Test Ride: รีวิว ทดลองขี่ BMW F 900 R และ F 900 XR มอเตอร์ไซค์สายทางเรียบ เพียบไปด้วยความปลอดภัย
- โดย : พิสน ลีละหุต
- 15 ก.ย. 63 00:00
- 16,577 อ่าน
ต้องบอกว่าช่วง 5 ปีหลัง ถือว่าเป็นยุคของรถมอเตอร์ไซค์ขนาดใหญ่ หรือที่เรียกกันว่า บิ๊กไบค์ (ที่ไม่ใช่ไส้กรอกใน 7-11) กันอย่างมาก เนื่องมาจากค่ายรถต่าง ๆ ก็นำเข้าหรือผลิตรถยนต์กันภายในประเทศไทยกันอย่างมากมาย ทำให้ราคาของรถจักรยานยนต์ในกลุ่มนี้อยู่ในราคาที่เอื้อมถึง เลยทำให้เราเห็นรถโลดแล่นและขี่กันได้ทั่วประเทศ
และ 1 ในเต้ยของรถมอเตอร์ไซค์ไซส์ใหญ่ ก็คงต้องบอกว่าเป็น BMW Motorrad ที่นอกจากจะนำเข้าหลากหลายรุ่นเพื่อมาจำหน่ายในประเทศไทยแล้ว ยังลงทุนเปิดโรงงานประกอบในประเทศไทยเสียเลย เพื่อตอบโจทย์ทางด้านราคาและเพิ่มความนิยมให้แก่คนไทยได้มีโอกาสได้ใช้งานรถจักรยานยนต์คุณภาพเดียวกับคนทั้งโลก ในแบบที่เป็นเจ้าของได้ในราคาที่เหมาะสม
รอบนี้ผมในฐานะทีมงาน AUTODEFT ได้รับหมายเชิญที่จะเข้าร่วมกิจกรรม BMW Discoveride ในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน โดยกิจกรรมนี้นอกจากจะเป็นการทดสอบรถมอเตอร์ไซค์แล้ว ยังเป็นทริปที่มีโอกาสเข้าไปเยี่ยมชมโรงงานประกอบรถจักรยานยนต์ BMW ถึงที่จังหวัดระยองอีกด้วย ทริปดี ๆ แบบนี้ ไม่มีพลาดแน่นอนครับ
ก่อนออกเดินทาง เรามาเริ่มทำความรู้จักกับทั้ง 2 รุ่นกันก่อนดีกว่าครับ โดยขอเริ่มต้นจาก BMW F 900 R กันก่อนเลย ซึ่งรถมอเตอร์ไซค์รุ่นนี้ เป็นรถที่อยู่ในกลุ่ม Sport Naked ที่เน้นการขี่ง่ายแต่คล่องแคล่วสไตล์สปอร์ต ใช้เครื่องยนต์แบบ 2 สูบ 895 ซีซี ระบายความร้อนด้วยน้ำ ให้พลังสูงสุด 99 แรงม้าที่ 8,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 88 นิวตันเมตรที่ 6,750 รอบ/นาที ถือเป็นรถที่ให้พลังมากประมาณหนึ่งเลย ขับเคลื่อนด้วยเกียร์ 6 สปีด แบบคลัทช์เปียกซ้อนกันหลายแผ่น ตามสเปกแล้ว สามารถทำความเร็วสูงสุดได้เกินกว่า 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ตัวรถ ทางบีเอ็มดับเบิ้ลยูระบุเอาไว้ว่า เป็นรถมอเตอร์ไซค์ระดับ Middle weight ที่มีระดับน้ำหนักตัวรถอยู่ที่ราว 211 กิโลกรัมเมื่อเติมน้ำมันเต็มถังแล้ว (ก็หนักอยู่นะ) มิติตัวรถอยู่ที่ 2,140 x 815 x 1,130 มม. (ยาว x กว้าง x สูง) ถังน้ำมันจุ 13 ลิตร แต่มีถังสำรองไว้ให้อีก 3.5 ลิตร ใช้โครงสร้างเฟรมแบบ Bridge-type frame, steel shell construction โช้คหน้าแบบกลับหัวขนาด 43 มม. ส่วนด้านหลังเป็นแบบสวิงอาร์มคู่อลูมิเนียม ปรับตังความหนืดและการยุบตัวได้ด้วยระบบไฮโดรลิก ซึ่งตรงนี้มีทั้งรุ่นที่ปรับด้วยตัวเอง และมีแบบปรับด้วยไฟฟ้าอัตโนมัติอีกด้วย
