ฟอร์ดถอยศึกแบตเตอรี่รถไฟฟ้าสู้จีน หันจับมือ CATL ผลิตแบตเตอรี่กักเก็บพลังงานในสหรัฐ

  • โดย : รัฐศิลป์ รัตนกู้เกียรติ
  • 28 ธ.ค. 68 21:57
  • 1,039 อ่าน

ฟอร์ด มอเตอร์ ไม่ได้แค่ชะลอแผนรถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น แต่กำลังปรับทิศทางยุทธศาสตร์ด้านแบตเตอรี่ครั้งใหญ่ หลังประกาศยกเลิกข้อตกลงสำคัญถึงสองดีลในเดือนนี้ ทั้งโครงการร่วมทุนมูลค่า 11.4 พันล้านดอลลาร์กับ SK On จากเกาหลีใต้ และสัญญาจัดหาแบตเตอรี่มูลค่า 6.5 พันล้านดอลลาร์กับ LG Energy Solution สะท้อนให้เห็นถึงการทบทวนแผน EV อย่างจริงจัง

แม้ฟอร์ดจะเหยียบเบรกธุรกิจรถไฟฟ้าชั่วคราว แต่กลับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนไปยังแบตเตอรี่คนละประเภท นั่นคือแบตเตอรี่สำหรับระบบกักเก็บพลังงานขนาดใหญ่ ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งานของโครงข่ายไฟฟ้าและผู้ให้บริการด้านพลังงาน

ย้อนกลับไปในปี 2023 ฟอร์ดได้ลงนามข้อตกลงด้านสิทธิ์การใช้เทคโนโลยีกับ CATL ผู้ผลิตแบตเตอรี่รายใหญ่จากจีน เพื่อใช้เทคโนโลยีลิเทียมไอรอนฟอสเฟต หรือ LFP เดิมทีแผนคือการนำเคมีแบตเตอรี่ของ CATL มาใช้ผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐ โดยอาศัยความได้เปรียบทางเทคนิคจากหนึ่งในผู้นำตลาดโลก แต่แผนดังกล่าวได้ถูกปรับเปลี่ยน

แทนที่จะนำเทคโนโลยี LFP ไปใช้กับรถยนต์ไฟฟ้า ฟอร์ดตัดสินใจนำมาใช้ผลิตแบตเตอรี่กักเก็บพลังงานขนาดใหญ่ ซึ่งจะผลิตในระดับอุตสาหกรรมเพื่อจำหน่ายให้กับบริษัทสาธารณูปโภคและผู้ดูแลระบบโครงข่ายไฟฟ้าโดยตรง

ลิซา เดรก รองประธานฝ่ายโครงการแพลตฟอร์มเทคโนโลยีและระบบ EV ของฟอร์ด ระบุว่า เมื่อบริษัทมีสิทธิ์ในการผลิตเทคโนโลยีนี้ในสหรัฐอยู่แล้ว ผนวกกับประสบการณ์การผลิตขนาดใหญ่ที่สั่งสมมากว่าศตวรรษ ทำให้การขยายมาสู่ตลาดแบตเตอรี่กักเก็บพลังงานเป็นก้าวที่สมเหตุสมผลและต่อยอดจากธุรกิจเดิมได้อย่างเป็นธรรมชาติ

อย่างไรก็ตาม การเดินหน้าดีลกับ CATL ไม่ใช่เรื่องง่าย ฟอร์ดต้องเผชิญแรงต้านทางการเมืองอย่างหนัก โดยผู้ว่าการรัฐเวอร์จิเนียเคยปฏิเสธแผนสร้างโรงงานแบตเตอรี่ที่ใช้เทคโนโลยีจากจีน ส่งผลให้ฟอร์ดต้องย้ายโครงการไปตั้งโรงงานในรัฐมิชิแกน ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเปิดดำเนินการได้ในปีหน้า

ท่ามกลางแรงกดดันจากนโยบายของรัฐบาลสหรัฐที่ต้องการลดการพึ่งพาสินค้าจากจีน ฟอร์ดมองว่าแนวทางของตนดีกว่าการนำเข้าแบตเตอรี่ที่ผลิตในจีนโดยตรง ซึ่งปัจจุบันถูกใช้อย่างแพร่หลายในภาคพลังงานของสหรัฐอยู่แล้ว การผลิตแบตเตอรี่ในประเทศจึงเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ทั้งด้านความมั่นคงและซัพพลายเชน

ฟอร์ดยังเปิดเผยว่าได้พูดคุยกับลูกค้าที่มีศักยภาพในตลาดแบตเตอรี่กักเก็บพลังงาน และได้รับเสียงตอบรับเชิงบวกอย่างชัดเจน แบตเตอรี่ LFP ไม่เพียงเหมาะกับรถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น แต่ยังตอบโจทย์งานกักเก็บพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งทำให้การตัดสินใจครั้งนี้ดูสมเหตุสมผลมากยิ่งขึ้น

ในระยะยาว ฟอร์ดตั้งเป้าพัฒนาแบตเตอรี่ต้นทุนต่ำของตัวเอง โดยนำบทเรียนและองค์ความรู้จากการถ่ายทอดเทคโนโลยีของ CATL มาใช้ ลิซา เดรก ระบุว่า หากไม่ได้ร่วมมือกับ CATL ฟอร์ดอาจต้องใช้เวลานานถึง 10 ปี กว่าจะพัฒนาเทคโนโลยี LFP ที่สามารถแข่งขันในตลาดได้

ที่มา Carscoops

ติดตามข่าวสารรถยนต์รวดเร็วก่อนใครได้ที่ AUTODEFT.com

5 เรื่องน่าสนใจ