลง
ติดตามข่าวสารยานยนต์ รวดเร็วก่อนใคร ได้ที่ Autodeft.com