BMW F900R ใช้ล้ออลูมิเนียมขนาด 17 นิ้ว ขนาดล้อหน้าคือ 3.50" x 17" ยางขนาด 120/70 ZR 17 และล้อหลัง 5.50" x 17" ส่วนยางเป็นขนาด 180/55 ZR 17 ระบบห้ามล้อด้านหน้าใช้เป็นดิสก์เบรกคู่ขนาด 320 มม. แบบคาลิปเปอร์ 4 สูบ ส่วนด้านหลังเป็นดิสก์เบรกเดี่ยวขนาด 265 มม. แบบคาลิปเปอร์ 1 สูบ มีระบบป้องกันการล้อล็อก ABS ของ BMW Motorrad
BMW F900R มีมารอบเดียว 3 รุ่น โดยแต่ละรุ่นจะมีสีเดียว และมีอุปกรณ์ที่แตกต่างกันไป แบ่งเป็น สีดำ Black storm metallic, สีน้ำเงิน San Marino blue metallic และรุ่นสุดท้ายสีแดง-เงิน Sport Style: Hockenheim Silver metallic / Racing red โดยอุปกรณ์มาตรฐานที่มีทุกรุ่นจะเป็น
- ระบบควบคุมการเกาะถนน DTC
- ระบบ DYNAMIC ENGINE BRAKE CONTROL
- ABS PRO
- CONTROL BRAKE LIGHT (LED)
ส่วนอุปกรณ์ที่เพิ่มเติมขึ้นมาจากอุปกรณ์มาตรฐานของแต่ละรุ่น จะแบ่งเป็นดังนี้ครับ
Black storm metallic
- KEYLESS RIDE
- GEAR SHIFT ASSISTANT PRO
- DRIVING MODE PRO
- SUSPENSION LOWERING KIT - FULL BODY
- DOUBLE SEAT BENCH LOW
San Marino blue metallic
- DAYTIME RIDING LIGHTS
- RDC TYRE PRESSURE CONTROL
- WINDSHIELD
- COMFORT PACKAGE (KEYLESS RIDE, HEATED GRIPS)
- TOURING PACKAGE (PREPARATION FOR GPS DEVICE, CRUISE CONTROL, MAIN STAND, PANNIERS FASTENINGS)
- DYNAMIC PACKAGE (DYNAMIC ESA, HEADLIGHT PRO)
- ACTIVE-PACKAGE (GEAR SHIFT ASSISTANT PRO, DRIVING MODE PRO)
Sport Style: Hockenheim Silver metallic / Racing red
- ADAPTIVE HEADLIGHT
- DAYTIME RIDING LIGHTS
- KEYLESS RIDE
- ABS PRO
- MAIN STAND
- DOUBLE SEAT BENCH LOW
- DYNAMIC PACKAGE (DYNAMIC ESA, HEADLIGHT PRO)
- ACTIVE-PACKAGE (GEAR SHIFT ASSISTANT PRO, DRIVING MODE PRO)
ขยับมาที่ BMW F900 XR บ้าง โดยรถมอเตอร์ไซค์คันนี้ จัดอยู่ในกลุ่ม Sport Adventure เน้นการขับขี่ระยะทางไกล นั่งขี่สบาย เครื่องยนต์และเกียร์ใช้ตัวเดียวกับ F 900 R เป๊ะ ๆ ดังนั้นอยากรู้ว่าเป็นแบบไหน ลองย้อนขึ้นไปอ่านก็แล้วกัน ส่วนมิติตัวรถต้องต่างกันอยู่แล้ว เป็นขนาด 2,160 x 860 x 1,320 - 1,420 มม. (ยาว x กว้าง x สูง) น้ำหนักตัวรถเมื่อเติมน้ำมันเต็มถังประมาณ 219 กิโลกรัม ถังน้ำมันจุ 15.5 ลิตร และมีถังสำรองใหอีก 3.5 ลิตร
