Full Drive : Mitsubishi Attrage GLX A/T ..เท่ห์ก็ได้ ประหยัดก็เยี่ยม
- โดย : Autodeft
- 20 พ.ย. 56 00:00
- 18,517 อ่าน
ในที่สุดก็ถึงคิวแล้วกับการทดสอบรถอีโค่คาร์ซีดานจากค่าย Mitsubishi กับ รถ Mitsubishi Attrage
หากจะกล่าวถึงรถยนต์ “อีโค่คาร์” เราหลายคน คงมักจะต้องนึกถึงรถยนต์นั่งสุดถูกที่มีความคับแคบ ขับสมรรถนะก็งั้นๆ ทั้งที่จริง มันมีอะไรมากกว่า และตั้งแต่ที่ Mitsubishi เริ่มเข้ามาทำตลาดในรถยนต์อีโค่คาร์ เริ่มจาก Mitsubishi Mirage มันก็มาพร้อมคำว่า Be More หรือให้อะไรที่มากกว่าแล้ว ปีนี้พวกเขากลับมาพร้อม คำว่า Be Beyond ใน Mitsubishi Attrage มันก็น่าจะต้องไม่ธรรมดา จริงไหม ??
ตั้งแต่เปิดตัวออกมาอย่างเป็นทางการ Mitsubishi Attrage ก็เป็นรถยนต์ที่เรียกว่าจัดเต็มมากๆ ในเรื่องของออพชั่น ย้อนกลับเมื่อครั้นที่เราได้ ขับในการทดสอบ กลุ่มมันก็สร้างความประทับใจได้ไม่น้อย แต่ครั้งนั้น ยังมีหลายสิ่งที่ขาดอย่าง โดยเฉพาะ การที่เราไม่ได้สัมผัส ในรุ่นเกียร์อัตโนมัติ ซึ่งคาดว่าหลายคน น่าจะถวิลหา ก็ทำให้เราต้องย้อนกลับมาที่ค่าย ทรีไดมอนด์กันอีกครั้งหนึ่ง
การขับครั้งนี้เป็นครั้ง ที่ 3 หลังจากที่ก่อนหน้านี้ เรามี Exclusive ไป 1 ครั้ง ขับ เกียร์ธรรมดา ไปอีก และครั้งนี้ก็กลับมายัง ณ ทุ่งรังสิตอีกครั้ง โชคดีที่เราขับในรุ่นธรรมดาไปหลายรอบแล้ว ครั้งนี้ เมื่อ (ป้า) เอ้ย!! พี่ฝน ยื่นกุญแจให้ แม้เจ้ากุญแจธรรมดา นี้ จะเป็นของ Mitsubishi Attrage เหมือนที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี แต่นี่เป็นรุ่นพิเศษที่มีการจัดแต่งเต็มครับ เรียกว่าหล่อตั้งแต่แรกเห็น
หล่อโดนใจ คุณ เองก็เลือกได้
เชื่อว่าหลายคนน่าจะชินตาแล้วกับ Mitsubishi Attrage บนถนน เจ้ารถยนต์อีโค่คาร์ 4 ประตู รุ่นล่าสุด ที่มาพร้อมการออกแบบที่ทันสมัย ตั้งแต่แรกเห็น การผสานการออกแบบที่ดูให้มีความหรูหรา กลับมาความสปอร์ตที่มีอยู่แต่ดั้งเดิมใน Mitsubishi Mirage ก็ทำให้มันดูแตกต่างมากขึ้นจากเดิม
ใบหน้าที่มาพร้อมกระหน้าหน้า ทรงกึ่ง 5 เหลี่ยมโครเมี่ยม เป็นเอกลักษณ์ ที่ดูโดดเด่นมากของ Mitsubishi Attarge ที่ไม่ว่าไปไหนมาไหน ใครก็น่าจะจำได้ได้ แต่ก็ยังไม่ดูไม่ลงตัว แม้จะผ่านตามามากแล้วก็ตามที การออกแบบเน้นการสอดรับเข้ากับไฟหน้า รวมถึงกันชนหน้า ที่ยังคงเป็นชิ้นเดียวแบบเดียวกับใน Mirage เพียงแต่ในครั้งนี้ปรับให้มันดูหรูมากขึ้น
เส้นสายทางด้านหน้าถูกทำให้ทันสมัย โยนสู่ด้านข้างที่ดูดีต่อเนื่องสู่ด้านหลัง ที่ทำออกมาได้อย่างลงตัวกับไฟท้ายที่ลงตัว มีมนต์เสน่ห์ในการออกแบบ มีความกลมกลืนในความสปอร์ตที่สามารถเห็นได้ที่ฝากระโปรงที่ทำอกมาในลักษณ์ Lip Spoiler ในตัว
ทั้งหมดที่พูดมาอยู่ในเรือนร่างยาว 4,245 ม.ม. กว้าง 1,670 ม.ม. และสูง 1,515 ม.ม. มาพร้อมฐานล้อยาว 2,550 ม.ม. แต่แม้จะมีความเป็นเก๋ง ก็ยังมีระยะต่ำสุดห่างจากพื้นถึง 170 ม.ม.
