Test Drive: รีวิว ทดลองขับ Toyota Fortuner Legender 2.8 4WD ท็อปสุด!! ออนโรดเต็มสมรรถนะ ออฟโรดลุยไม่กลัวเลอะ
- โดย : รัฐศิลป์ รัตนกู้เกียรติ
- 14 ส.ค. 63 00:00
- 22,836 อ่าน
หนึ่งในรถยนต์ใหม่อเนกประสงค์ที่โดดเด่นและครองความเป็นผู้นำมาอย่างยาวนานของชาวไทย เรียกได้ว่าชื่อนี้น้อยคนนักที่จะไม่รู้จักกับ Toyota Fortuner รถอเนกประสงค์ PPV ในตลาดบ้านเราที่มาปลุกกระแสความนิยมอย่างต่อเนื่องมาจนปัจจุบันนี้ ซึ่งล่าสุดในปี 2020 นี้ในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ทางโตโยต้าก็ได้เปิดตัวรุ่นปรับโฉมใหม่ล่าสุด ที่ในครั้งนี้ต้องยอมรับเลยว่าเป็นการปรับโฉมหลายจุด ไม่ใช่แต่เพียงรูปลักษณ์และอุ
การเปิดตัวใหม่ไปเมื่อวันที่ 4 มิ.ย. 63 ทางค่ายรถยนต์โตโยต้าก็ได้นำเสนอ Toyota Fortuner ใหม่สองรุ่นหลักด้วยกัน กับ New Toyota Fortuner รุ่นมาตรฐาน และ New Toyota Fortuner Legender รุ่นพิเศษ รวมแล้ว 7 รุ่นย่อย โดยทั้งสองนั้นมีความแตกต่างกันในบุคลิกของตัวรถอย่างชัดเจน โดยในวันนี้ทางทีมงานก็ได้รับเกียรติจากทาง โตโยต้า มอเตอร์ (ประเทศไทย) เชิญเข้าร่วมขับทดสอบสมรรถนะการขับขี่ใช้งานจริงทั้งรูปแบบออนโรดและออฟโรดไปกับ Toyota Fortuner Legender 2.8 4WD รุ่นท็อปบนสุดของไลน์ Fortuner ที่มีราคาค่าตัว 1,839,000 บาท
การขับทดสอบในครั้งนี้เส้นทางเริ่มต้นจากกรุงเทพมหานครมุ่งหน้า จ.ชลบุรี โดยมีจุดแวะไฮไลท์กันที่ ลานร่มร่อน เขาระเบิด ที่ในตอนนี้กำลังเป็นอีกหนึ่งสถานที่ยอดนิยมของนักท่องเที่ยว และใครที่รักในการร่อนร่มนั้นเอง ซึ่งเส้นทางที่จะขึ้นไปด้านบนลานและจุดชมวิวอันสวยงามนี้ หากเป็นรถยนต์มีความจำเป็นที่ต้องใช้ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ เนื่องจากสภาพเส้นทางยังคงมีความยากลำบากและเป็นอุปสรรคในการขับผ่าน ที่นี่จึงเป็นสถานที่ที่ทีมงานได้ขับทดสอบและสัมผัสสมรรถนะรถใหม่ Toyota Fortuner Legender แบบออฟโรดจริงจังบนเส้นทางธรรมชาติ
สำหรับรายละเอียดตัวรถ New Toyota Fortuner Legender อุปกรณ์ออพชั่นต่างๆ ที่ติดตั้งให้มา พร้อมกับภายนอกและภายในแบบลงรายละเอียด สามารถเข้าไปดูเพิ่มเติมได้ที่นี่ >>> https://www.autodeft.com/deftscoop/toyota-fortuner-legender-exterior-interior
เริ่มต้นการขับทดสอบจาก TDEX ย่านบางนา รถคันที่ทางทีมงานขับทดสอบก็คือ Toyota Fortuner Legender 2.8 4WD ที่มากับเครื่องยนต์ดีเซล VN Turbo 2.8 ลิตร ที่ได้รับการอัพเกรดพละกำลังมากขึ้นเป็น 204 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร กับ flat toreorrtueoitre ตั้งแต่ 1,600-2,800 รอบ/นาที พร้อมกับเพลาปรับสมดุล Balance Shaft ที่ช่วยลดแรงสั่นและเสียงให้เบาลง จับคู่ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อม Sequential Shift และโหมดการขับขี่ให้เลือก 3 โหมด (Eco/Normal/Sport)
