ปิดตำนาน! Honda เตรียมหยุดขาย Civic Type R ในยุโรปปี 2026 ส่งรุ่นพิเศษ Ultimate Edition ลาตลาด
- โดย : พิสน ลีละหุต
- 9 มิ.ย. 68 07:28
- 1,013 อ่าน
Honda Civic Type R รถแฮตช์แบ็กสายซิ่งระดับตำนาน เตรียมโบกมือลาตลาดยุโรปภายในปี 2026 หลังไม่ผ่านมาตรฐานมลพิษใหม่ที่เข้มงวดขึ้นในภูมิภาค โดยล่าสุด ฮอนด้าได้ประกาศเปิดตัวรุ่นพิเศษ Civic Type R Ultimate Edition จำนวนจำกัดเพียง 40 คัน เพื่อปิดฉากรุ่นที่ 6 อย่างสมศักดิ์ศรี
Civic Type R Ultimate Edition รุ่นล่ำลา พร้อมของแถมสุดพรีเมียม
สำหรับ Civic Type R Ultimate Edition ถูกตกแต่งด้วยสีขาว Championship White คู่กับหลังคาดำ และแถบลายเส้นสีแดงตัดขอบฝากระโปรงและด้านข้างรถ พร้อมเพิ่มความพิเศษด้วยวัสดุ คาร์บอนไฟเบอร์ บริเวณสปอยเลอร์หลัง, ชายบันได และคอนโซลกลาง
ภายในเพิ่มแสงไฟ Ambient Light เน้นบริเวณซุ้มประตู, ที่วางแก้ว, ช่องวางเท้า, คอนโซลกลาง และใต้เบาะ รวมถึงไฟพื้นโลโก้ Type R และพรมปูพื้นลายเฉพาะ
ลูกค้าที่ได้ครอบครองหนึ่งใน 40 คัน จะได้รับกล่องของขวัญสุดพิเศษ ประกอบด้วย โล่หมายเลขประจำคัน, พวงกุญแจคาร์บอน และผ้าคลุมรถเฉพาะรุ่น
เครื่องยนต์ยังทรงพลัง แม้ยังไม่มีการยืนยันว่าปรับจูนใหม่
แม้ฮอนด้าจะยังไม่ยืนยันว่ามีการปรับจูนเครื่องยนต์เพิ่มเติมหรือไม่ แต่ Civic Type R รุ่นมาตรฐานมาพร้อมเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร ให้กำลัง 243 แรงม้า และแรงบิด 420 นิวตันเมตร สำหรับรุ่นยุโรป
ในตลาดออสเตรเลีย รุ่นเดียวกันถูกลดกำลังลงเหลือ 235 kW แต่ยังคงแรงบิดเท่าเดิม โดยทั้งหมดขับเคลื่อนล้อหน้าผ่านเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ และมีอัตราสิ้นเปลืองประมาณ 8.9 ลิตร/100 กม.
ตลาดอื่นยังขายต่อ รวมถึงออสเตรเลีย แต่ถอดสี Rally Red
แม้ยุโรปจะต้องกล่าวลา Civic Type R แต่ในตลาดอื่นอย่าง ออสเตรเลีย รถรุ่นนี้ยังคงวางจำหน่ายอยู่ในขณะนี้ โดยมีแผนอัปเดตภายในปี 2025 ซึ่งหนึ่งในความเปลี่ยนแปลงคือการถอด สีแดง Rally Red ออก และเพิ่มตัวเลือกสีใหม่ Racing Blue แทน
ทาง Honda Australia ยังไม่ให้ความเห็นเกี่ยวกับอนาคตของ Civic Type R ในระยะยาว
Civic Type R กับรากเหง้าในอังกฤษ
แม้ปัจจุบัน Civic Type R รุ่นที่ 6 จะผลิตจากญี่ปุ่น แต่ในอดีต 3 เจเนอเรชันก่อนหน้านี้ รวมถึงรุ่น EP3 เคยถูกผลิตจากโรงงาน Swindon ประเทศอังกฤษ ซึ่งถือเป็นแหล่งผลิตสำคัญก่อนที่โรงงานจะถูกปิดตัวลงเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2021 หลังผลประชามติ Brexit ทำให้ต้นทุนการปรับโรงงานสูงขึ้นจนไม่คุ้มค่าต่อการผลิตรถไฟฟ้าในอนาคต
ข้อมูลจาก Drive
ติดตามข่าวสารรถยนต์รวดเร็วก่อนใครได้ที่ AUTODEFT.com