ถ้าคุณว่ารถทดสอบ Mitsubishi Attarge คันที่วันนี้นำขับมันดูแปลกไปแล้วก็ คิดถูกแล้ว อย่างที่บอกว่า งวดนี้เป็นอีกครั้งที่เราได้ขับในตัวพิเศษ ซึ่งเป็นตัวที่แต่งเอาไว้โชว์ แต่ของแต่งเหล่านี้สามารถหาซื้อได้ที่โชว์รูม Mitsubishi ใกล้บ้าน เริ่มตั้งแต่การเพิ่มชุดชายกันชนหน้า ที่มาในราคา 4,900 บาท เช่นเดียวกับชุดชายกันชนหลัง ในราคาเดียวกัน แต่ทางด้านหน้ายังมาพร้อมไฟ Day Time Running Light ที่เคาะขายในราคา 4,950 บาท
ด้านข้างมีชุดสเกิร์ตข้าง ทั้งซ้ายและขวา ถัวรวมแล้ว ราคา 7,100 บาท แล้วเติมสปอร์ยเลอร์หลังงอกเพิ่มอีกหน่อยในสไตล์ที่ชาวซิ่งชอบเรียกว่า “ตูดเป็ด” ในราคาที่สามารถคบหาได้ 4,380 บาท
เมื่อรวมแล้ว Mitsubishi Attrage GLX สุดหล่อคันนี้ มีมูลค่าของแต่งเพิ่มอีกกว่า 26,230 บาท เหลือเพียงชุดล้อที่ต้องเปลี่ยนก็หล่อครบองค์ในสไตล์หรู ที่ดูไม่เลอะเทอะ และมีราคาในแบบสปอร์ตหรู
ภายในกว้างขวางสบายเหมือนเดิม
หลายครั้งที่เราพบ Mitsubishi Attrage สิ่งที่เราพบและยังชื่นชมอย่างมากคงไม่มีอะไรมากกว่าภายในห้องโดยสาร ที่ดูดีมากพอสมควรเลยทีเดียว อันที่จริง การใช้การตบแต่งห้องโดยสารภายในด้วยโทนสีดำ อาจจะขัดแย้งภายนอกที่ดูหรูหรา ซึ่งน่าจะเป็นโทนสีเบจมากกว่า
การนั่งตอนหน้าในที่คนขับไม่ใช่ปัญหา สำหรับมนุษย์ยักษ์ไซส์ฝรั่ง สามารถปรับเบาะได้ย่างพอดี พวงมาลัยของ Mitsubishi Attrage สามารถปรับขึ้นลงได้ ตรงหน้าคนขับมาพร้อมเรือนไมล์แบบสปอร์ต และ ตรงคอนโซลกลาง ชุดคันเกียร์แบบขั้นบันได ช่วยให้เข้าใจง่ายและมันมาพร้อมวัสดุแบบ Paino Black ดูเพิ่มค่ามากขึ้น
ที่นั่งตอนหลังเอง นั่งได้อย่างสบายตัว แม้จะปรับเบาะตามท่านั่งจริง ระยะวางขามีให้พอยืดเล่นได้นิดหน่อย พื้นที่เหนือหัวก็ดีมากพอที่จะต้องพูดว่าเหนือกว่าคู่แข่งบางรุ่น แต่การขึ้นลงสำหรับคนตัวใหญ่ยังต้องขยักเอี้ยวตัวนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้มากมายจนกลายเป็นปัญหาต่อการขึ้นลง
แต่ให้ตายเถอะ เมื่อเหลียวมองไปรอบๆคันที่มาพร้อมความดำหมดทั้งห้องโดยสาร ไม่แปลกใจที่หลายคนรู้สึกว่ามันเล็กกว่าคู่แข่ง ทั้งที่กลับทำได้ดีกว่า ในหลายๆเรื่อง
สมรรถนะยังเยี่ยม ...ขุมพลังประหยัดเร้าใจ
ด้วยความเป็นรถยนต์ในรุ่น GLX ,Mitsubishi Attrage ที่ทดสอบในครั้งนี้ จึงน่าจะเป็นรุ่นที่คนจำนวนมากตัดสินใจคบหากันมาก เพราะราคาไม่แรง สำหรับคนที่ไม่ต้องการออพชั่นอะไรมากมาย แค่อยากมีรถไว้ใช้เท่านั้น