แรกสัมผัสในการควบคุมพวงมาลัยยังมีความหนืดและน้ำหนักอยู่ในช่วงความเร็วต่ำ จะไม่ได้เบาๆ ในแบบพวงมาลัยไฟฟ้า เนื่องจากยังเป็นพวงมาลัยแร็คแอนด์พีเนียน แต่มีการเสริมมาด้วยพาวเวอร์ช่วยผ่อนแรงแบบ VFC (Variable Flow Control) ที่จะปรับน้ำหนักพวงมาลัยตามความเร็ว การควบคุมจึงสามารถคอนโทรลได้มั่นใจ ซึ่งเมื่อขับออกถนนและวิ่งบนทางพิเศษบูรพาวิถีแล้ว ในช่วงที่ใช้ความเร็วเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง พวงมาลัยก็มีความหนืดเพิ่มขึ้นให้เราสามารถควบคุมรถได้มั่นใจขึ้น บวกกับมีระยะฟรีอยู่นิดๆ ให้การขับขี่ในช่วงทางตรงยาวๆ นั้น พวงมาลัยไม่ไวและวอกเวกเร็วเกินไป ช่วยลดอาการล้าจากการต้องคอยประคองพวงมาลัยได้ดี หากแต่ใครที่ชื่นชอบพวงมาลัยที่ฉับไวเลี้ยวมากเลี้ยวน้อยดั่งใจนี่อาจไม่ใช่ฟิลลิ่งพวงมาลัยที่คุณถูกใจ
อีกหนึ่งจุดที่รู้สึกได้เลยก็คือระบบเบรกที่ในช่วงความเร็วต่ำ กับตัวรถที่มาพร้อมกับระบบดิสก์เบรกทั้งสี่ล้อ ในช่วงความเร็วต่ำแป้นเบรกเหยียบเพียงเล็กน้อยเบรกค่อนข้างที่จะจับไว แต่อาจไม่เท่ารุ่นก่อน หากแต่ใช้ความคุ้นเคยไม่นานก็สามารถเบรกและกะระยะน้ำหนักของแป้นได้แบบเนียนๆ ไม่จึกๆ แล้ว
ในช่วงการขับขี่บนทางพิเศษบูรพาวิถีนี้เอง ที่ค่อนข้างมีลมปะทะที่แรง เสียงลมที่เข้ามาในห้องโดยสารช่วงการขับขี่บนนี้ มีให้ได้ยินอยู่ชัดๆ ก็จะมีเสียงลมปะทะอยู่บ้าง และในเรื่องของการตอบสนองของเครื่องยนต์และเกียร์นั้น บอกได้เลยว่าหายห่วงพละกำลังเครื่องยนต์มีให้เรียกใช้ได้แบบเหลือๆ กดมาๆ ไหลยาวดึงต่อเนื่อง บวกกับการทำงานและการเปลี่ยนเกียร์ที่ฉลาด ก็มอบความรู้สึกในการขับขี่ได้อย่างมีพลัง คุณสามารถที่จะขับและเร่งแซงได้ตามต้องการ เรียกได้ว่าเผลอไม่มองหน้าปัดเดี๋ยวเดียวเข็มความเร็วก็กวาดขึ้นไปไกลแล้ว
ช่วงล่างเอง Toyota Fortuner Legender ก็ได้รับการปรับเซ็ตมาให้แตกต่างจากรุ่นมาตรฐาน หากมองด้วยตาเปล่าเข้าไปที่ชุดสปริง ก็จะพบได้กับสปริงสีแดงสดสไตล์สปอร์ตเด่นออกมา ที่ได้รับการปรับจูนมาในทางเน้นความนุ่มนวลที่มากขึ้นแต่ไม่ย้วย ค่อนข้างให้ความสบายตลอดการเดินทางได้ดีและไม่กระด้างแม้จะต้องมีการนั่งโดยสารแถวสองหรือสาม รู้สึกได้ว่าตัวรถมีความหนักแน่นและนิ่ง แต่จะมีอาการดีดๆ เต้นๆ เล็กน้อยบนความรู้สึกที่ยังนุ่มนวลอยู่ กับสภาพผิวการจราจรที่ไม่เรียบเป็นคลื่นๆ ที่เรามักจะเจอเมื่อขับเดินทางออกต่างจังหวัด หรือแม้ในเส้นทางมอเตอร์เวย์บางช่วง การขับขี่ที่ใช้ความเร็วสูงช่วงล่างให้การตอบสนองได้ดีตัวรถมีความนิ่งและให้ความรู้สึกที่มั่นใจตลอดการขับ
