การเปลี่ยนสู่ยุครถไฟฟ้าในสหภาพยุโรปอาจใช้เวลาหลายทศวรรษ เพราะปัจจุบันยังมีสัดส่วนรถ EV แค่ 1.8%

  • โดย : พิสน ลีละหุต
  • 5 ก.พ. 68 12:01
  • 2,207 อ่าน

สหภาพยุโรป (EU) ยังคงยืนยันนโยบายห้ามขายรถยนต์ใหม่ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในปี 2035 อย่างไรก็ตาม ผู้ขับขี่ยังสามารถใช้รถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงได้ต่อไป และตัวเลขล่าสุดชี้ให้เห็นว่าการเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) อย่างสมบูรณ์อาจต้องใช้เวลาอีกหลายทศวรรษ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าที่มีอยู่ในปัจจุบันซึ่งยังคงเป็นเพียงส่วนเล็กน้อยของรถยนต์ทั้งหมดในยุโรป

EV

ข้อมูลจากสมาคมผู้ผลิตยานยนต์ยุโรป (ACEA) ระบุว่าในปี 2023 มีรถยนต์ทั้งหมดเกือบ 249 ล้านคันบนท้องถนนในสหภาพยุโรป แต่มีเพียง 1.8% เท่านั้นที่เป็นรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด (EV) และเมื่อรวมรถปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) ที่มีช่องเสียบปลั๊กชาร์จด้วย จำนวนรถยนต์ที่สามารถชาร์จไฟได้ก็ยังคงคิดเป็นเพียง 3.9% ของรถยนต์ทั้งหมดใน EU เท่านั้น

แม้ว่าหลายประเทศในยุโรปจะมีการสนับสนุนจากรัฐบาลผ่านมาตรการจูงใจต่าง ๆ เช่น การลดภาษีและสิทธิประโยชน์อื่น ๆ เพื่อส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า แต่การเติบโตของตลาด EV ยังคงช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ นอกจากนี้ ราคารถยนต์ใหม่ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคยังคงใช้รถยนต์เก่าต่อไป โดยอายุเฉลี่ยของรถยนต์ใน EU อยู่ที่ 12.5 ปี โดยกรีซมีอายุรถยนต์เฉลี่ยสูงสุดที่ 17.5 ปี ในขณะที่ลักเซมเบิร์กมีอายุรถยนต์เฉลี่ยน้อยที่สุดที่เพียง 8 ปี

ในปี 2023 สหภาพยุโรปมีรถยนต์ทั้งหมด 248,824,542 คัน เพิ่มขึ้น 1.4% จากปีก่อนหน้า และหากรวมประเทศในสมาคมการค้าเสรียุโรป (EFTA) ซึ่งรวมถึงไอซ์แลนด์ นอร์เวย์ สวิตเซอร์แลนด์ และสหราชอาณาจักร จำนวนรถยนต์บนท้องถนนในยุโรปจะสูงถึง 294,480,894 คัน โดยอิตาลีเป็นประเทศที่มีความหนาแน่นของรถยนต์สูงที่สุดด้วยจำนวน 694 คันต่อประชากร 1,000 คน ในขณะที่ลัตเวียมีความหนาแน่นต่ำที่สุดที่ 381 คันต่อประชากร 1,000 คน

แม้ว่าสหภาพยุโรปจะตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้เหลือ 0 กรัมต่อกิโลเมตรภายในปี 2035 แต่ผู้ผลิตรถยนต์หลายรายกำลังเผชิญกับความท้าทายในการปฏิบัติตามมาตรฐานการปล่อยมลพิษที่เข้มงวดขึ้น โดยเฉพาะเมื่อกฎระเบียบใหม่มีผลบังคับใช้ในปีนี้ ซึ่งอาจทำให้บริษัทต่าง ๆ ต้องจ่ายค่าปรับมหาศาลหากไม่สามารถปฏิบัติตามได้ เช่น Volkswagen (VW) ที่แสดงความกังวลว่าอาจต้องจ่ายค่าปรับสูงถึง 1.5 พันล้านยูโรในปี 2025 หากเกินเกณฑ์ที่กำหนด

ในปี 2024 ส่วนแบ่งการตลาดของรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมดใน EU ลดลงเหลือ 13.6% จาก 14.6% ในปีก่อนหน้า ส่วนรถปลั๊กอินไฮบริดก็ลดลงจาก 7.7% เป็น 7.1% เช่นกัน แม้ว่าจะมีการเติบโตในบางประเทศ แต่ภาพรวมของตลาด EV ในยุโรปยังคงต้องเผชิญกับอุปสรรคหลายประการ ทั้งในด้านราคาและโครงสร้างพื้นฐานที่ยังไม่พร้อม

สรุปแล้ว แม้สหภาพยุโรปจะเดินหน้าสู่การห้ามขายรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในปี 2035 แต่การเปลี่ยนผ่านสู่รถยนต์ไฟฟ้าอย่างสมบูรณ์อาจต้องใช้เวลาอีกหลายทศวรรษ เนื่องจากผู้บริโภคยังคงให้ความสำคัญกับราคาและความคุ้มค่าในการใช้งาน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้รถยนต์เครื่องยนต์สันดาปยังคงครองตลาดต่อไปในอนาคตอันใกล้

ข้อมูลจาก Motor1

ติดตามข่าวสารรถยนต์รวดเร็วก่อนใครได้ที่ AUTODEFT.com

5 เรื่องน่าสนใจ