แฮทช์แบ็คคอมแพ๊คคาร์...เทรนด์ใหม่รถนั่ง ...ความอเนกประสงค์ที่คุณเลือกได้
- โดย : Autodeft
- 1 มี.ค. 59 00:00
- 9,430 อ่าน
ตามติดกระแสใหม่ยานยนต์เมื่อรถแฮทช์แบ็คขนาดคอมแพ็คคาร์กำลังรีเทิร์นหลังรถยนต์อเนกประสงค์จ่อเกินความต้องการในการขับขี่
เรื่อง โดย ณัฐยศ ชูบรรจง (Bonn)
ทุกวันนี้รถยนต์ต่างเป็นปัจจัยสำคัญในการเดินทาง เราใช้งานมันมากกว่าแค่ขับรถไปยังปลายทาง แต่รถกลายเป็นผู้ช่วยในการใช้ชีวิตและความหลากหลายของหน้าที่ต่างๆในสังคมมากยิ่งขึ้น และแม้รถยนต์อเนกประสงค์กำลังจะเฟื่องฟูอย่างมากในปัจจุบัน แต่ว่า....ในด้านรถเก๋งการเจริญเติบโตยังมีเช่นกันเพียงแต่ค่ายรถยนต์บบางเจ้าคาดไม่ถึง
เทรนด์ทั่วโลกอาจจะหันไปหารถยนต์อเนกประสงค์ที่สามารถตอบสนองในการขับขี่ได้หลากหลายมากกว่าทั้งดูดีลงตัว และพร้อมลุย แต่สำหรับชีวิตคนเมืองที่แทบไม่มีเวลากระดิกออกไปบุกป่าฝ่าดงรถที่มาพร้อมภาพลักษณ์ที่ดูดี และยังลงตัวในการใช้งานที่มีฟังชั่นหลากหลายอย่างรถยนต์ประเภท 5 ประตู กำลังได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องและทวีความนิยมมากขึ้น
แม้ว่าจะเป็นข้อมูลที่มีการวิจัยออกมาเมื่อ 2 ปีที่แล้ว แต่ความคล้ายคลึงกันบางอย่างของตลาดรถยนต์ประเทศอินเดียและประเทศไทย ถือว่าไม่แตกต่างกะรมาก ด้วยความต้องการที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องของรถยนต์นั่งขนาดเล็กที่นิยมออกมาในรูปแบบ 5 ประตู จนทำให้คนจำนวนมากเริ่มให้ความสนใจและเข้าใจลักษณะการใชงานรถยนต์ 5 ประตูที่มีออพชั่นในการใช้งานได้หลากหลาย ยามต้องการ
พื้นที่สัมภาระที่มากกว่าฟังชั่นการใช้งานอเนกประสงค์ยิ่งกว่า ทำให้รายงานการวิจัยตลาดรถยนต์ในประเทศอินเดียในหัวข้อ “India ‘s Hatchback Market” จัดทำโดย IPsos Business consultant บ่งชี้สิ่งที่น่าสนใจว่าคนจำนวนมากในอินเดียหันมาใช้รถยนต์ประเภท 5 ประตู มากขึ้น โดยจากการสำรวจตลาดเมื่อปี 2011 เปิดเผยว่า ยอดส่วนแบ่งทางการตลาดรถยนต์ของประเทศอินเดีย กว่าร้อยละ 60 ของรถยนต์ที่ขายในประเทศอินเดีย เป็นรถยนต์แฮทช์แบ็ค ลักษณะดังกล่าวมีความสอดคล้องกับตลาดรถยนต์ในประเทศบราซิล ที่มีลักษณะเป็นประเทศกำลังพัฒนาสอดคล้องกับรูปแบบการซื้อตลาดรถยนต์ในประเทศไทย
โดยจากรายงานดังกล่าวชี้ว่า แม้ว่าตลาดรถยนต์อินเดียจะมีการเติบโตในปี 2011-2012เพียง 5% แต่ตลาดรถยนต์ในส่วนแฮทช์แบ็คกลับเป็นเซกเม้นทืที่มีการเติบโตต่อเนื่องถึง 1.5 %
นอกจากนี้ตามรายงานการวิจัยอีกฉบับที่มุ่งเน้นศึกษาตลาดรถยนต์ในประเทศจีน ในอนาคต ในหัวข้อ Bigger,Better,Broader : A Perspective on China auto market in 2020 จากรายงาน Mckinsy&Company ซึ่งออกมาเผยแพร่เมื่อปี 2012 ชี้ให้เห็นในอนาคตอีก 10 ปีข้างหน้า กลุ่มลูกค้าจะมีการเปลี่ยนถ่ายจากรถยนต์ประเภท 4 ประตู ไปยังกลุ่มรถยนต์อเนกประสงค์มากขึ้น และคาดการณ์ว่านาจะมียอดขายถึง ร้อยละ 22 จากยอดขายรถยนต์ทั้งหมดในประเทศจีน แต่กระนั้น รถยนต์ซีดานจะยังเป็นรถยนต์กลุ่มที่ขายดีที่สุดในตลาดประเทศจีน..