ก่อนที่เราจะเปลี่ยนเส้นทางออกทางบางวัวและวิ่งเข้าสู่มอเตอร์เวย์สาย 7 ในช่วงนี้เอง ทีมงานก็ได้ลองใช้งานระบบ Lane Departure Alert ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลน พร้อมหน่วงกลับอัตโนมัติ และ Dynamic Radar Cruise Control ระบบควบคุมและปรับลดความเร็วอัตโนมัติ ที่อยู่ในระบบความปลอดภัย Toyota Safety Sense ที่ได้รับการอัพเกรดยกระดับเพิ่มเข้ามา บวกกับอีกหนึ่งระบบก็คือ Pre-Collision System ระบบความปลอดภัยก่อนการชนที่มีติดตั้งมาให้
ซึ่งสำหรับระบบ Lane Departure Alert ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลน พร้อมหน่วงกลับอัตโนมัติ นี้ การเปิดใช้งานก็ง่ายๆ เพียงกดปุ่มเปิดระบบที่อยู่บริเวณบนพวงมาลัยด้านขวา ระบบก็พร้อมทำงานในการตรวจจับเส้นจราจร และหากคุณมีการขับเบี่ยงออกนอกเส้นจราจรแล้ว โดยที่ไม่ได้เปิดไฟเลี้ยว ในช่วงแรกจะมีการหน่วงกลับเข้ามาให้ก่อน หากแต่ยังมีการเบี่ยงออกต่อเนื่องอีก ระบบก็จะส่งเสียงเตือนดังขึ้นมาและพร้อมกับการหน่วงพวงมาลัยกลับที่ส่วนตัวแอบรู้สึกว่าแรงไปนิด
Dynamic Radar Cruise Control ระบบควบคุมและปรับลดความเร็วอัตโนมัติ ที่มากกว่าแค่การล็อคความเร็ว เพราะเราสามารถปรับตั้งระดับระยะห่างจากรถคันหน้าได้ 3 ระดับ กดใช้งานง่ายผ่านปุ่มบนพวงมาลัยด้านขวา และเมื่ออยู่ในระยะรถก็จะลดความเร็วชะลออยู่ในระยะปลอดภัยอัตโนมัติ แต่จะไม่ได้ทำงานจนรถหยุดสนิทและไปต่อได้อย่างใน Collora Altis ใหม่ แต่ระบบที่ให้มานี้ก็ทำให้การขับเดินทางยาวๆ สบายมากยิ่งขึ้น
ไม่นานนักเราก็มาถึงยังบริเวณทางขึ้นเขาระเบิด เพื่อขึ้นไปยังลานร่มร่อน เข้าสู่เส้นทางออฟโรดธรรมชาติ ระยะทางขาขึ้นไปในช่วงนี้อยู่ที่ราว 4 กิโลเมตร สภาพเส้นทางโดยรวมเป็นพื้นที่ธรรมชาติ มีเส้นทางให้รถออฟโรดวิ่งเข้าไปได้ มีสภาพพื้นดินโคลนลื่นในบางช่วง ที่จะลื่นแบบหนังหมู บวกกับร่องลึกขนาดใหญ่ตามเส้นทางที่ในวันนี้สภาพพื้นค่อนข้างแห้ง รวมไปถึงร่องทางน้ำผ่านที่หากเข้าไลน์ผิดแล้ว ขับตกลงไปในร่องอาจก่อให้เกิดความเสียหายกับตัวรถได้ เพราะฉะนั้นจึงต้องมีการใช้ความระมัดระวังอย่างมาก และขับด้วยความเร็วที่ต่ำไปช้าๆ
ภาพรวมการขับทดสอบแบบออฟโรดไปกับ Toyota Fortuner Legender ในครั้งนี้ เป็นไปได้อย่างมั่นใจ โดยในรุ่น 4WD นั้น มีระบบ Sigma 4 ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีแบบ A-TRC และมีการปรับลดความเร็วรอบเดินเบา จาก 850 รอบต่อนาที เป็น 680 รอบต่อนาที ช่วยให้สามารถลุยเส้นทาง Off-Road ได้ดีมากขึ้น
ในช่วงเส้นทางออฟโรดก่อนขึ้นไปถึงยังลานร่มร่อน เรียกได้ว่ามีอยู่หนึ่งจุดไฮไลท์สุดโหดในการขับผ่าน เส้นทางเป็นลักษณะของดินโคลนลื่นชุ่มน้ำ ความลื่นในระดับที่ว่าทำให้คุณหลงทิศทางของล้อได้ง่ายๆ หากแต่ใน Toyota Fortuner Legender นี้ มีระบบ Tire Turning Angle มาให้ ที่จะแสดงทิศทางของล้อรถของเราว่าในขณะนั้นล้อหันไปในทิศทางใดและมากน้อยเท่าใด ผ่านหน้าจอกลาง MID 4.2 นิ้ว ช่วยให้ผู้ขับไม่หลงทิศในการหักเลี้ยวพวงมาลัยบนสภาพเส้นทางที่ลื่นในแบบที่รถสามารถขวางได้
