แผนการลุยตลาดของค่าย Audi กับการบาลานซ์ระหว่างผลิตภัณฑ์รถ EV และ non-Evs รวมถึงการออกรถรุ่นใหม่ต่างๆ

  • โดย : PR Autodeft
  • 2 ก.ค. 65
  • 3,465 อ่าน

ในแผนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯที่ออกมา จะมีการผลิตรถรุ่นใหม่และรถในเจเนอเรชั่นถัดไปที่สร้างจากการออกแบบด้วยสถาปัตยกรรมแนวใหม่ ที่จะออกมาเป็นแบบเฉพาะตัว และหนึ่งในนั้นจะเป็นรถไฟฟ้า EV

ค่ายรถชื่อดังจากเมืองเบียร์อย่าง Audi กำลังลงทุนในการผลิตรถยนต์รุ่นใหม่ทั้งแบบที่ใช้ไฟฟ้า และแบบดั้งเดิมที่ใช้ระบบเครื่องยนต์สันดาปภายใน เฉกเช่นเดียวกับแนวทางการผลิตรถยนต์ทั้งหมดของบริษัทที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมนี้ และการผลิตรถยนต์ในกลุ่มของ Volkswagen Group ซึ่งทาง Audi ก็กำลังวางแผนสำหรับแนวทางในอนาคตของพวกเขา ที่สุดท้ายแล้วก็ต้องมุ่งไปที่การผลิตรถไฟฟ้า EV แต่เพียงเท่านั้น แต่ในระหว่างห้วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้ บริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่แห่งนี้ก็กำลังจัดสรรทรัพยากรให้มีจำนวนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อทุ่มเทลงไปให้กับรถยนต์ในเจเนอเรชั่นถัดไปที่จะถูกผลิตขึ้นบนแพลตฟอร์มใหม่ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ ซึ่งจะมาพร้อมกับระบบส่งกำลังที่ได้รับการอัพเกรด และจะมุ่งเน้นไปที่ระบบเครื่องยนต์แบบสันดาปภายใน

 

โดยทาง Audi เคยกล่าวไว้ในอดีตว่า ภายในปี 2025 กลุ่มไลน์อัพของผลิตภัณฑ์ที่จะออกขายในสหรัฐฯ กว่า 30 เปอร์เซ็นต์จะเป็นยานยนต์แบบที่ใช้ไฟฟ้า ซึ่งรวมถึงรถยนต์ที่ใช้ระบบ BEV ด้วย แต่อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทฯก็ยังคงมีรถยนต์ในแบบ Plug-in Hybrids ที่ติดตั้งเครื่องยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยแก๊สออกจำหน่ายควบคู่กันไปเช่นกัน

 

เมื่อเราต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องราวที่ได้กล่าวมา เราจึงได้เดินทางไปที่เมือง Ingolstadt ซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ของบริษัทฯ เพื่อที่จะได้เห็นภาพรวมในแนวทางเชิงกลยุทธ์ของทางแบรนด์ Audi ได้ดียิ่งขึ้น และนอกจากนี้เรายังจะแอบไปดูรถรุ่นต่างๆในอนาคตของทางแบรนด์อีกด้วย โดยทางสมาชิกคณะกรรมการบอร์ดได้กล่าวกับเราว่า แนวทางการดำเนินงานของ Audi ทั่วโลกนั้น จะมีการออกผลิตภัณฑ์รถยนต์ไฟฟ้ากว่า 20 รุ่น เริ่มตั้งแต่ปี 2023 ถึง 2027 โดยเป็นการเพิ่มขึ้นจากที่มีอยู่แล้ว 8 รุ่นในตอนนี้ ซึ่งจะรวมถึงการออกรถรุ่นใหม่และการพัฒนารถรุ่นที่มีอยู่ในปัจจุบันให้เปลี่ยนเป็นระบบไฟฟ้า ซึ่งดูแล้วมันก็น่าจะเป็นเรื่องที่สนุกเสียจริงๆ Oliver Hoffmann สมาชิกของคณะกรรมการการจัดการเพื่อการพัฒนาด้านเทคนิคของค่าย Audi กล่าว โดยเราจะไม่มีการเปิดตัวรถโมเดลที่ติดตั้งเครื่องยนต์สันดาปภายในรุ่นใหม่ภายหลังจากปี 2026 อีกต่อไป ซึ่งคุณจะได้เห็นแต่รถยนต์ที่เป็นรุ่นใหม่ล่าสุดแบบ All-New ที่ใช้ระบบแบตเตอรี่ไฟฟ้าจากทางค่าย Audi ของเราเท่านั้น และทาง Audi เราจะผลิตและออกขายเฉพาะรถไฟฟ้า EV เพียงเท่านั้นในทุกส่วนของโลก ยกเว้นประเทศจีน นับตั้งแต่ปี 2033 เป็นต้นไป 

