กฎหมายใหม่ในสหรัฐฯ อาจจำกัดความเร็วรถโดยอัตโนมัติ ป้องกันพฤติกรรมขับขี่อันตราย

สหรัฐอเมริกาอาจก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของเทคโนโลยีควบคุมความเร็ว เมื่อรัฐวิสคอนซินเตรียมพิจารณาร่างกฎหมายที่อาจทำให้ “การขับรถเร็วเกินกำหนด” กลายเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ทางกายภาพ ผ่านระบบที่เรียกว่า Intelligent Speed Assistance หรือ ISA

ระบบนี้ทำงานคล้ายกับอุปกรณ์ตรวจวัดแอลกอฮอล์ที่ใช้กับผู้กระทำผิดฐานเมาแล้วขับ แต่เปลี่ยนจากการตรวจแอลกอฮอล์มาเป็นการจำกัดความเร็วของรถโดยตรง หากผู้ขับขี่ที่มีประวัติการขับรถเร็วซ้ำซากถูกตัดสินว่ามีความผิด พวกเขาจะถูกบังคับให้ติดตั้งอุปกรณ์ที่จำกัดความเร็วของรถให้ไม่เกินกว่าที่กฎหมายกำหนดในแต่ละพื้นที่ โดยอาศัยข้อมูลจากระบบ GPS เพื่อระบุขีดจำกัดความเร็วของถนนในขณะนั้น

ร่างกฎหมายนี้เสนอโดยสองนักการเมืองพรรคเดโมแครตจากเมืองมิลวอกี ได้แก่ รัสเซล กูดวิน และคริส ลาร์สัน โดยกำหนดให้ผู้ที่ถูกตัดสินว่าขับรถโดยประมาทสองครั้งภายในห้าปี ต้องติดตั้งอุปกรณ์ดังกล่าวในรถยนต์ของตนเอง ซึ่งรวมถึงผู้ที่ถูกจับข้อหาขับเร็วเกินกว่ากำหนด 20 ไมล์ต่อชั่วโมงขึ้นไป ค่าใช้จ่ายในการติดตั้งราว 1,700 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 62,000 บาท) จะตกเป็นภาระของผู้กระทำผิด แต่จะมีโครงการช่วยเหลือสำหรับผู้มีรายได้น้อย

หากมีการถอด ดัดแปลง หรือไม่ติดตั้งอุปกรณ์ตามที่กฎหมายกำหนด ผู้ฝ่าฝืนอาจถูกจำคุกสูงสุดหกเดือน หรือปรับไม่เกิน 600 ดอลลาร์สหรัฐ ลาร์สันให้เหตุผลว่ามาตรการนี้จะช่วยปลูกฝังจิตสำนึกด้านความปลอดภัยให้กับผู้ขับขี่และผู้โดยสารไปพร้อมกัน

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกฝ่ายที่เห็นด้วย ตัวแทนจากพรรครีพับลิกัน บ็อบ โดโนแวน แสดงความคิดเห็นว่ามาตรการนี้แม้จะสร้างสรรค์ แต่ยังน่าสงสัยว่าจะสามารถนำไปใช้ได้จริงหรือไม่ เพราะยังมีช่องทางให้ผู้คนหลีกเลี่ยงเทคโนโลยีนี้ได้ เช่น การใช้รถคันอื่นที่ไม่มีระบบควบคุม

แม้ว่าร่างกฎหมายนี้จะยังอยู่ในขั้นตอนพิจารณา แต่รัฐวิสคอนซินถือเป็นหนึ่งในไม่กี่รัฐของสหรัฐฯ ที่เดินหน้าผลักดันการใช้เทคโนโลยีควบคุมความเร็วเพื่อแก้ปัญหาการขับขี่อันตราย โดยรัฐวอชิงตันและเวอร์จิเนียก็กำลังดำเนินโครงการลักษณะเดียวกันเช่นกัน นอกจากนี้ รัฐวิสคอนซินยังได้ผ่านกฎหมายใหม่ที่ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถยึดรถของผู้ที่ถูกจับในข้อหาขับขี่โดยประมาทได้ แม้จะเป็นการกระทำผิดครั้งแรกก็ตาม

แนวคิดการใช้เทคโนโลยีควบคุมความเร็วอัตโนมัติอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของวัฒนธรรมการขับขี่ในอนาคต หากสามารถลดอุบัติเหตุและพฤติกรรมเสี่ยงบนท้องถนนได้จริง รัฐอื่น ๆ ทั่วสหรัฐฯ ก็อาจเดินรอยตามในไม่ช้า

ที่มา Carscoops