Test Drive: รีวิว ทดลองขับ Mercedes-Benz GLA200 Progressive รถหรูอเนกประสงค์ 2 ล้านนิด มีชีวิตหรูได้เลย
- โดย : พิสน ลีละหุต
- 12 มิ.ย. 66 12:50
- 5,397 อ่าน
เชื่อได้ว่า รถยนต์หรูอย่าง Mercedes-Benz นั้น คือเป้าหมายของคนส่วนใหญ่ที่อยากจะครอบครองรถแบรนด์นี้ให้ได้สักวัน แน่นอนว่าถ้าย้อนไปยุค 20 ปีก่อนสมัยผมเป็นวัยรุ่นมันจะยอกมา แต่มาถึง ณ วันนี้แล้ว มันไม่ยากเกินไปแล้ว
สมัยผมเข้าทำงานใหม่ ๆ ในยุคที่ค่าแรงขั้นต่ำยังอยู่ที่วันละ 133 บาท ผมจบปริญญาตรี ได้งานครั้งแรกรับเงินเดือนแค่ 7,500 บาท เลิกคิดฝันในเรื่องจะขับเบนซ์ได้เลย ขนาดแค่ซื้อมิตซูบิชิ E-Car ยังผ่อนกันแทบรากเลือด จำได้ว่าเพื่อในแผนกเดียวกันถอย Toyota Fortuner มา ในราคาประมาณล้าน 2 ผมยังมองนั่งตาปริบ ๆ แอบอิจฉาอยู่เป็นเนือง ๆ แล้วมาดูรถ Fortuner ในวันนี้สิ ราคาหวดเข้าไปเกือบ 2 ล้านแล้ว ไม่ต้องพูดถึงรถเบนซ์ป้ายแดง ที่ราคาช่วงนั้นก็คันละหลายล้านแล้ว อย่างตัว C200 Kom 2003 Avantgarde ที่เขาถอยป้ายแดงกันมา ก็ราคาหวดเข้าไป 3.29 ล้านบาทแล้ว
แต่จากการที่ทาง Mercedes-Benz เลือกใช้วิธีการสร้างโรงงานประกอบขึ้นในประเทศไทย นั่นทำให้รถใหม่ที่ขายในประเทศไทยนั้น ราคาถูกลงอย่างต่อเนื่อง ใครจะเชื่อว่า ณ วันนี้ คุณกำเงินไป 2,320,000 บาท ก็สามารถเป็นเจ้าของรถตราดาว 3 แฉกไปอวดเพื่อนบ้านได้แล้ว
และในราคา 2,320,000 บาทนี้ รถมันจะขับเป็นอย่างไรบ้าง รอบนี้ผมเลยได้ทำการยืมรถในรุ่นเริ่มต้นของค่ายอย่าง Mercedes-Benz GLA200 Progressive มาทดลองขับให้ดูกันว่า มันน่าจะคุ้มค่ากับการเอื้อมขึ้นไปอีกนิด จากเดิมจะได้รถญี่ปุ่นคันใหญ่ ๆ ตัวท็อป ขึ้นไปได้ขับรถหรูที่มีแต่คนเกรงใจ
มาเริ่มต้นกันที่สเปกของ Mercedes-Benz GLA200 Progressive กันก่อนเลยดีกว่า โดยรถใหม่คันนี้ จะเป็นรถสไตล์อเนกประสงค์ SUV ขนาดเล็ก เล็กจนจะมองเป็นรถ Hatchback ได้อยู่แล้ว แต่ถ้าเรามาดูกันถึงมิติตัวรถจริง ๆ มันจะอยู่ที่ 1,834 x 4,410 x 1,611 มม. ถ้าถามว่าประมาณรถรุ่นไหนในตลาด ก็อยู่ที่ประมาณ Toyato Corolla Cross ได้ แต่ตัวเครื่องยนต์นั้น ใส่มาทรงพลังมากกว่าเยอะ โดยตัวนี้ใช้เป็นเครื่องยนต์เบนซิน 1.3 ลิตร (เอาเป๊ะ ๆ คือ 1,332 ซีซี) 4 สูบ Turbo ที่ให้กำลังได้แรงสูงสุด 163 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนล้อหน้าด้วยเกียร์อัตโนมัติ แบบ DCT 7 สปีด มี Paddle Shift ให้เปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัยได้ และที่สำคัญคือ รถคันนี้รองรับน้ำมันได้ถึง E85 เลย (ขับเบนซ์แล้วใครจะเติม)