BMW F900 XR ใช้โครงสร้างเฟรมแบบ Bridge-type frame, steel shell construction โช้คหน้าแบบกลับหัวขนาด 43 มม. ส่วนด้านหลังเป็นแบบสวิงอาร์มคู่อลูมิเนียม ปรับตังความหนืดและการยุบตัวได้ด้วยระบบไฮโดรลิก ซึ่งตรงนี้มีทั้งรุ่นที่ปรับด้วยตัวเอง และมีแบบปรับด้วยไฟฟ้าอัตโนมัติอีกด้วย (อ้าว เหมือนรุ่น R เลย)
BMW F900 XR ใช้ล้ออลูมิเนียมขนาด 17 นิ้ว ขนาดล้อหน้าคือ 3.50" x 17" ยางขนาด 120/70 ZR 17 และล้อหลัง 5.50" x 17" ส่วนยางเป็นขนาด 180/55 ZR 17 ระบบห้ามล้อด้านหน้าใช้เป็นดิสก์เบรกคู่ขนาด 320 มม. แบบคาลิปเปอร์ 4 สูบ ส่วนด้านหลังเป็นดิสก์เบรกเดี่ยวขนาด 265 มม. แบบคาลิปเปอร์ 1 สูบ มีระบบป้องกันการล้อล็อก ABS ของ BMW Motorrad (อ้าว เหมือนรุ่น R อีกแล้ว)
มาถึงเรื่องของออพชั่นกันบ้าง โดย BMW F900 XR ที่วางจำหน่ายในประเทศไทยนั้น มีรวมกัน 3 รุ่น ทั้ง Light white, Exclusive Style: Galvanic gold metallic และ Sport Style: Racing Red โดยอุปกรณ์มาตรฐานที่มีอยู่บนทุกรุ่น จะมีทั้ง
- ระบบควบคุมการเกาะถนน DTC
- DYNAMIC ENGINE BRAKE CONTROL
- DRIVING MODE PRO
- ABS PRO
- CONTROL BRAKE LIGHT (LED)
ส่วนอุปกรณ์และระบบที่เสริมมาในแต่ละรุ่น เพิ่มเติมจากอุปกรณ์มาตรฐาน มีดังนี้ครับ
Light white
- KEYLESS RIDE
- GEAR SHIFT ASSISTANT PRO
- SUSPENSION LOWERING KIT - FULL BODY
- DOUBLE SEAT BENCH LOW
Exclusive Style: Galvanic gold metallic
- ADAPTIVE HEADLIGHT
- DAYTIME RIDING LIGHTS
- HEATED GRIPS
- TYRE PRESSURE CONTROL
- PANNIERS FASTENINGS
- COMFORT-PACKAGE (DYNAMIC ESA, KEYLESS RIDE, MAIN STAND)
- TOURING PACKAGE (PREPARATION FOR GPS DEVICE, CRUISE CONTROL)
- DYNAMIC PACKAGE(HEADLIGHT PRO, GEAR SHIFT ASSISTANT PRO)
- HAND PROTECTION
Sport Style: Racing Red
- ADAPTIVE HEADLIGHT
- DAYTIME RIDING LIGHTS
- HEATED GRIPS
- PANNIERS FASTENINGS
- DOUBLE SEAT BENCH LOW
- COMFORT-PACKAGE (DYNAMIC ESA, KEYLESS RIDE, MAIN STAND)
- TOURING PACKAGE (PREPARATION FOR GPS DEVICE, CRUISE CONTROL)
- DYNAMIC PACKAGE (HEADLIGHT PRO, GEAR SHIFT ASSISTANT PRO)
- WINDSHIELD SPORT