การบิดกุญแจสตาร์ท เริ่มการเดินทางเราก็ได้เวลาพิสูจน์ Mitsubishi Attrage ใหม่ ซึ่งในแง่หนึ่งรถอีโค่คาร์มักเป็นรถที่ขับขี่ในเมืองมากกว่า เราจึงสลับการทดสอบเล็กน้อย โดยให้ความสำคัญในการเดินทางนอกเมืองน้อยลง และเน้นการทดสอบในเมืองมากกว่า และเป็นครั้งแรกที่ทำแบบนี้ เพื่อให้เหมาะสมกับรถที่เรานำมาทดสอบ
เส้นทางการทดสอบไม่เจาะจง จึงเป็นโอกาสที่เราจะเลี้ยวออกจาก Mitsubishi แล้วขับเรื่อยเปื่อยไปตาม ถนนวิภาวดีรังสิต เลี้ยวไปแวะทานก๋วยเตี๋ยวเรืออยุธยา แล้ววกกลับเข้าเมือง ระหว่างการการขับขี่ใช้ความเร็วตามปกติทั่วไป 100-120 ก.ม./ช.ม.
ช่วงบนทางหลวงยาวๆ Mitsubishi Attarge ให้ความลงตัวมากในเรื่องสุนทรีย์การขับขี่ จริงยู่ที่มันอาจจะเกิดมาเป็นอีโค่คาร์ แต่สมรรนถะการขับขี่ถ้าไม่นับว่ามันเป็นรถยนต์ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ 1.2 ลิตร ก็แทบจะดีกว่าคู่แข่งในหลายๆ ข้อ
เรื่องแรกที่ทำได้ดีมากและยังคงเป็นสิ่งที่ผมชมมิตซูบิชิมาตลอด ก็คงไม่พ้นระบบกันสะเทือนที่เซทออกมาได้ลงตัว หากในมุมหนึ่ง Mitsubishi Mirage เป็นรถที่เกิดมาเพื่อตัวตนในความสปอร์ต ในมุมของ Mitsubishi Attrage มันก็คงมาในเรื่องความมั่นใจแบบตัวหรู
อาจจะเป็นโชคดีที่ผู้เขียนสามารถบรรยายระบบกันสะเทือนได้มาก เนื่องจากรถส่วนตัว...เอ่อ ที่จริงก็รถคุณแฟนนั่นแหละ เป็น Mitsubishi Mirage การขับบ่อย ทำให้มีชั่วโมงบินสูง จนพอจะบอกได้ว่า Mitsubishi Attrage มีการปรับเซทใหม่ การให้ความรู้สึกนุ่มหนึบ ช่วยเพิ่มความรู้สึกของความเป็นรถยนต์นั่ง ที่ชัดเจนมาก ก็คงเป็นชุดสปริงหลัง ที่สามารถยืนยันได้เลยว่ามันมีการปรับใหม่อย่างไม่ต้องสงสัย ทำให้ วลาผ่านผิวถนนที่แม้จะซังกะบ๊วยแค่ไหน แต่คุณก็จะไม่รู้สึกกระเด้งไปมาแบบช่วงล่างสปอร์ต
การเซทรถแบบนี้ นอกจากข้อดีในแง่ความสบายในการนั่งโดยสารแล้ว ยังช่วยให้การใช้ความเร็วสูงมั่นใจได้ แถมยังเพิ่มกันโคลงเข้ามาที่ระบบกันสะเทือนแม็คเฟอร์สันสตรัททางด้านหน้า ทำให้รถลดอาการสะบัดนิ่งเนียนอย่างชัดเจน ยิ่งตอนขับสักความเร็ว 100 ก.ม./ช.ม.จะสังเกตได้ชัดเจน ถึงการเข้าโค้งก็นิ่งกว่าพอสมควร ด้วยซ้ำไป
ตัวพวงมาลัยเองมีการปรับให้มีความหนืดในจังหวะเปลี่ยนทิศทางเล็กน้อย และเพิ่มระยะฟรีอีกนิดหน่อย เพื่อให้ความสมบูรณ์แบบมากขึ้นในความเป็นรถยนต์นั่ง แต่ในขณะที่โครงสร้างตัวถัง Mitsubishi Attrage มีความเบา แบบรถอีโค่คาร์ พิกัดเพีย ง 915 ก.ก.ก็เลยยังประสบปัญหาเวลาเจอลมพัดสอบด้านข้างบนทางด่วน ท้ายรถจะไหลเล็กน้อย ถ้าลมแรงปะทะ จะรู้สึกได้ถึงอาการท้ายเป๋ไปบ้าง แต่ไม่ต้องกังวล ถือพวงมาลัยให้แน่น แล้วทุกอย่างจะดีเอง