การออกแบบภายนอกของ Mercedes-Benz GLA200 Progressive นั้น มันก็ไม่ได้มีอะไรหวือหวามากมาย ด้านหน้าเน้นความโดดเด่นของตราดาว 3 แฉกขนาดใหญ่บนตระแกรงหน้า เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีแปะตราดาวดวงเล็กไปบนฝากระโปรงหน้าไปอีกดวง เอาให้เห็นกันชัด ๆ ว่า “รถคันนี้คือเบนซ์นะเว้ย” ส่วนตะแกรงรับลมด้านหน้า ก็จะเป็นเหมือนดาวรายที่ล้อมวนเป็นดาวบริวารของดาวดวงใหญ่ พร้อมทางช้างเผือกที่ทอดผ่านกลางแถบขวางขนานไปกับตัวพื้น ไฟหน้าเป็นโคมไฟแบบ LED High Performance เปิด-ปิดได้อัตโนมัติ พร้อมระบบเปิดไฟสูงอัตโนมัติ พร้อมไฟ DRL แบบ LED เช่นกัน ไร้ซึ่งไฟตัดหมอก แต่มีเบ้าพร้อมรอให้คุณเอาไปติดเองข้างนอกได้ (ติดเพื่ออะไร?) ชายกันชนด้านล่างใส่เป็นสเกิร์ตด้านหน้าสีเงิน เพิ่มความหรูหราไปอีกเล็กน้อย
ด้านข้างนั้น เลือกที่จะใช้สีเดียวกับตัวรถเป็นหลัก ทั้งมือจับประตูหรือกระจกมองข้างก็ตาม จะมีก็เพียงแต่ขอบด้านล่างของกระจกมองข้าง และเส้นซุ้มล้อ ที่ลากยาวจากด้านหน้า เกาะชายด้านล่างเป็นเส้นลากไปจนจบที่ท้ายรถ ส่วนล้อนั้น เลือกเอาขนาด 18 นิ้วมาใช้ ล้อแม็กซ์อัลลอยแบบสี 2 โทน ลาย 5 แฉก 10 ก้าน ยางนั้นใส่มาเป็นของ Pirelli Scorpion Verde ขนาด 235/55 R18 ด้านท้ายออกแบบเรียบง่าย ใช้ไฟท้ายและไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED โดยตัวไฟท้ายแยกก้อนซ้าย-ขวากันอย่างชัดเจน ไม่มีการลากเส้นมาเชื่อมต่อกันตามสไตล์รถยุคใหม่แต่อย่างใด ด้านล่างเป็นชุดแต่งท่อคู่สีเงิน เพิ่มความหรูหรา ประตูท้ายเป็นระบบไฟฟ้า พร้อมเพิ่มความสะดวกด้วยระบบ Hand-Free Access
ภายในของ Mercedes-Benz GLA200 Progressive นั้น เนื่องจากตัวนี้เป็นตัวเริ่มต้น ที่ไม่ใช่ชุดแต่ง AMG Premium ดังนั้นจึงทำให้อาจจะดูไม่ได้เจ๋งเท่ากับตัวบนสักเท่าไหร่ แต่ยังไงก็ยังไม่ได้ทิ้งความหรูหราให้ลดลงไปแต่อย่างใด ตัวเบาะนั้น เป็นเบาะทรงธรรมดา ใช้วัสดุหนัง Artico หุ้มทั้งชุด ให้สัมผัสในการจับและนั่งที่ดี โดยเบาะคู่หน้านั้นปรับระดับด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมบันทึกตำแหน่งผู้นั่งได้อีก 2 ตำแหน่ง แผงคอนโซลหน้าเน้นความเรียบง่าย ไม่มีการออกแบบที่หวือหวาแต่อย่างใด เด่นสุดคงจะเป็นท่อลมปรับอากาศทรงท่อ Jet ขนาดใหญ่ 3 ช่องตรงกลาง วางไว้ที่ใต้หน้าจอ ดูรวม ๆ แล้วก็เป็นเอกลักษณ์ของรถเมอร์เซเดส-เบนซ์อย่างดี