ว่าด้วยผลิตภัณฑ์กลุ่มใหญ่ที่ไม่ใช่รถ EV

ในขณะที่ผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นๆได้เปลี่ยนเส้นทางการใช้ทรัพยากรจำนวนมากของพวกเขาไปยังการผลิตรถไฟฟ้า EV และปล่อยให้รถรุ่นที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในตายไปตามกาลเวลา แต่ทางค่าย Audi นั้น ยังคงให้ความสำคัญกับผู้ซื้อส่วนใหญ่ที่ยังไม่พร้อมที่จะใช้รถยนต์ที่เป็นระบบไฟฟ้า EV เต็มรูปแบบ

 

แม้ในตอนนี้เรายังไม่สามารถให้รายละเอียดทั้งหมดเกี่ยวกับรถยนต์รุ่นใหม่ได้ในทันที แต่เราก็สามารถบอกคุณได้ว่า ทาง Audi มีความมุ่งมั่นอย่างเท่าเทียมกันในการพัฒนาผลิตภัณฑ์รถยนต์ทั้งสองแบบ คือ ทั้งรถที่ใช้ระบบไฟฟ้า EV และรถที่ใช้เครื่องยนต์แบบสันดาปภายใน โดยโมเดลในอนาคตของทางค่ายจะมีการแบ่งออกระหว่าง 2 แพลตฟอร์มใหม่ที่เป็นแบบเฉพาะตัว เพื่อรองรับต่อระบบส่งกำลังที่แตกต่างกัน และใช้ประโยชน์จากรูปแบบและตัวเลือกแพ็คเกจที่แตกต่างกันในแต่ละชนิด Marc Lichte หัวหน้าฝ่ายออกแบบของ Audi ได้กล่าวว่า การแยกแพลตฟอร์มทั้ง 2 ออกจากกัน จะเป็นการสร้างโอกาสและแน่นอนว่าเราจะไม่ผูกมัดอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง

รถยนต์รุ่นต่างๆที่ติดตั้งเครื่องยนต์ Gas-Engine ของ Audi จะได้รับแพลตฟอร์มแบบใหม่

เราจะยังมีการออกรถที่เป็นทายาทในรุ่นต่างๆที่มีอยู่มากมายในกลุ่มผลิตภัณฑ์ของเรา แต่รถรุ่นใหม่เหล่านี้จะมีการเปลี่ยนไปใช้สถาปัตยกรรมการออกแบบรุ่นใหม่ ที่รู้จักกันในชื่อ PPC (Premium Platform Combustion) ซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อรองรับสำหรับเครื่องยนต์สันดาปภายในและเครื่องยนต์แบบผสมต่างๆ รวมทั้งเครื่องยนต์แบบ Mild Hybrids, Plug-in Hybrids และเครื่องยนต์ที่มีสมรรถนะที่ต่างออกไป นั่นหมายความว่า รถรุ่นต่อๆไปของแบรนด์จากนี้ จะมีการเปลี่ยนจากสถาปัตยกรรมการออกแบบสไตล์ MLB ของ VW Group ไปยังแบบ PPC ตัวใหม่

 

และเพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดการของการปล่อยมลพิษทั่วโลก ทำให้สุดท้ายการออกแบบสถาปัตยกรรมสไตล์ PPC จะถูกใช้กับเครื่องยนต์สันดาปแบบใหม่ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยทางวิศวกรจะเก็บบล็อกเดิมของมันเอาไว้และทำการอัปเกรดจากมัน

 

แล้วรถคันไหนหล่ะ.. ที่จะเปิดตัวในการใช้ PPC ก่อนเป็นรุ่นแรก? โดยรถ Audi A8 รุ่นที่เป็นเจเนอเรชั่นที่ 4 ซึ่งออกมาในปี 2022 ก็เพิ่งจะได้รับการอัพเกรดช่วงกลางไป และรถ Audi A6 และ A7 รุ่นปี 2022 ก็ยังค่อนข้างจะใหม่อยู่ โดยอาจจะต้องเป็นรุ่นที่ย้อนหลังไปถึงปี 2019 ดังนั้น เราพนันได้เลยว่าน่าจะเป็นรถรุ่น A4 ซีดาน ซึ่งมีความหรูหราและมีขนาดกะทัดรัด หรือไม่ก็รถรุ่นที่ดูมีความสปอร์ตกว่าอย่างรุ่น A5 ซึ่งเป็นรุ่นที่เก่าแก่ที่สุดในโมเดลหลักของทาง Audi ซึ่งเปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2017