ทางด้านเครื่องยนต์ 3A92 ขุมพลัง 3 สูบ ที่กลับมาสถิตอีกครั้งใต้ฝากระโปรง Mitsubishi Attrage ยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของกลไก เมื่อเทียบกับ Mitsubishi Mirage มันยังคงเป็นขุมพลังบล็อก 1.2 ลิตร เหมือนเดิม ให้กำลังสูงสุด 78 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที และให้แรงบิดสูงสุด 100 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที ยังร่วมหัวจมท้ายกับชุดเกียร์ CVT 7 สปีด จาก Jatco เช่นเดิม ให้อัตราทด 4.007 – 0.550 ส่งลงเฟืองท้าย 3.757 ขับง่ายเลี้ยงคันเร่ง ก็พอจะให้ทั้งสมรรถนะและความประหยัด
หลายคนมักกังขาว่า แล้วเครื่องยนต์บล็อกเล็กกับเรือนร่างขนาดใหญ่กว่า Mirage ใน Mitsubishi Attrage จะไปไหวหรอ ยิ่งบอลบอกว่า นี่เครื่องยนต์ไม่ได้สับกระโปกโยกย้ายอะไรเพิ่มเติมเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
แต่นี่แหละเป็นเรื่องที่อัศจรรย์อย่างมากของ Mitsubishi Attrage เพราะ เจ้าเครื่องยนต์ 3 สูบบล็อกนี้ สามารถตอบสนองได้อย่างไม่น่าเชื่อ อัตราเร่งต่างๆ ค่อนข้างใกล้เคียงกับมิราจ ช่วงระหว่างทางผมได้ลองทดสอบ 80-120 ก.ม./ช.ม. ดู 3 ครั้ง ได้เวลา 11.00,10.01 และ 11.60 วินาที บนพื้นลาดยาง ซึ่งจะว่าไปเวลาขนาดนี้ก็ไม่ได้ขี้เหร่สำหรับอีโค่คาร์ แถมยังใกล้เคียงรถซิตี้คาร์ 4 ประตูบางรุ่นด้วยซ้ำไป
สิ่งที่แตกต่างไปในเรื่องเครื่องยนต์กลไกลที่พอสังเกตได้ คือการเซทระบบเกียร์ให้ตอบสนองได้ดีขึ้น ชุดเกียร์ CVT แม้จะใช้อัตราทดและเฟืองท้ายเดียวกัน แต่ เชื่อว่าน่าจะมีการปรับในส่วนของระบบควบคุมชุดเกียร์ใหม่ ซึ่งเน้นการขึ้นเกียร์ที่ค่อนข้างเร็วกว่า และลากรอบน้อยกว่าอย่างชัดเจน
ส่งผลให้ในทางยาวมันจะมีความประหยัดน้ำมันมากขึ้น ด้วยการขึ้นอัตราทดที่เร็วกว่า ซึ่งระหว่างทางมีโอกาส มองการทำงานรอบเครื่องยนต์อยู่บ้าง ที่ความเร็ว 100 ก.ม./ช.ม. Mitsubishi Attrage ทำงานด้วยรอบเครื่องยนต์ 2200 รอบต่อนาที และ ที่ความเร็ว 120 ก.ม./ช.ม. ก็ใช้รอบเครื่องยนต์เพียง 2600 รอบต่อนาที และไฟ ECO จะติดถึงความเร็ว 130 ก.ม./ช.ม. ท้ายสุดยังลองทำความเร็วสูงสุด ได้ 174 ก.ม./ช.ม. แต่รถเบาขนาดนี้ เหยียบแค่ 160 ก.ม./ช.ม. ก็แทบบินแล้ว .. ครับนาย ..
