ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า Hyundai และ Kia ในสหรัฐฯ ร่วงหนัก หลังสิทธิ์ลดภาษี 7,500 ดอลลาร์ถูกยกเลิกทันที

ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในสหรัฐอเมริกากำลังเผชิญแรงกระแทกครั้งใหญ่ หลังจากรัฐบาลยกเลิกสิทธิ์ เครดิตภาษีมูลค่า 7,500 ดอลลาร์สหรัฐ สำหรับผู้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ส่งผลให้ยอดขายของผู้ผลิตรายสำคัญอย่าง Hyundai และ Kia ดิ่งลงอย่างรวดเร็วในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา

Hyundai รายงานยอดขายรวมเดือนตุลาคมอยู่ที่ 70,118 คัน ลดลง 2% จาก 71,802 คันในช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้ยอดขายรวมตั้งแต่ต้นปีจะยังเพิ่มขึ้น 10% เป็น 748,467 คัน แต่เมื่อแยกเฉพาะกลุ่มรถไฟฟ้าแล้ว ตัวเลขกลับน่าตกใจอย่างมาก

รุ่นยอดนิยมอย่าง Ioniq 5 มียอดขายลดลงถึง 62% เหลือเพียง 1,642 คัน จาก 4,498 คันในเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ขณะที่ Ioniq 6 ลดลง 52% จาก 837 เหลือเพียง 398 คัน ส่วนรุ่นใหม่อย่าง Ioniq 9 ที่เพิ่งเปิดตัว มียอดขายสะสมตลอดปีเพียง 4,494 คัน และขายได้แค่ 317 คันในเดือนล่าสุด

รถรุ่นอื่น ๆ ของ Hyundai ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ทั้ง Kona (-13%), Santa Cruz (-29%), Sonata (-32%), และ Elantra (-16%) โดยมีเพียงรุ่นอย่าง Palisade (+6%), Santa Fe (+22%), Tucson (+16%), และ Venue (+49%) ที่ช่วยพยุงยอดขายรวมของแบรนด์ไว้ได้

ด้าน Kia แม้จะมียอดขายรวมเติบโตจากปีที่แล้ว โดยขายได้ 705,150 คัน เพิ่มจาก 653,078 คันในช่วงเดียวกันของปี 2024 และยอดขายเดือนตุลาคมเพิ่มเล็กน้อยจาก 68,908 เป็น 69,002 คัน แต่ในส่วนของรถไฟฟ้ากลับลดลงอย่างหนักไม่ต่างกัน

Kia EV9 รุ่น SUV ไฟฟ้าขนาดใหญ่ ขายได้เพียง 666 คันในเดือนตุลาคม เทียบกับ 1,941 คันในปีก่อนหน้า ยอดขายรวมทั้งปีลดจาก 17,911 เหลือ 13,114 คัน ขณะที่ EV6 ซึ่งเคยเป็นรุ่นหลักของ Kia ในตลาด EV ก็ร่วงจาก 1,732 คัน เหลือเพียง 508 คันในเดือนเดียวกัน โดยยอดขายรวมสิบเดือนแรกของปีลดลงจาก 17,717 เหลือ 11,585 คัน

แม้ Kia ยังจำหน่าย Niro EV ในสหรัฐฯ แต่บริษัทรวมยอดขายไว้กับรุ่นเครื่องยนต์และไฮบริด ทำให้ไม่สามารถระบุยอดขายแยกเฉพาะได้ อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ตลาดที่เปลี่ยนไปทำให้ Kia ต้องเลื่อนการเปิดตัว EV4 ในสหรัฐฯ ออกไปโดยไม่มีกำหนด

สถานการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึง ผลกระทบโดยตรงจากนโยบายด้านภาษีของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่เปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน ซึ่งอาจทำให้ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าต่างชาติ โดยเฉพาะแบรนด์เกาหลี ต้องเร่งปรับกลยุทธ์ทั้งด้านราคา การผลิตในประเทศ และการพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อให้สามารถกลับมาแข่งขันในตลาด EV ที่เข้มข้นขึ้นได้อีกครั้ง

ที่มา Carscoops