ในแง่หนึ่งการเริ่มต้นรถยนต์นั่งขนาดเล็กออกมาในสไตล์รถยนต์แฮทช์แบ็ค และได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องทำให้คนเข้าใจวิถีของรถยนต์แฮทช์แบ็คมากขึ้น มันเป็นรถยนต์ที่มีความอเนกประสงค์ แต่คุณยังดูดีโดยไม่ต้องทำตัวให้ดูดุดันพร้อมลุย เหมือนรถอเนกประสงค์ประเภท SUV หรือครอสโอเวอร์ แถมราคาค่างวดก็ไม่ได้แพง.. เท่ารถยนต์อเนกประสงค์ มิหนำซ้ำบางรุ่นยังประสบความสำเร็จกว่าด้วยการเพิ่มทางเลือกให้ลูกค้า
แม้ว่ารถ 5 ประตูจะมีความสามารถในการใช้งานของลูกค้ามากกว่าก็ตามที หากว่าการสร้างฉีกแนวตลาดอย่างต่อเนื่องด้วยการแนะนำรถยนต์นั่ง 5 ประตูในกลุ่มคอมแพ็คคาร์ ทำให้ ค่ายรถยนต์บางเจ้าประสบความสำเร็จตลาดรถยนต์กลุ่มนี้โดยปริยาย
กล่าวถึงความสำเร็จในรถยนต์นั่งคอมแพ็คแฮทช์แบ็ค คงไม่พ้นค่ายรถยนต์ม้ามืดแห่งยุค Mazda เข้ามาครองใจคนไทยยุคใหม่ ด้วยการออกแบบที่โดนใจและสมรรถนะที่ให้ครบเครื่องเต็มพิกัดตั้งแต่แล่นออกจากโรงงานผ่านการนำเสนอ Mazda Sky Activ Technology ด้วยการแนะนำรถยนต์นั่งระดับคอมแพ็คคาร์ Mazda 3 ที่เทรนด์การออกแบบลงตัว และมีให้เลือกทั้งรุ่นสี่ประตูซีดาน และ 5 ประตูแฮทช์แบ๊ค
ทว่าถ้ากวาดสายตาไปบนถนน คุณจะเห็นชัดว่า คุณจะพบเจ้ารถยนต์ Mazda 3 ใหม่ในรุ่นแฮทช์แบ็คมากกว่า ซีดาน ทำให้มาสด้ากลายเป็นเจ้าตลาดรถยนต์นั่งคอมแพ็คอย่างไม่ต้องสงสัย
การครองตำแหน่งนี้มาจากการตั้งราคาที่ไม่ได้สร้างความแตกต่างระหว่างรถยนต์ในรุ่น 4 หรือ 5 ประตู เมื่อประกอบกับความต้องการของลูกค้าที่มีกิจกรรมส่วนบุคคลของแต่ละคนมากขึ้นตามลำดับ ทำให้ทุกวันนี้รถยนต์ 5 ประตูถูกเล็งเป็นตัวเลือกมากขึ้นจากลูกค้าที่มีกิจกรรมในชีวิตประจำวันหลากหลาย รวมถึงราคาค่างวดที่ไม่ต้องเหยียบขึ้นไประดับ 7 หลัก แต่คุณยังได้ฟังชั่นการใช้งานที่ครบครัน แตกต่างเพียงความเป็นเก๋งนั้นไม่สามารถลุยได้อย่างที่คิด
ด้วยการตอบโจทย์ดังกล่าว ทำให้ข้อมูลจากมาสด้า ประเทศไทยยิ่งชี้ชัดถึงความสำเร็จในรอบปีที่ผ่านมาของการวางจำหน่ายรถยนต์ Mazda 3 Hatchback โดยจากยอดขายรวมตลอดทั้งปีกว่า 7,143 คัน มาสด้ากลับขายรถยนต์ในรุ่นแฮทช์แบ็คได้มากกว่า 4,272 คัน หรือ คิดเป็นร้อยละ 60 ของยอดขามาสด้า 3 ทั้งหมด เป็นการยืนยันอย่างดี ว่ารถยนต์แฮทช์แบ็คในกลุ่มคอมพ็คคาร์เริ่มเป็นที่สนใจของลูกค้ามากขึ้น ที่มีความตั้งใจมองหารถยนต์ที่ตอบสนองในการใช้งานมากกว่ารถยนต์นั่งขนาดเล็ก แต่ไม่ต้องการรถยนต์ที่มีขนาดใหญ่เท่ารถยนต์อเนกประสงค์
ความสำเร็จของมาสด้า อาจจะเป็นเพียงเศษเสี้ยวส่วนหนึ่งของการสะท้อนภาพและพฤติกรรมของผู้ซื้อรถยนต์ในปัจจุบันที่กำลังเปลี่ยนไป พวกเขามองหาความคุ้มค่าในการตอบสนองในการใช้งานในรถยนต์ ที่มีความลงตัวมากขึ้น และไม่จำเป็นที่จะตอบในเรื่องการลุยมากนัก หากมันเป็นเพียงรถที่ดูเท่ห์ลงตัว มีราคาค่างวดไม่แพงจนเกินไป และเจ้ารถยนต์คอมพ็คคาร์แฮทช์แบ็คก็กลายเป็นอีกเทรนด์การขับขี่ ที่น่าสนใจไม่น้อย
ขอบคุณและอ้างอิงจากข้อมูลของมาสด้าประเทศไทย
อ้างอิง
รายงานวิจัยทางการตลาดเรื่อง “India ‘s Hatchback market” The big business of small car
รายงานวิจัยทางการตลาด Bigger,Better,Broader : A Perspective on China auto market in 2020 โดยMckinsy&Company
เรื่อง โดย ณัฐยศ ชูบรรจง (Bonn)
ติดตามผู้สื่อข่าวและนักทดสอบรถยนต์ นาย ณัฐยศ ชูบรรจง ได้ที่ Facebook หรือ ทาง Fan page ,Twiter (@nattayodc), Blog ส่วนตัว
ติดตามข่าวสารยานยนต์ รวดเร็วก่อนใคร ได้ที่ Autodeft.com