ชะตากรรมของรถรุ่น Audi R8, TT และศักยภาพของรถ SUV ขนาดใหญ่อย่างรุ่น Q9

Hoffmann ได้กล่าวว่า สถาปัตยกรรมการออกแบบสไตล์ PPC นั้น สามารถปรับขนาดได้และสามารถประยุกต์ให้เข้ากับรถ SUV ที่มีขนาดใหญ่ได้ แต่เขาจะไม่พูดถึงรถ SUV รุ่น Audi Q9 ที่มีข่าวลือว่ากำลังอยู่ในกระบวนการผลิตอยู่

 

และยังได้มีการกล่าวถึงรถที่ใช้ระบบเครื่องยนต์สันดาปภายในที่จะไม่มีการออกรุ่นใหม่อีกแล้ว ซึ่งได้แก่รถ Audi ขนาดเล็ก รุ่น  A1 และ Q2 ซึ่งนำออกขายในตลาดยุโรป ซึ่งทั้ง 2 รุ่นนี้จะถูกยกเลิกการทำตลาดไปเลย นอกจากนี้รถ Audi รุ่น R8 แบบ 2 ที่นั่ง และ Audi TT ก็คงมาถึงช่วงสุดท้ายของการออกสู่ตลาดด้วยเช่นกัน แต่ทาง Hoffmann ยังไม่ได้เปิดเผยว่าจะการยกเลิกนั้นจะอยู่ในช่วงเวลาใด โดยเขาบอกว่าทางบริษัทฯยังไม่ได้ทำการตัดสินใจในเรื่องนี้ทั้งหมด และทาง Audi ก็มีแผนการและแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์แบบ Entry-Level รุ่นอื่นๆ ที่กำลังดำเนินการเพื่อเติมเต็มในสายการตลาดอยู่อีก และนั่นคือรถที่เราคิดว่าน่าจะเป็นระบบไฟฟ้า EV

สถาปัตยกรรมการออกแบบเฉพาะในระบบรถไฟฟ้า EV ของแบรนด์ Audi และเหล่าบรรดารถไฟฟ้า 100% ตระกูล E-Tron ที่จะเพิ่มเข้ามา

ในอนาคตรถไฟฟ้า 100% ตระกูล E-tron ของทางค่าย Audi จะออกมาพร้อมกับการใช้สถาปัตยกรรมการออกแบบสไตล์ PPE (Premium Platform Electric) ที่ทางบริษัทฯได้พัฒนาร่วมกันกับทางค่าย Porsche และ Bentley และนั่นก็หมายความว่าจะไม่มีรถไฟฟ้า EVs รุ่นใดๆของทาง Audi ที่จะใช้แพลตฟอร์ม MEB ของทาง VW Group ซึ่งใช้รองรับรถยนต์ไฟฟ้าในตระกูล VW ID อีกต่อไป

 

ซึ่งเราก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้เห็นในรถในตระกูล E-Trons คันแรก ที่ใช้สถาปัตยกรรมการออกแบบสไตล์ PPE จนกว่าจะถึงฤดูใบไม้ร่วงในปี 2023 ซึ่งรถจะถูกนำออกสู่ตลาดในทวีปยุโรปในปีนั้น และจะไปสู่ตลาดอเมริกาเหนือในช่วงปี 2024 โดยรถในตระกูล E-Trons รุ่นที่มีอยู่ ณ ปัจจุบัน (E-Tron SUV, Sportback, GT fastback และ Q4 E-Tron และ Q4 E-Tron Sportback ที่กำลังจะถูกปล่อยออกมาในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า) ต่างก็จะไม่ได้ใช้สถาปัตยกรรมการออกแบบสไตล์ PPE

 