การขับขี่นอกเมืองทั้งหมด เราจบที่ระยะทางที่ 118.1 ก.ม. และ เราเติมน้ำมันกลับเข้าไปด้วย แก๊สโซฮอลล์ 91 เพียง 7.78 ลิตร ซึ่งเมื่อเคาะเครื่องคิดเลขแล้ว ทำอัตราประหยัดไว้ที่ 15.1 ก.ม./ลิตร
ในเมืองยอดเยี่ยม นิ่งเนียนๆ ..สนุกเร้าใจ
ด้วยความเป็นรถยนต์นั่งอีโค่คาร์ การทดสอบ Mitsubishi Attrage เราจึงเน้นที่การขับขี่ในเมืองมากกว่า ซึ่งถนนรถติด ทางแคบๆ จะเป็นโจทย์ทดสอบ ที่จะตบผู้ซื้อได้ดีที่สุ เพราหลายคนคงเล็งว่า “สักวัน ฉันจะหารถเล็กเข้าเมือง”
การทดสอบในการขับขี่ในเมืองนี้ 3 วันที่ผมไม่ต้อง้อเจ้า เต่าแดง- Mitsubishi Mirage ของคุณแฟน แล้ว นำ Mitsubishi Attrage มาแทนที่ข้างกาย ถึงจะเป็นห้วงเวลาที่ต้องยอมรับว่า ค่อนข้างสั้น เพราขับกันเอาน้ำมันหมดถังจริงๆ อาจจะใช้เวลาสัปดาห์โดยประมาณ แต่ก็น่าจะพอบอกได้ว่า Attrage ก็มีดีไม่น้อยหน้ารถซีดาน 4 ประตูคันอื่น
ช่วงการขับขี่ในเมืองความเร็วคงไม่ใช่ประเด็นสำคัญมากมายนัก เมื่อนับว่าทุกวันนี้หันไปทางไหน รถก็ติดไปทั่วทุกสารทิศ ซึ่งในการขับขี่ภายในเมือง เป็นการใช้ความเร็วต่ำ กับการผสานความคล่องตัว เป็นสำคัญ
ต้องพูดกันตามตรงว่า Mitsubishi Attrage เป็นรถที่เกิดขึ้นมาภายใต้แนวคิดที่ทาง Mitsubishi เคยแอบกระซิบมาว่า พวกเขาเตรียมที่จะเตะตัดขาพวกซิตี้คาร์ 1.5 ลิตร ซึ่ง ถ้าวัดตามขนาดตัวถัง มันก็มีความใกล้เคียงกัน เพียงแต่ใช้เครื่องยนต์เล็กกว่า
แต่เจ้าขนาดที่ว่านี่แหละ ได้กลายมาเป็นหอกข้างแคร่เมื่อมันเป็นเครื่องยนต์ 1.2 ลิตร เมื่อมันมีกำลังน้อยกว่า ทำให้ การออกตัวสลับหยุดนิ่งจะช้ากว่า ถ้าคุณขับรถแบบ กระดึ้บตามเพื่อนไปเรื่อยๆ คงไม่ใช่ปัญหา อะไร แต่ถ้าเมื่อใดที่ต้องอาศัย การช่วงชิงจังหวะ เช่นติองเร่งเพื่อเสียบ อะไรแบบนี้ จะเริ่มมีปัญหาบ้าง เพราะ ต้องตื้บคันเร่งยาวๆ แถมเกียร์ เองก็ฉลาดไม่ยอดตัดลงให้เพื่อให้ความประหยัดน้ำมันมากกว่าสมรรถนะ ทำให้หลายครั้งพบว่า ช่องที่เคยไปได้ ในรถขนาดเดียวกัน อาจจะเป็นไปไม่ได้สำหรับ Attrage อันเนื่องมากจากอัตราเร่งจากจุดหยุดนิ่ง
พูดถึงอัตราเร่ง จากจุดหยุดนิ่ง การทดสอบ 0-100 ก.ม./ช.ม. ก็สะกดใจขึ้นมาทัน หลังยามเย็นวันแรก เราแอบไปลองดูตัวเลข 0-100 ก.ม/ช.ม. ทดสอบด้วยApplication Torque OBD ล็อกผ่านดาวเทียม แล้วลองเร่ง 3 ครั้ง ได้เวลา 15.0,15.0 และ 16.7 บนถนน ลาดยางเช่นกัน