น่าจะครบถ้วนกันแล้วสำหรับข้อมูลของรถจักรยานยนต์ทั้ง 2 รุ่น โดยทริปนี้ ทางบีเอ็มดับเบิ้ลยูจัดมาให้ขี่ทั้งหมดรวม 5 รุ่นย่อย จะไม่มีให้ขี่เพียงรุ่นเดียวคือ BMW F900 XR Light white เส้นทางเริ่มจากที่สนาม Enduro Park Thailand อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี แล้วมุ่งหน้าสู่โรงงาน BMW Manufacturing (Thailand) ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จ.ระยอง แล้ววิ่งเข้าไปพักที่ อ.เมือง จ. ระยอง ก่อนที่วันรุ่งขึ้นจะขี่กลับมาที่แถวเขาชีจรรย์ แล้ววิ่งกลับสู่จุดเริ่มต้นที่ สนาม Enduro Park Thailand อีกครั้ง รวมแล้วระยะทางอยู่ที่เกือบ ๆ 400 กิโลเมตร
ผมเริ่มต้นด้วยการขึ้นขี่ BMW F900R ตัว San Marino blue metallic ก่อนเลย (ไม่ได้เลือกเอง เดินไปช้า เหลือให้อยู่คันเดียว ฮ่า) ต้องบอกว่าตัวผมนั้นสูง 172 ซม. หนักเกิน 90 กิโลกรัม เมื่อได้คร่อมขี่แล้ว มันเป็นรถที่นั่งได้เต็มก้นทีเดียว ขานั้นถ้าวางพื้นทั้ง 2 ข้าง จะต้องเขย่งเล็กน้อย ตัวรถหนักเกิน 200 กก. ก็จริง แต่รถเมื่อขึ้นขี่แล้ว ไม่ได้มีน้ำหนักในการเข็นมากแต่อย่างใด ส่วนมือจับนั้นอยู่ในตำแหน่งกึ่งหมอบกึ่งนั่ง มันดูพอดีในการขี่ของคนตัวขนาดผมมากเลย ตำแหน่งในการกดปุ่มต่าง ๆ ก็สะดวก หน้าจอ TFT ตรงกลางขนาดใหญ่ มองเห็นได้ชัดเจน แต่อาจจะมีบางจังหวะที่แดดจ้ามาก สู้แดดไม่ค่อยไหวบางจังหวะ แต่ก็นั่นแหล่ะ แค่บางจังหวะที่มีการสะท้อนจริง ๆ โดยหน้าจอนั้นบอกได้เยอะมากเลยนะ ทั้งแบบมาตรฐานเรื่องความเร็ว, รอบเครื่อง, ระยะทางการเดินทาง เป็นต้น แต่ในทั้ง BMW F900R และ BMW F900 XR บอกได้ละเอียดกว่านั้นอีกเยอะ ไม่ว่าจะเป็นการแจ้งการทำงานของ DTC, การเบรก, การเอียงของตัวรถ เป็นต้น รวมทั้งเรายังสามารถ Sync ข้อมูลของตัวรถเข้าบนโทรศัพท์มือถือ ผ่านทาง App BMW Motorrad Connect ได้อีกด้วย (ข้อมูลละเอียดยิบ บอกได้เลยว่าเราเบรกไปทั้งหมดกี่ครั้ง)
BMW F900R มีโหมดการขี่ให้เราเลือกใช้งานได้ทั้งหมด 3 โหมด คือ Rain ที่ระบบความปลอดภัยต่าง ๆ เช่น DTC จะทำงาน “ก่อน” ที่จะเกิดอาการ รวมทั้งยังมีการใช้ Engine Brake ที่ดึงมากกว่าโหมดอื่น ต่อมากับโหมด Road ที่ระบบความปลอดภัยจะทำงานพร้อม ๆ กับการเกิดอาการ และลดการใช้ Engine Brake และสุดท้ายกับ Dynamic ที่การตอบสนองของคันเร่งจะปลดปล่อยให้เต็มที่ รวมทั้งระบบ DTC จะทำงานให้ช้าเล็กน้อย (ไม่ต้องพูดถึงระบบ Dynamic Pro นะ ไม่มี ไม่ได้เสียบเพิ่มมา) โดยทาง Instructor ได้แนะนำว่า ช่วงแรกที่ขี่ไปโรงงาน ขอให้เป็นโหมด Rain ก่อน เพื่อทำความคุ้นเคยกับตัวรถกันในช่วงเริ่มต้น ซึ่งระบบนี้ การตอบสนองของคันเร่งจะน้อยที่สุด แต่ไม่ได้ถึงขั้นไม่สามารถเร่งได้ทันใจนะ ถ้าต้องการเราก็บิดได้เลย เครื่องยังคงตอบสนองได้ดีเหมือนกัน