อีกสิ่งที่เด่นไม่แพ้กันคือหน้าจอขนาดใหญ่ ที่ออกแบบให้ดูเป็นหน้าจอเดียวกัน แต่จริง ๆ แล้วเป็นการเรียงตัวจอ 2 จอขนาด 10.25 นิ้ว โดยตัวหน้าจอกลางนั้นเป็นระบบสัมผัสสำหรับใช้งาน Infotainment ส่วนหน้าปัดของข้อมูลการขับขี่ก็สัมผัสได้ แต่สัมผัสแล้วไม่มีการตอบสนองนั่นเอง (จะบอกเพื่อ) โดยตัวจอนั้น ใช้ระบบปฏิบัติการ MBUX รองรับการเชื่อมต่อกับ Apple CarPlay และ Android Auto เพียงแต่ว่ายังไม่รองรับการใช้งานแบบไร้สาย และพอร์ตเชื่อมต่อนั้น ให้มาเฉพาะแบบ USB Type C เท่านั้นเลย ใครใช้แบบ Type A อยู่ก็อดไป แอร์เป็นแบบอัตโนมัติก็จริง แต่ไม่แยกโซนให้นะจ๊ะ
เบาะด้านหลังของ Mercedes-Benz GLA200 Progressive เขาพับได้นะ แบ่งพับได้แบบ 40:20:40 หรือเรียกได้ง่าย ๆ ว่าแบ่งพับได้ 3 ท่อนนั่นเอง วัสดุตัวเบาะก็ใช้แบบเดียวกับข้างหน้า เสียดายก็ตรงที่ว่า แอร์ด้านหลังไม่มี และช่อง USB ก็มีให้แค่ช่องเดียวเลย
ถึงแม้ว่าจะเป็นรุ่นเริ่มต้น แต่ระบบความปลอดภัยของ Mercedes-Benz GLA200 Progressive ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าใคร ดังนี้
- ถุงลมนิรภัย 9 ตำแหน่ง
- ระบบป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-lock Braking System)
- โปรแกรมควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ ESP* (Electronic Stability Program)
- ระบบเบรก ADAPTIVE BRAKE พร้อมฟังก์ชัน HOLD และ Hill-Start Assist
- ระบบช่วยเบรกแบบแอคทีฟ ABA (Active Brake Assist system)
- ไฟเบรกกะพริบฉุกเฉิน (Adaptive Brake Light)
- ระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตา (Blind Spot Assist)
- ระบบแจ้งเตือนขณะเปิดประตูรถ (Exit Warning)
- ระบบช่วยรักษารถให้อยู่ในช่องทางจราจร (Active Lane Keeping Assist)
- ระบบรักษาความเร็ว (Cruise control) และจํากัดความเร็ว (SPEEDTRONIC)
- เซ็นเซอร์ช่วยในการนํารถเข้าจอด (PARKTRONIC)
- ระบบช่วยการนํารถเข้าจอดอัตโนมัติ (Active Parking Assist)
- กล้องแสดงภาพด้านหลังขณะถอยรถ (Reversing camera)
- ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (ATTENTION ASSIST)
- ระบบเตือนเพื่อนํารถเข้าศูนย์บริการ (ASSYST service interval indicator)
- ระบบแจ้งเตือนระดับแรงดันลมยาง (Tyre pressure loss warning system)
