Ford สามารถสั่งดับรถคุณจากระยะไกลได้ แต่ต้องแลกกับการยินยอมบางอย่างก่อน

ปัญหาการโจรกรรมรถยนต์กำลังทวีความรุนแรงทั่วโลก โดยในปี 2024 เพียงปีเดียว มีรถถูกขโมยมากกว่า 850,000 คัน สร้างความเสียหายให้ทั้งเจ้าของรถ บริษัทประกัน และภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะรถกระบะที่ยังคงเป็นเป้าหมายหลักของโจร และหนึ่งในรุ่นที่ถูกเล็งมากที่สุดคือ Ford F-Series

คำตอบของ Ford ต่อปัญหานี้คือระบบที่เรียกว่า Start Inhibit เทคโนโลยีที่ช่วยให้เจ้าของรถสามารถสั่งป้องกันไม่ให้รถสตาร์ตจากระยะไกลได้ แม้กุญแจจริงจะอยู่ในตัวรถก็ตาม ฟังดูทรงพลังและน่าดึงดูด แต่เบื้องหลังของระบบนี้ก็มีเงื่อนไขและประเด็นด้านข้อมูลส่วนบุคคลที่เจ้าของรถควรรู้

Start Inhibit ทำงานผ่านการเชื่อมต่อเครือข่ายมือถือของตัวรถ โดยผูกกับแอป FordPass ซึ่งการสมัครใช้งาน FordPass จำเป็นต้องให้ความยินยอมในการเก็บข้อมูลจากรถที่เชื่อมต่ออยู่ ข้อมูลดังกล่าวรวมถึงตำแหน่ง GPS และสถานะของระบบสตาร์ตเครื่องยนต์

Ford ระบุว่าลูกค้ายังคงมีสิทธิ์เลือกว่าจะยินยอมให้แชร์ข้อมูลมากน้อยเพียงใด เจ้าของรถสามารถปิดการเชื่อมต่อทั้งหมดผ่านการตั้งค่าในรถ หรือเลือกจำกัดข้อมูลที่ส่งออกไป ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลตัวรถ พฤติกรรมการขับขี่ หรือข้อมูลตำแหน่ง

อย่างไรก็ตาม จุดสำคัญที่หลายคนอาจไม่คาดคิดคือ หากปิดการเชื่อมต่อ ระบบ Start Inhibit จะไม่สามารถใช้งานได้ทันที กล่าวคือ หากคุณไม่สบายใจที่จะให้ Ford เข้าถึงข้อมูล รถของคุณก็จะไม่สามารถถูกสั่งปิดการทำงานจากระยะไกลได้เช่นกัน

Ford ชี้แจงว่าข้อมูลจากรถที่เชื่อมต่อถูกนำไปใช้เพื่อให้บริการที่ลูกค้าร้องขอ เช่น ระบบนำทาง การแจ้งเตือนสุขภาพรถ วิทยุออนไลน์ และข้อมูลสภาพอากาศ รวมถึงช่วยพัฒนาความปลอดภัย คุณภาพ และความน่าเชื่อถือของรถยนต์ เช่น การตรวจสอบปัญหาภาคสนามและการเรียกคืนสินค้า โดยในปี 2023 หน่วยงานความปลอดภัยการจราจรบนทางหลวงของสหรัฐ หรือ NHTSA ยังเคยระบุว่าข้อมูลจากรถที่เชื่อมต่อเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญสำหรับการกำกับดูแลด้านความปลอดภัย

หนึ่งในความกังวลหลักของผู้ใช้เกี่ยวกับระบบสั่งปิดรถจากระยะไกล คือการเข้าถึงข้อมูลโดยเจ้าหน้าที่รัฐหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยที่เจ้าของไม่รู้ตัว ซึ่ง Ford ยืนยันอย่างชัดเจนว่า Start Inhibit ไม่ได้เชื่อมต่อกับระบบของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายโดยตรง

Ford อธิบายว่า หากรถที่สมัครแพ็กเกจความปลอดภัยถูกขโมยและมีการแจ้งความอย่างเป็นทางการ ศูนย์บริการของ Ford จะทำการตรวจสอบข้อมูลก่อน จากนั้นจึงประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และจะเปิดใช้งาน Start Inhibit ก็ต่อเมื่อได้รับการร้องขอจากเจ้าหน้าที่เท่านั้น โดยบริษัทจะเปิดเผยตำแหน่งของรถให้ตำรวจทราบเฉพาะในกรณีที่มีรายงานแจ้งความที่ผ่านการยืนยันแล้ว

ประเด็นนี้มีความสำคัญ เพราะเจ้าของรถไม่ได้อนุญาตให้ตำรวจเข้าถึงข้อมูลโดยตรง แต่เป็นการยินยอมให้ Ford เก็บและดูแลข้อมูลไว้ ซึ่ง Ford ระบุว่าจะส่งต่อข้อมูลให้หน่วยงานรัฐก็ต่อเมื่อได้รับความยินยอมจากเจ้าของรถ หรือมีคำสั่งทางกฎหมาย เช่น หมายศาลหรือหมายเรียกเท่านั้น

แม้จะมีมาตรการป้องกันเหล่านี้ แต่ความจริงก็คือ Start Inhibit ต้องพึ่งพาระบบข้อมูลส่วนกลางที่มีการเก็บข้อมูลรถอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหมายถึงการแลกเปลี่ยนระหว่างความปลอดภัยกับความเป็นส่วนตัว ระบบใดก็ตามที่สามารถระบุตำแหน่งและสั่งปิดการทำงานของรถได้ ย่อมเป็นเป้าหมายที่มีคุณค่า หากถูกเจาะระบบจากผู้ไม่หวังดี แม้ Ford จะระบุว่าไม่มีหลักฐานว่า Start Inhibit เพิ่มความเสี่ยงด้านการแฮ็กก็ตาม

ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์เตือนมานานแล้วว่า ยิ่งรถมีฟังก์ชันเชื่อมต่อมากเท่าไร พื้นที่เสี่ยงต่อการโจมตีก็ยิ่งเพิ่มขึ้น Ford ระบุว่าลูกค้าสามารถขอเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของตนเอง และร้องขอให้ลบข้อมูลได้ไม่ว่ากฎหมายคุ้มครองข้อมูลในรัฐนั้นจะกำหนดไว้อย่างไร แต่ตราบใดที่การเชื่อมต่อยังเปิดใช้งาน ข้อมูลเหล่านี้ก็ยังต้องถูกจัดเก็บอยู่ที่ใดที่หนึ่ง

แม้หลายคนจะอยากเห็นยุคที่ข้อมูลส่วนบุคคลถูกควบคุมโดยเจ้าของอย่างแท้จริง แต่ในปัจจุบัน ระบบอย่าง Start Inhibit ยังไม่ใช่เช่นนั้น อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีนี้ก็ให้ประโยชน์ที่จับต้องได้จริง ในช่วงเวลาที่การโจรกรรมรถมีความซับซ้อนและเป็นขบวนการมากขึ้น

Ford พยายามกำหนดขอบเขตที่ชัดเจนในเรื่องความยินยอม การตรวจสอบ และกระบวนการทางกฎหมาย ซึ่งอาจรัดกุมกว่าที่หลายคนคาดคิด แต่ความจริงพื้นฐานยังคงเดิม รถยนต์ที่เชื่อมต่อกับระบบดิจิทัลมากขึ้น ย่อมต้องแลกความเรียบง่ายทางกลไกกับความสะดวก ความปลอดภัย และความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัวที่เพิ่มขึ้น

สุดท้ายแล้ว Ford กำลังมอบทางเลือกให้กับลูกค้า ว่าจะยอมรับสมดุลนี้หรือไม่ และคำถามสำคัญอาจไม่ใช่วันนี้ แต่คือในอนาคต เมื่อรถยนต์เชื่อมต่อกับโลกดิจิทัลมากกว่านี้ สมดุลดังกล่าวจะยังคงยืนอยู่ได้หรือไม่

ที่มา Carscoops