BMW F900R ถือเป็นรถที่ขี่ง่ายครับ ตัวที่วางเท้านั้นอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่ารถ Naked ทั่วไปเล็กน้อย ทำให้ขาของผมสามารถรัดกับถังน้ำมันได้ในระดับพอดี สะดวกเวลาเอียงตัวเข้าโค้งอย่างมาก แต่มันออกจะเมื่อยกว่าเล็กน้อยเมื่อขี่ในระยะเวลาที่นาน ๆ การเข้าโค้งนั้นดีมากครับ สามารถเข้าได้คม ปราดเปรียวอย่างมาก สารภาพว่าผมไม่ได้เป็นคนที่ขี่รถมอเตอร์ไซค์ได้เก่งเท่าไหร่ แต่ผมสามารถวิ่งเข้าโค้งตามคันข้างหน้าแบบไม่ได้ห่างอะไรมาก เพราะระบบของตัวรถจะคอบระวังให้เราอยู่ตลอดเวลา เพราะเมื่อจอดแล้วมาดูการทำงานของระบบช่วยควบคุมการเกาะถนน DTC จะเห็นเลยว่ามันทำงานอยู่บ่อยครั้ง แต่ช่วงขี่ผมกลับไม่รู้เลยว่ามันทำงานคอยระวังให้ผมอยู่ตลอดเวลา มโนไปเองว่าตัวเองขี่เก่งขึ้น 555
ช่วงที่ขี่ BMW F900R ในช่วงแรกที่จะมุ่งหน้าสู่โรงงาน BMW Manufacturing (Thailand) เจอทุกสภาพอากาศเลยครับ เริ่มจากแดดจ้า จนถึงฝนตกปรอย ๆ และจบท้ายด้วยตกหนักจนเปียกไปยันร่อง…(เติมเอา) แต่กลับไม่เป็นอุปสรรคในการขี่เลยครับ รถยังคงควบคุมได้ง่าย อยากจะเร่งก็บิดเพิ่ม รถก็พุ่งขึ้นไปแตะความเร็วที่ต้องการได้แบบเนียน ๆ และเมื่อปล่อยคันเร่งเพื่อลดความเร็ว จะรู้สึกได้ถึงการดึงของ Engine Brake ลดการใช้งานของเบรกได้อย่างดี และแน่นอนว่าจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยของการขี่ได้อีกด้วยครับ
และเมื่อมาถึงที่โรงงาน BMW Manufacturing (Thailand) ที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จ.ระยองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ด้วยสภาพตัวที่เปียกกันมะลอกมะแลก แต่มาถึงโรงงาน 1 ใน 3 ของโลกนี้ ที่สามารถประกอบรถจักรยานยนต์ของ BMW ได้ ก็ต้องมาดูกันล่ะครับ
สำหรับโรงงาน BMW Manufacturing (Thailand) แห่งนี้ เป็นโรงงานที่สามารถประกอบได้ทั้งรถยนต์ BMW ใม่ว่าจะเป็น บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 3, บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 3 Gran Turismo, บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 5, บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 7 รุ่นฐานล้อยาว, บีเอ็มดับเบิลยู X1, บีเอ็มดับเบิลยู X3 และบีเอ็มดับเบิลยู X5 และรถจักรยานยนต์ BMW ทั้งบีเอ็มดับเบิลยู R 1250 GS Adventure, บีเอ็มดับเบิลยู