จากสถิติ ดังกล่าวชัดเจนว่า มันเร่งได้เทียบเท่าเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร และไม่น้อยหน้า และก็ยืนยันว่า ต้องปรับเซทเกียร์อีกหน่อย เพราะยังไม่เหมาะกับขับในเมืองที่ต้องการอัตราเร่ง ที่จริงทำโหมด มาให้กดก็ดีนะ.ขอแนะนำ ทีมงาน Mitsubishi
ทางด้านการควบคุมอย่างระบบพวงมาลัยเอง ทำออกมาได้ดีแล้ว น้ำหนักกำลังเหมาะมือในการขับขี่ในเมือง จังหวะควงก็ใช้ได้ ระยะรัศมีวงเลี้ยว 4.8 เมตร ถือว่ายังคล่องตัวมากกับการขับในเมืองเช่นนี้ แต่การตอบสนองที่ดี ยังมีบางจังหวะ ที่ทำงานไม่สัมพันธ์กับช่วงล่าง เนื่องจากรถมีฐานล้อที่ค่อนข้ายาว ทำให้ หลายครั้งจังหวะที่รีบหนีไฟแดง ตามนิสัยคนไทย แล้วตีเลี้ยวโค้ง แค่ที่ความเร็ว 60 ก.ม./ช.ม. ถ้าคุณหักพวงมาลัยเร็วเกินไป จะรู้สึกได้มันมีถึงอาการท้ายไหล ...แต่ก็ไม่ต้องตกใจไป อย่าได้แคร์ เดินคันเร่งต่อไป ทุกอย่างก็ปกติ
หลังจากขับมา 3 วัน 2 คืนในเขต เมืองต้องยอมรับในเรื่องความประหยัดของ Mitsubishi Attrage ที่น้ำมันลดลงไปค่อนข้างน้อยมาก ยิ่งเมือเทียบกับ Mirage ที่เน้นปรู๊ดปราดคล่องมือในเมืองมากกว่า และเมื่อได้เวลาส่งคืนเจ้าของ เราก็ดูอัตราประหยัดสุดท้าย เราวิ่งมาแล้วในเมืองกว่า 151 ก.ม. และยังสามารถขับได้อีก 320 ก.ม. จากที่แจ้ง บนหน้าปัด ถังน้ำมันมีขนาด 42 ลิตร เราได้ตัวเลขในเมืองที่ 11.2 ก.ม./ลิตร ถือว่าสมน้ำสมเนื้อ
สรุป….ในเมืองต้องปรับเกียร์ ...นอกเมืองเจ๋งกว่าเสียงั้น
ในภาพรวมแล้ว Mitsubishi Attrage ใหม่ ค่อนข้างที่จะลงตัวมากในเรื่องการขับขี่ ความสะดวกสบาย ที่เด่นสุดจนหลายคนตารุกวาว คงเป็นราคากับออพชั่นที่ให้ ซึ่งส่วนตัวยอมรับว่ามันเป็นจุดแข็งของรถคันนี้พอสมควร
แม้สมรรถนะจะดี แต่ก็ยังมีบางเรื่องที่ต้องพิจารณาปรับปรุงกันต่อไป ประการแรก คือการขับขี่ในเมืองที่อาจจะจำเป็นต้องการอัตราเร่งเครื่องยนต์มากกว่านี้ ในใจระหว่างขับก็คิด เออสงสัยจะเพิ่มกำลังเครื่องยนต์เขาคงกลัวสาวก Mirage น้อยใจ ว่าทำไม 4 ประตู มีกำลังมากว่า ทั้งที่การเพิ่มแรงม้า อีก 5 ตัว ก็พอจะทำให้มีแรงบิดมากขึ้นตามไป ด้วย จะว่าไปเป็นเรื่องของมลพิษก็อาจจะใช่ เช่นกัน
จับอัตราเร่ง ดีที่สุดใน Mitsubishi Attrage
อัตราเบรก 100-0 ใน Mitsubishi Attrage