และในหลายจังหวะบนเส้นทางออฟโรดธรรมชาตินี้ ที่ในตำแหน่งของผู้ขับไม่สามารถมองเห็นเส้นทางรอบๆ ได้ชัดเจนมากนัก การมีระบบกล้องมองรอบคัน ก็ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการขับผ่านเส้นทางอุปสรรคไปได้ง่ายมากขึ้น รวมไปถึงในจังหวะที่ต้องวิ่งตามไลน์ที่ด้านข้างของล้อทั้งสี่เป็นร่องลึกขนาดใหญ่ ที่เมื่อคุณหักเลี้ยวหรือวางล้อผิดตำแหน่ง ก็อาจทำให้ตัวรถไถลลงร่องเกิดความเสียหายได้ การมีกล้องช่วยดูด้านหน้าและด้านข้างตัวรถก็ทำให้สามารถขับผ่านไปได้อย่างมั่นใจมากขึ้น
ในที่สุดคณะก็เดินทางขึ้นมาถึงยังลานร่มร่อน เขาระเบิด จุดชมวิวและทะเลหมอก ที่มีอากาศเย็นสบายสามารถมองวิวออกไปได้ไกลสายตามองเห็น เป็นจุดที่จะมีลานร่มร่อนที่ใช้ในการออกตัวและกลับลงสู่พื้น เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมกีฬาที่ต้องใช้ทักษะในการควบคุมร่ม และการตัดสินใจที่ฉับไวอย่างมากเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมอื่นๆ ทั้งการโรยตัวหน้าผา จุดกางเต็นท์ ชิงช้าชมธรรมชาติ อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่สามารถมาเที่ยวแบบเช้าเย็นกลับได้ใน จ.ชลบุรี
ซึ่งเมื่อก้าวลงมาจากรถก็พบกับความลุยของ Toyota Fortuner Legender กันเลย เรียกได้ว่าตัวรถครึ่งคันด้านล่างถูกชโลมไปด้วยดินโคลนสีน้ำตาล ราวกับการเคลือบด้วยคาราเมล ล้อขอบ 20 นิ้ว กับยาง H/T เดิมจากโรงงานที่สามารถลุยขึ้นมาถึงบนนี้ เรียกได้ว่าไม่ธรรมดา หากแต่ว่าถ้ามีฝนตกหนักลงมามากกว่านี้ สภาพเส้นทางก็จะยิ่งแย่และเพิ่มความโหดเข้าไปอีก ซึ่งในตอนนั้นการขับโดยใช้ยางเดิมที่เน้นวิ่งบนถนนดำนั้นอาจไม่เหมาะที่จะมาใช้งานในลักษณะการขับขี่ออฟโรด
ในช่วงขากลับเราก็ขับกลับย้อนเส้นทางเดิม ที่ต้องบอกเลยว่าระบบ DAC ที่ควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน ทำให้การขับขี่ช่วงขาลงนี้มั่นใจและปลอดภัยมาก โดยระบบมีการปรับจูนมาใหม่ให้ทำงานได้ไวขึ้นและเนียนขึ้นในการชะลอความเร็วในขณะลงทางชัน คุณไม่ต้องคอยมาเลียเบรกอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่การควบคุมพวงมาลัยไปในทิศทางที่ต้องการ บวกกับในบางจังหวะที่ต้องการเพิ่มความเร็วก็เพียงแต่เติมคันเร่งลงไป และในขณะที่ระบบทำงานอยู่ก็จะไม่ได้มีเสียงการทำงานที่ดังจนน่าตกใจเหมือนเมื่อก่อนแล้วอีกด้วย ซึ่งใครที่เคยใช้พวกระบบลักษณะนี้มาก่อน น่าจะพอนึกกันออกว่าเสียงดังที่ชวนให้ตกใจนั้นเป็นอย่างไร เรียกได้ว่าในช่วงขาลงนี้ใช้เวลาไม่นานคณะก็เดินทางลงเขามากันได้อย่างปลอดภัยและเร็วกว่าในช่วงขาขึ้นมากทีเดียว
ก่อนสิ้นสุดการขับทดสอบวันนี้ มีอีกหนึ่งช่วงถนนดำที่ค่อนข้างมีหลุมบ่อเต็มพื้นถนนที่เราต้องขับผ่านกัน การขับ Toyota Fortuner Legender รูดผ่านไปนั้นต้องยอมรับเลยว่าอาการตึงตังและสะเทือนขึ้นมาจนรู้สึกไม่สบายจนข้าวของกระเด้งไปมานั้นแทบไม่มีให้รู้สึก ช่วงล่างสามารถซับแรงสะเทือนจากผิวถนนที่ไม่เรียบเป็นหลุมได้อย่างน่าประทับใจ
นับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งวันเต็มกับรถใหม่อเนกประสงค์ PPV ใหม่ล่าสุด Toyota Fortuner Legender ที่ทีมงานได้ขับทดสอบกันทั้งบนออนโรดที่ให้ฟิลลิ่งในการขับขี่ที่นุ่มนวลสบายมากขึ้นกว่าเคย มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกและระบบตัวช่วยความปลอดภัยติดตั้งเข้ามาให้ครบครัน รวมไปถึงระบบ T-Connect ที่ได้ลองใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการบอกตำแหน่งของรถ การตั้งเตือนเมื่อรถออกนอกรัศมีจำกัด และสถานะของรถแบบเรียลไทม์ ที่บอกละเอียดถึงระดับน้ำมันในถัง และระยะทางที่วิ่งได้ และอีกหลากหลายฟังก์ชั่นที่ใช้งานง่ายผ่านสมาร์ทโฟนได้ทั้ง Android และ iOS
และเส้นทางออฟโรดแบบธรรมชาติ ที่ต้องบอกได้เลยว่าเป็นหนึ่งในเส้นทางที่ไม่สามารถขับผ่านไปได้ง่ายๆ รถต้องมีความพร้อมและสมรรถนะที่รองรับ รวมไปถึงระบบตัวช่วยต่างๆ ที่จะสนับสนุนทำให้การขับขี่นั้นมั่นใจและปลอดภัยมากที่สุด
และกับอีกหนึ่งตัวเลขที่ที่ทีมงานนำมาฝากกันก็คือ อัตราการบริโภคน้ำมันในการทดสอบครั้งนี้ เรียกได้ว่าเสมือนการเดินทางใช้งานจริงในการท่องเที่ยว โดยช่วงขับขี่บนเส้นทางออนโรดที่มีการจราจรติดขัดบางช่วง เส้นทางออกนอกเมือง การเร่งแซง และใช้ความเร็วต่อเนื่องในบางช่วง ตัวเลขที่ออกมาได้จากหน้าจอของตัวรถอยู่ที่เฉลี่ย 10.8 กม./ลิตร หลังจากวิ่งไปราว 100 กิโลเมตร
เมื่อรวมกับทั้งช่วงที่มีการขึ้นเขาและลงเขารวมเข้าไปด้วยแล้วระยะทางกว่า 200 กิโลเมตร อัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเฉลี่ยบนหน้าจออยู่ที่ 9.8 กม./ลิตร แน่นอนว่าในการใช้งานจริงอย่างการขับขี่ออกต่างจังหวัดที่ใช้ความเร็วคงที่ต่อเนื่อง อัตราการสิ้นเปลืองที่ได้ก็มีแนวโน้มที่จะทำตัวเลขได้ดีมากยิ่งขึ้น ซึ่งในโอกาสต่อไปเมื่อทีมงานได้โอกาสนำรถมาทดสอบ ก็จะได้ทดสอบในส่วนของอัตราสิ้นเปลืองให้ได้ทราบกันอีกครั้งต่อไป
ทั้งหมดนี้กับการขับทดสอบ Toyota Fortuner Legender ใหม่ อเนกประสงค์ในกลุ่ม PPV ที่ครองใจคนไทยมายาวนาน และยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง กับยอดจองล่าสุดนับตั้งแต่การเปิดตัว จนถึงวันที่ 10 ส.ค. 63 สามารถกวาดยอดจองไปได้แล้วสำหรับในรุ่นปกติ 3,043 คัน และรุ่นพิเศษ Legender อีก 3,784 คัน ท้ายที่สุดนี้หลังจากที่คุณมีข้อมูลต่างๆ ของตัวรถแล้ว อย่าพลาดที่จะไปลองขับและสัมผัสด้วยตัวเอง ก่อนที่คุณจะเชื่อสิ่งที่ได้เห็นและได้ยินมา เพราะมีแต่คุณเองเท่านั้นที่จะรู้ดีว่ารถรุ่นนี้สามารถตอบโจทย์ของคุณได้หรือไม่...
ทดสอบและเรียบเรียงโดย @toptaro
ติดตามข่าวสารรถยนต์รวดเร็วก่อนใครได้ที่ AUTODEFT.com