R 1250 GS, บีเอ็มดับเบิลยู F 900 XR, บีเอ็มดับเบิลยู F 900 R, บีเอ็มดับเบิลยู F 850 GS Adventure, บีเอ็มดับเบิลยู F 850 GS, บีเอ็มดับเบิลยู F750 GS, บีเอ็มดับเบิลยู S 1000 R และบีเอ็มดับเบิลยู S 1000 RR ซึ่งโรงงานแห่งนี้ เปิดมาตั้งแต่ปี 2543 ได้ทำการประกอบรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ไปแล้วรวมกว่า 155,000 คัน และเคยประกอบ Mini ด้วย แต่ตอนนี้เลิกไปแล้ว ไปใช้การนำเข้ามาขายจากมาเลเซียแทน
ถ้าเรามาเจาะเฉพาะการผลิตรถมอเตอร์ไซค์ของ BMW Motorrad จะเริ่มผลิตมาตั้งแต่เมื่อปี 2557 ณ ตอนนี้มีกำลังการผลิตได้กว่า 6 พันคัน/ปี โดยปีที่แล้ว สามารถผลิตออกมาได้มากถึง 6,200 คัน ตั้งแต่เปิดจนถึงปัจจุบัน ได้ประกอบรถยนต์และมอเตอร์ไซค์กว่า 52,000 คันเพื่อส่งออกสู่ 5 ประเทศในภูมิภาค ซึ่งรวมไปถึงประเทศจีน มาเลเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินเดีย
โดยที่โรงงานประกอบแห่งนี้ มีสิ่งหนึ่งที่ผิดคาดเอาไว้มากก็คือ ตอนแรกคิดว่าโรงงานประกอบรถยนต์จะเสียงดังโครมครามจนต้องใส่หูฟัง แต่ความเป็นจริงไม่ใช่เลยครับ เสียงมันเงียบมาก แทบจะไม่มีเสียงอะไรดังเลย เอาเป็นว่าใครทำประแจหล่นพื้น เสียงก็ดังไปไกลเกือบสุดโรงงานแล้ว ส่วนไลน์การประกอบนั้น สำหรับรถจักรยานยนต์ 1 คัน จะถูกแบ่งออกเป็นประมาณ 16 สถานีได้ (มั้ง) ใน 1 สถานี จะมีช่างที่ทำการประกอบ 1 คน ซึ่งคน ๆ นี้ จะทำหน้าที่ในการประกอบจุดเดียวจนเชี่ยวชาญ ทำซ้ำแบบนี้ไปทุกวันทั้งวัน ประมาณว่า “อันความรู้รู้กระจ่างแต่อย่าเดียว แต่ให้เชี่ยวชาญเถิดจะเกิดผล” และใน 1 สถานี จะใช้เวลาเฉลี่ยราว 13 นาทีเท่านั้น ซึ่งถือว่าเร็วมากครับ และโรงงานแห่งนี้เป็น 1 ใน 3 ที่ประกอบรถมอเตอร์ไซค์ของ BMW ออกจำหน่ายทั่วโลกครับ
จบการทัวร์แล้ว เรามาขี่รถกันต่อไปยังจุดหมายปลายทางดีกว่าครับ คราวนี้ผมขยับมาขี่ BMW F 900 XR Sport Style: Racing Red กันบ้าง ต้องบอกเลยว่ารถ Sport Adventure มันนั่งได้สบายจริง ๆ ตัวแฮนด์จับจะอยู่สูงกว่ารุ่น R เลยทำให้ท่าขี่สบายกว่า เพียงแต่ตัวพักเท้ามันจะสูงขึ้นกว่าทั่วไป ท่าเลยออกเป็นแนวสปอร์ตมากขึ้น รอบนี้ผมเปลี่ยนโหมดมาใช้งานในส่วนของ Road ดุบ้าง สิ่งที่ชัดเจนสุดคือเรื่องของอัตราการตอบสนองของคันเร่ง จะเร็วกว่าโหมด Rain ประมาณหนึ่ง แต่ไม่ถึงกับมากมายอะไร แต่การทำงานของ Engine Brake กลับลดลงไปอย่างเห็นได้ชัด รถจะมีการปล่อยไหลมากขึ้นก่อนที่จะเริ่มดึงบ้างในตอนปลาย