ว่ากันเรื่องสเปกเบื้องต้นไปพอสมควรแล้ว เรามาเริ่มขับ Mercedes-Benz GLA200 Progressive กันเลยดีกว่า เริ่มจากการนั่งก่อนเลยครับ ผมน่ะ มักจะมีปัญหากับเบาะของ Mercedes-Benz ที่เป้ทรงสปอร์ตอยู่เสมอ ผมตัวใหญ่ (อ้วนแหล่ะ) เวลานั่งเบาะแบบสปอร์ตทีไร มันจะมีตัวโอบเอวมาเบียดพุงด้านข้างอยู่ตลอดเวลา ขับนาน ๆ เข้าก็จะไม่สบายตัว แต่กับเบาะตัวนี้นั่งสบายกว่าแฮะ มันมีโอบเอวก็จริง แต่มันไม่ได้เบียดมากอย่างที่เคยนั่งมา ส่วนเรื่องพื้นที่ห้องโดยสาร ผมว่าไม่ได้แย่นะ ถ้ามองจากภายนอก เราอาจจะรู้สึกว่าคันเล็กจัง แต่รถใหม่คันนี้จะบอกเลยว่า “ผมไม่เล็กนะครับ” ขนาดผมตัวใหญ่แล้วยังนั่งแล้วไม่รู้สึกอึดอัดเลย แต่ตอนนั่งหลังอาจจะดูแคบไปหน่อย แต่ก็ไม่เป็นปัญหาอย่างไรถ้านั่งแค่ 2 คน แต่ถ้าเป็น 3 คนเมื่อไร นั่นจะเริ่มมีปัญหาได้เช่นกัน
พอเริ่มได้ขับ Mercedes-Benz GLA200 Progressive ก็พอจะบอกได้เลยว่า เจ้าจิ๋วคันนี้เป็นรถที่ขับสนุกมากเลย ด้วยอัตราเร่งเริ่มต้นที่อาจจะไม่ได้พุ่งปรู๊ดปร้าดแบบติดเท้า แต่มันก็สนุกได้พอตัว พอเทอร์โบทำงานได้เต็มที่ มันก็จะเริ่มพุ่งขึ้นไปได้อย่างเต็มตัว ก่อนที่จะเริ่มแผ่วหลังจากเกิน 130 กม./ชม. ขึ้นไป แต่ก็พอต่อเนื่องไปยันความเร็วปลายได้แบบไม่ต้องเค้นอะไรมาก แถมยังมีตัว Paddle Shift ที่พอจะขับให้สนุกมากขึ้นได้อีกหน่อย ถึงแม้ว่าเกียร์จะเป็นแบบ DCT (Dual-clutch transmission) ที่อาจจะพอรู้สึกถึงรอยต่อบ้างในช่วงขยับเกียร์ ไม่เนียนกริ๊บแบบเกียร์ CVT แต่บอกได้เลยว่านี่คือเกียร์ที่ให้ความสนุกในการไล่ความเร็วได้ดีกว่าเกียร์สายพานแน่นอน
แต่สิ่งที่ผม ในฐานะตัวแทนของผู้มีอายุและมีครอบครัวแล้ว ไม่ค่อยจะถูกใจสักเท่าไหร่ ก็คือเรื่องของช่วงล่างที่ดูจะออกไปแนว “แข็ง” มากไปหน่อย โดยเฉพาะถ้าได้นั่งด้านหลังจะรู้สึกได้เลยว่า โดดเอาเรื่องเลยทีเดียว ถ้าขับแบบชิว ใช้ความเร็วไม่มาก จะรู้สึกได้ถึงทุกความไม่เรียบของตัวถนนเลย พูดตรง ๆ ว่าถ้าผมเอามาใช้ในชีวิตประจำวัน ที่ไม่ได้ใช้ความเร็วมากสักเท่าไหร่ ก็น่าจะทำเอาให้ผมเกิดอาการจุกได้เหมือนกัน แต่ถ้าเราเริ่มเร่งความเร็วไประดับเกิน 100 กม./ชม. เมื่อไหร่ นี่คือความเร็วที่ช่วงล่างของรถ SUV คันนี้ต้องการทันที เพราะมันจะให้ความ “หนึบ” เกาะกับถนนได้เป็นอย่างดี สลับเปลี่ยนเลนได้อย่างมั่นใจ อาการโยนตัวช่วงเปลี่ยนเลนเร็วมีน้อยมาก เข้าโค้งแคบอาจจะมีอาการท้ายโยนเล็กน้อย แต่ไม่มีปัญหาใด ๆ ต่อการขับขี่ พวงมาลัยคมตามสไตล์ของเบนซ์เขาอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าช่วงความเร็วต่ำ ผมว่าพวงมาลัยออกจะหนักไปนิด แต่ก็ไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด
มาว่ากันเรื่องของอัตราเร่ง 0-100 กันสักหน่อย รอบนี้ยังเหมือนเดิมด้วยการใช้โทรศัพท์ในการจับเวลาด้วยแอพ i-Bolid 0-100 ทดสอบรวมทั้งสิ้น 3 ครั้ง ได้เวลาออกมาดังนี้
- ครั้งที่ 1 : 9.30 วินาที
- ครั้งที่ 2 : 9.67 วินาที
- ครั้งที่ 3 : 9.16 วินาที
- เฉลี่ย : 9.38 วินาที
ถ้าดูที่ตัวเครื่องยนต์ 1.3 Turbo เทียบกับไซส์รถขนาดนี้ ได้อัตราเร่ง 0-100 ไม่เกิน 10 วินาที สำหรับผมถือว่าดีแล้วนะครับ โดยเฉพาะกับตัวรถที่เป็นสไตล์ SUV อเนกประสงค์แบบนี้ ได้เท่านี้ก็แพ้ใครยากแล้วครับ
กลับมาสุดท้ายที่ตัวอัตราประหยัด ที่ผมแบ่งเป็น 2 ส่วนเช่นเคย โดยส่วนแรกเป็นการใช้งานในเมืองเป็นหลัก ใช้งานในชีวิตประจำวัน มีรถติดมาก ติดน้อย วิ่งได้ดี วิ่งได้ช้าสลับกันไป ใช้ระยะทางในการทดสอบที่ 122 กิโลเมตร ด้วยอัตราความเร็วเฉลี่ยที่ 22 กม./ชม. ได้อัตราตามหน้าจอมาที่ 10.4 ลิตร/100 กิโลเมตร แปลออกมาเป็นอัตราที่เราคุ้นเคยได้ที่ 9.6 กิโลเมตร/ลิตร ถ้าถามผม ผมว่าออกไปทางกิเยอะไปเล็กน้อย แต่ถ้าแลกกับความสนุกที่ได้ในระหว่าการขับขี่ ก็ถือว่าคุ้มค่าพอตัวทีเดียว
ทีนี้พอขยับมาลองแบบกันยาว ๆ ดูบ้าง โดยใช้เส้นทางมอเตอร์เวย์ มุ่งหน้าจากแถวสุวรรณภูมิมุ่งหน้าไปพัทยา ใช้ระยะทางประมาณ 79 กิโลเมตร วิ่งแบบตรงยาวด้วยความเร็วเฉลี่ย 90 กม./ชม. ได้อัตราที่หน้าจอมาที่ 7.0 ลิตร/100 กิโลเมตร แปลงออกมาแบบที่เราคุ้นเคยได้ที่ 14.2 กิโลเมตร/ลิตร ถือว่าใช้ได้อยู่ครับ ไม่ได้ถึงกับแต่ แต่ก็ไม่ได้ดีมากเท่าไหร่ เอาน่า ขับรถในเกรดหรูแบบนี้ กินเท่านี้ถือว่าคุ้มแล้วล่ะครับ
อยู่ด้วยกันประมาณ 5 วัน บทสรุปส่วนตัวผมได้แบบนี้ครับ
ชอบ
- เครื่องเล็กแต่ทรงพลัง ขับในเมืองมันมาก
- เกียร์ DCT ทำงานดี ส่งกำลังได้ต่อเนื่องดีมาก
ไม่ชอบ
- ช่วงล่างกระด้างเกินไปสำหรับคนวัยอย่างผม
ด้วยราคาค่าตัวถูกที่สุด ณ วันนี้ ที่เมอร์เซเดส-เบนซ์มีวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ Mercedes-Benz GLA200 Progressive ในราคา 2,320,000 บาท ถ้าถามว่าคุ้มค่าไหม ในการเอื้อมขึ้นไปจับรถหรู ถ้าส่วนตัวผมเอง ผมคงไม่คุ้ม เพราะราคานี้ส่วนตัวผมต้องเป็นรถคันเดียวในบ้าน แล้วบ้านผมคนเยอะ คงไม่น่าจะนั่งกันไหว แต่ถ้าบ้านไหนอยากหารถคันที่ 2 หรือที่บ้านมีอยู่คนเดียวหรือ 2-3 คน ผมว่าก็น่าสนใจอย่างมากครับ ขยับจากตัวท็อปรถญี่ปุ่นไปอีกนิดเดียว ได้ความสนุก ได้ความคล่องตัว และยังได้ความเกรงใจจากท่านผู้ดูแลอาคารหรือสถานที่จอดรถต่าง ๆ มากกว่ายี่ห้ออื่นอย่างแน่นอนครับ
ทดสอบและเรียบเรียงโดย EARTHPARK02
ติดตามข่าวสารรถยนต์รวดเร็วก่อนใครได้ที่ AUTODEFT.com