เราคาดการณ์กันว่ารถรุ่นแรกที่จะได้ใช้การออกแบบสไตล์ PPE นั้น จะได้แก่รถรุ่น Q6 และ A6 E-Trons ซึ่งก่อนหน้านี้ทาง Audi ได้กล่าวไว้ว่า รถรุ่น A6 จะมีทั้งรุ่นที่ใช้ทั้งแก๊สและไฟฟ้า และทางบริษัทฯก็ได้จัดแสดงรถคอนเซ็ปต์รุ่น A6 E-Tron ที่งานแสดงรถยนต์เซี่ยงไฮ้ไปเมื่อปี 2021 ซึ่งในตอนนั้นบริษัทฯได้บอกว่ารถพร้อมสำหรับเข้าสู่กระบวนการผลิตแล้วกว่า 95 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งรถจะมาพร้อมหลังคาแบบ fastback ที่ดูเหมือนกับรถรุ่น A7 มากกว่า A6 นอกจากนี้ยังมีภาพหลุดออกมาให้เห็น ซึ่งมีทั้งสไตล์ซีดานและ SUV อีกด้วย

 

และหากคุณชอบรถคอนเซ็ปต์รุ่นนี้ คุณก็ไม่น่าจะผิดหวังเมื่อรถรุ่นนี้ได้ถูกผลิตออกมา ซึ่งเราก็จะรีบลงรายละเอียดทั้งหมดเมื่อทาง Audi ได้เผยแพร่ข้อมูลออกมา และเพื่อรักษา DNA ของความเป็น Audi เอาไว้ เราจึงคาดหวังอย่างมากว่ารถไฟฟ้า EVs นี้ จะมีมอเตอร์ตัวเดียวสำหรับระบบขับเคลื่อนล้อหลัง และมอเตอร์คู่สำหรับระบบ Quattro ขับเคลื่อนสี่ล้อ โดยในแง่ของรูปแบบตัวถังนั้น ทางแบรนด์ Audi ก็เป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องของรถซีดานและ Wagon รวมทั้งรถ SUV และ Sportbacks และเราก็คาดกันว่ารถในตระกูล E-Trons ในอนาคต ก็จะถูกนำเสนอออกมาในลักษณะเดียวกัน

รถที่มีสมรรถนะสไตล์ Off-Road จากค่าย Audi ที่ได้รับความช่วยเหลือจากแบรนด์ Scout

สำหรับรถในรูปใหม่ๆประเภทหนึ่งที่ทางแบรนด์กำลังสำรวจตลาดอยู่ ก็คือ รถ SUV ที่มีความทนทานกว่า โดยทาง VW Group ได้รับอนุญาตให้ใช้ชื่อของแบรนด์ Scout และกำลังนำมาสร้างแบรนด์ใหม่ด้วยแพลตฟอร์มสำหรับรถสไตล์ SUV และรถปิคอัพที่สามารถผจญภัยแบบออฟโรดได้ ซึ่งผู้บริหารบอกเราว่า ทาง Audi รู้สึกทึ่งมากๆ และมองว่าการใช้แพลตฟอร์มของ Scout นั้น จะสามารถขยายขอบเขตของแบรนด์ Audi ได้หรือไม่? แต่ปัจจุบันก็ยังไม่มีการตัดสินใจใดๆ และก็ยังไม่มีเวลาสำหรับการตัดสินใจอะไรด้วย

 

แต่นี่ก็ไม่ใช่แนวคิดใหม่แต่อย่างใด เพราะทางแบรนด์ Audi ก็ได้เคยแสดงแนวคิดที่มีชื่อว่า AI:Trail Quattro Electric Off-Road ที่งานแสดงรถยนต์แฟรงค์เฟิร์ตไปเมื่อปี 2019 โดยการเพิ่มแบรนด์ Scout นั้น จะเป็นเวทีที่จะทำให้สิ่งที่อยู่ในมโนภาพเป็นจริง และหากทาง Audi จะลงทุนในในตลาดรถออฟโรดที่ทนทานนี้ มันก็น่าจะถูกผลิตออกมาจากโรงงาน VW ในเมือง Chattanooga ซึ่งจะทำให้มันเป็นรถในตระกูล Audi คันแรก ที่ถูกผลิตขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกา

 

หากแต่ในอีกด้านหนึ่งของมุมมอง เราก็ไม่น่าจะได้เห็นการผลิตรถแบบเปิดประทุน ซึ่งเป็นรถในกลุ่มที่ไม่มีตลาดให้ขายมากนัก

 