เครื่องยนต์ 2 สูบ 99 แรงม้าบนทั้ง BMW F 900 XR และ BMW F 900 R ไม่ได้เป็นเครื่องยนต์พลังโหด แต่สามารถตอบสนองได้อย่างนุ่มนวล ไม่ก้าวร้าว โดยเฉพาะในโหมด Rain กับ Road ที่ขี่ได้สบาย ไม่กระโชกโฮกฮาก แต่ถ้าคุณอยากสนุก ก็คงต้องเปลี่ยนไปสู่โหมด Dynamic ที่เครื่องยนต์จะตอบสนองไวมาก เรียกแรงได้เร็วทันใจมากขึ้นกว่าเดิม รวมทั้งในการเปลี่ยนเกียร์ ทั้งคู่ใส่ Slipper Clutch และ Quick Shift มาให้ด้วย หมายความว่าเมื่อรถออกตัวได้เรียบร้อยแล้ว เราก็ไม่ต้องกำคลัทช์เพื่อเปลี่ยนเกียร์อีกเลย เรางัดเพื่อเปลี่ยนขึ้นเกียร์สูง และเหยียบเพื่อลดเกียร์ต่ำได้ทันที การทำงานนั้น หลังจากที่ได้ลองแล้วพบว่า การทำงานจะเนียนก็ช่วง 4 ไป 5 ไป 6 แต่ ช่วง 1 ไป 2 ไป 3 มันยังไม่เนียนเท่าไหร่ มีแรงกระตุกตอนเปลี่ยนประมาณหนึ่ง ไม่แน่ใจว่าเราใช้รอบไม่พอหรือเปล่า อยากเอามาลองขี่สักเดือนหนึ่งจะได้รู้ หุหุ
การทำงานของเบรกนั้นสุดแสนจะดีงาม ไม่ว่าจะเบรกท้ายที่มีความนุ่มนวล กดแล้วอาจจะเหมือนรถไม่ได้เบรก แต่ความเร็วลดลงได้ตามที่เราต้องการ และเบรกหน้าก็ไม่ได้กำแล้วทำให้รถเสียหลักได้ ผมลองกำเกือบมิดไปครั้งหนึ่งเพราะด้านหน้าเบรกกะทันกัน รถหน้ายุบพรวดเลยครับ แต่รถไม่ได้มีอาการที่จะเสียหลักหรือท้ายยกแต่อย่างใด ที่สำคัญคือรถเบรกลดความเร็วได้เร็วมากจริง ๆ ถึงตัวรถจะมีน้ำหนักมากเกินกว่า 200 กก. ก็ตาม
ส่วนการเข้าโค้งของ BMW F 900 XR ที่ได้ไปลองช่วงหนึ่งในริมอ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล ที่มีทางโค้งเยอะ แถมยังเป็นช่วงหลังฝนตกที่มีพื้นเปียกปนทรายอยู่ตลอดทาง ผมว่ามันยังคมสู้รุ่น R ไม่ได้นะ ความคล่องตัวในการเข้าโค้งมันน้อยกว่า ทั้งนี้ยังไม่กล้าซัดเยอะ เพราะพื้นมันมีทรายเปียกเยอะ เลยไม่กล้าพับเยอะกันเท่าไหร่ แล้วตอนที่จอดพักรถหลังจากวิ่งผ่านเส้นทางนี้ ระบบ DTC นี่ทำงานกันรัว ๆ เลย
เช้าวันต่อมา ผมก็ลองเปลี่ยนไปจับ BMW F 900 XR Exclusive Style: Galvanic gold metallic กันดูบ้าง ตัวนี้ผมว่านั่งสบายสุดเลยนะ เพราะเบาะที่ใส่มาเป็นเบาะแบบหนามาตรฐาน นุ่มนวลบั้นท้ายมาก แตกต่างกับตัวที่ขี่เมื่อวันแรกที่เบาะจะบางกว่า แต่แลกมากับการที่ต้องเขย่งขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด เพราะเมื่อยันขาเดียวรถก็ไม่ได้หนักอะไร และสำหรับรถมอเตอร์ไซค์คันนี้จะมีความโดดเด่นตรงที่มี Wind Shield ด้านหน้าที่ขนาดใหญ่กว่า และมีการ์ดมือที่ช่วยป้องกันลมและเศษหินกระเด็นได้ด้วย