ประเด็นเรื่องอัตราเร่งในเมืองนี้เป็นสิ่งที่ค่อนข้างสำคัญใน Mitsubishi Attrage แต่ต้องบอกก่อนว่า ไม่ได้ส่งเสริมให้มุดแทรกแหวกหาช่องลงรู เพียงแต่ในบางจังหวะที่ต้องทำ มันก็จำเป็น ซึ่งปัญหาไม่ได้อยู่ที่เครื่องยนต์ แต่อยู่ที่ระบบควบคุมชุดเกียร์ หรือ ECU Automatic transmission เจ้า Invect III ซึ่งคงมีการปรับแมพการทดเกียร์ให้เหมาะสม กับขนาดและพิกัดของรถ ซึ่งถ้าปรับให้จี๊ดกว่านี้ในเมืองการขับขี่ก็จะเพอร์เฟค สำหรับรถเครื่องยนต์ 1.2 ลิตร
ณ วันนี้หลังจากได้ทดสอบ Mitsubishi Attrage เต็มๆแล้ว ขอตอบ คำถามที่ พี่เติ้ง ฝ่าย Product Planning ของ Mitsubishi เคยเอ่ยถามผม เมื่อช่วงกลางปีว่า “ถ้าเราจะปีนเกลียวสู้ ซิตี้คาร์ซีดาน 1.5 ลิตร จะไหว หรือไม่”
ในวันนี้ ที่ผมได้ขับเต็มๆ ที่จริง น่าจะเรียกว่าขับมากจนพอจะเป็นรถตัวเองอีกคัน ก็ยอมรับว่าไหว !! แน่นอน เหมาะมาก สำหรับคนที่ต้องการรถยนต์นั่งที่มีขนาดกำลังดี แม้จะมีขนาดย่อมกว่าเล็กน้อยกว่าซิตี้คาร์ 1.5 ลิตร แต่ในแง่ สมรรถนะการขับขี่ ออพชั่น หรือราคา มันลงตัวและตอบโจทย์ดีแล้ว ส่วนการออกแบบก็น่าต้องแล้วแต่ลูกค้าชอบแล้วล่ะ
สุดท้ายนี้ .. ถ้าวันนี้เพื่อนๆ พี่น้องผู้อ่านคนไหน กำลังมองหารถซิตี้คาร์ 4 ประตู อยากได้ทั้งสมรรถนะและความประหยัดในการขับขี่ .. Mitsubishi Attrage เป็นอีกตัวเลือกที่ไม่ควรจะมองข้าม ..แม้มันจะเป็นแค่อีโค่คาร์ ก็ตามที
เรื่องและขับทดสอบ โดย ณัฐยศ ชูบรรจง
ผลการทดสอบ Mitsubishi Attrage GLX
การทำงานของเครื่องยนต์
ความเร็วในการขับขี่ (ก.ม./ช.ม.) |
รอบเครื่องยนต์ |
80 |
1800 |
90 |
2000 |
100 |
2200 |
110 |
2400 |
120 |
2600 |
สถิติอัตราเร่ง สอบด้วย Torque OBD
|
|
|
|
เฉลี่ย |
0-100 ก.ม./ช.ม. |
15.00 |
15.00 |
16.70 |
15.57 |
80-120 ก.ม./ช.ม. |
11.00 |
10.10 |
11.60 |
10.90 |
ความเร็วสูงสุดในการทดสอบ 174 ก.ม./ช.ม.
อัตราประหยัดน้ำมัน
ในเมือง |
11.2 ก.ม./ลิตร |
นอกเมือง |
15.1 ก.ม./ลิตร |
เรื่องและขับทดสอบ โดย ณัฐยศ ชูบรรจง
ขอบคุณรถทดสอบ Mitsubishi Attrage GLX จาก บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด
ขอบคุณ คุณ ณัชสุภัทร เหมธัญ พี่ฝน ที่อำนสวยความสะดวกและข้อมูลของรถทดสอบ Mitsubishi Attrage GLX
Deft Drive …. Full Review Next Program – Subaru XV
[GALLERY121]
ติดตามข่าวสารรถยนต์รวดเร็วก่อนใครได้ที่ AUTODEFT.com