และด้วยสถาปัตยกรรมการออกแบบระบบไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์แบบใหม่สำหรับระบบ Infotainment และการเชื่อมต่อ ซึ่งจะเน้นการใช้ระบบซอฟต์แวร์ให้มากขึ้นในการเพิ่มและอัปเดตฟีเจอร์ต่างๆ และมันก็จะถูกแชร์โดยทั้ง 2 แพลตฟอร์มนี้เช่นกัน ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นถึงมุมมองที่ว่ารถเป็นการรวมของระบบต่างๆ ซึ่งตรงข้ามกับมุมมองที่ว่ารถคือการเอาส่วนต่างๆมารวมกัน และมันก็คือสิ่งที่กำลังเปลี่ยนแปลงวิธีการที่ทาง Audi ใช้พัฒนายานยนต์ Hoffmann ได้กล่าวเอาไว้ โดยยูนิตซอฟต์แวร์ที่มีชื่อว่า CARIAD ของทาง Volkswagen ได้สร้างแพลตฟอร์มของซอฟต์แวร์ ซึ่งจะเป็นรากฐานให้แต่ละแบรนด์รถสามารถนำเทคโนโลยีและตัวเลือกที่โดดเด่นของตนเองมาวางซ้อนเข้าไปได้

Audi กับการออกมาของแนวคิดรถในตระกูล “Sphere”

Audi ได้เปิดเผยทีเซอร์ที่แสดงให้เราเห็นถึงรถสามสหายในคอนเซ็ปต์ "sphere" โดยรถรุ่น Grandsphere จะเป็นรถซีดานสไตล์ Fastback ที่หรูหรา ในขณะที่รถรุ่น Skysphere จะเป็นรถเปิดประทุนแบบ 2 ประตู ที่มาพร้อมฐานล้อที่สามารถขยายออกและลดลงได้ ขึ้นอยู่กับว่าคุณกำลังใช้ระบบขับขี่ด้วยตัวเอง หรือระบบขับเคลื่อนแบบอัตโนมัติเข้าควบคุม ส่วนรถรุ่น Urbansphere นั้น เป็นรถแบบ MPV ขนาดใหญ่เหมือนมินิแวน ที่ออกแบบมาเพื่อขนส่งผู้คนในมหานครใหญ่ในประเทศจีน ซึ่งมันก็ทำให้เราสงสัยว่า ในปีหน้านี้จะมีรถในตระกูล “sphere” ตัวที่ 4 ออกมาเพื่อให้สอดคล้องกับโลโก้ของแบรนด์ Audi ที่มีห่วง 4 วงหรือไม่?

 

แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม คอนเซ็ปต์ของรถในตระกูล “sphere” ก็ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อให้เป็นรถต้นแบบสำหรับรุ่นที่จะนำเข้าสู่สายการผลิต แต่มันจะเป็นแม่แบบของการออกแบบและเทคโนโลยีที่ซึ่งยานพาหนะในอนาคตจะได้รับ ซึ่งพวกเขาก็ได้ให้มุมมองที่ชัดเจนในทิศทางของการออกแบบทั้งภายในและภายนอกของทางแบรนด์ Audi โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขานั้นมีระบบการขับขี่แบบอัตโนมัติในระดับ 4 ซึ่งเรียกว่าระบบเต็มรูปแบบเลยทีเดียว

 

กระบวนการผลิตและผลกำไร

Hoffmann กล่าวว่า ทางค่าย Audi ต้องการขายรถยนต์ให้ได้ 3 ล้านคัน ภายในปี 2030 โดยต้องมีอัตรากำไรที่ 11% เนื่องจากค่ายผู้ผลิตรถยนต์แห่งนี้ได้จำกัดส่วนของผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในระดับ Lower End และทำการขยายผลิตภัณฑ์ในระดับ Upper End และปัญหาก็ยังอยู่ในส่วนของสินค้าคงคลัง โดยเจ้าหน้าที่ของทาง Audi ได้กล่าวว่า วิกฤตชิปเซมิคอนดักเตอร์จะคลี่คลายลง แต่ปัญหาต่อเนื่องจากการขาดแคลนจะยังคงส่งผลต่อสต็อกรถยนต์ในช่วงที่เหลือของปี และอาจลากยาวไปจนถึงปี 2023 ส่วนปัญหาเกี่ยวกับการจัดหาชุดสายไฟนั้นได้รับการแก้ไขแล้ว

 

ข้อมูลและภาพจาก motortrend

 

ติดตามข่าวสารรถยนต์รวดเร็วก่อนใครได้ที่ AUTODEFT.com

5 เรื่องน่าสนใจ