เหมาะกับการขี่ทางไกลเป็นอย่างมาก เพราะตัว Wind Shield มันกันลมได้ประมาณหนึ่งเลย เวลาเราเพิ่มความเร็วไปช่วงความเร็วสูง มันจะตัดลมให้ช่วยพ้นช่วงลำตัวไปได้ แต่ยังไม่มากพอที่จะตัดให้ผ่านหมวกกันน็อก แต่เท่านี้ก็ถือว่าดีแล้ว อีกส่วนหนึ่งก็คือเรื่องพักเท้า ทำไมมันเหมือนกับว่าตัวนี้ที่พักเท้ามันอยู่ต่ำกว่าตัวที่เป็น Sport Style: Racing Red ขี่แล้วท่ามันสบายกว่า อันนี้ไม่รู้ว่ามันอยู่ต่ำกว่าจริงหรือคิดไปเอง ขอเก็บเอาไว้หาคำตอบอีกทีนะครับ
ช่วงล่างของทุกคันที่ได้ขี่มาคือความดีงาม ถึงแม้ว่าโช้คด้านหน้าจะปรับไม่ได้ แต่ด้านหลังเป็นการปรับแบบไฟฟ้า ซึ่งการปรับมันจะตั้งค่าให้ตามโหมดการขับขี่ รวมทั้งยังมีการประเมินตามสภาพจริงช่วงขับขี่แบบ Real-Time อีกด้วย จากการได้ขี่มา 2 วัน ทำให้รู้เลยว่า ช่วงล่างมันนุ่มนวลมากจริง ๆ ขี่ทางไกลก็สร้างความเมื่อยล้าได้ไม่มากเท่าไหร่ น้อยกว่ารุ่นอื่น ๆ ที่ไม่ได้ใช้โช้คไฟฟ้าเป็นอย่างมาก และมันก็ช่วยปรับระดับให้แตกต่างกัน เมื่อเราขี่ในทางถนนเปียกเข้าโค้งเยอะ หรือเมื่อขี่ทางเรียบความเร็วสูง รถมันก็ปรับให้เหมาะกับการขับขี่ตลอดเวลา
สำหรับราคาขายของ BMW Motorrad นั้น มีดังนี้ครับ
- BMW F 900 R Black Storm Metallic ราคา 495,000 บาท
- BMW F 900 R Hockenheim Silver Metallic / Racing Red ราคา 520,000 บาท
- BMW F 900 R San Marino Blue Metallic ราคา 525,000 บาท
- BMW F 900 XR Light White ราคา 535,000 บาท
- BMW F 900 XR Racing Red (Sport Style) ราคา 550,000 บาท
- BMW F 900 XR Galvanic Gold Metallic (Exclusive Style) ราคา 550,000 บาท
หลังจากผ่านไป 2 วัน กับเกือบ 400 กิโลเมตร ผมว่าเราเจอกับรถจักรยานยนต์ที่สามารถอัพเกรดความสามารถให้กับคนขี่ได้อย่างไม่น่าเชื่อ เพราะทั้ง BMW F 900 R และ F 900 XR นั้น เป็นมอเตอร์ไซค์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยระบบความปลอดภัยและตัวช่วยในการขับขี่มากมาย เอาเป็นว่าขนาดผมเป็นคนที่ขี่มอเตอร์ไซค์ไม่ได้อยู่ในระดับเซียน แค่ที่เที่ยวไปนั่นนุ่นนี่ได้ พอใส่โค้งได้บ้างประมาณหนึ่ง ยังรู้สึกได้เลยว่า เฮ้ย เราขี่คันนี้ทำอะไรได้มากกว่าคันอื่นอีกนี่หว่า ทำให้เรามั่นใจตลอดเส้นทาง เพราะรถแทบจะคิดให้เราหมดทุกอย่างแล้ว ผมว่าถ้าคุณพอจะขี่มอเตอร์ไซค์เป็นบ้างอยู่แล้ว การมาขี่ 2 รุ่นนี้ ก็คงไม่ใช่เรื่องยากอะไรแน่นอนครับ
ทดสอบและเรียบเรียงโดย EARTHPARK02
ติดตามข่าวสารรถยนต์รวดเร็วก่อนใครได้ที่ AUTODEFT.com