Test Drive : รีวิว ทดลองขับ 2021 Mercedes-AMG CLS 53 4MATIC+ สุดหล่อซาลูน สุดแรง สุดเฉียบ 435 แรงม้า

  • โดย : Autodeft
  • 12 ต.ค. 64
  • 14,132 อ่าน

ในกลุ่มรถแรงจากโรงงานที่มีอยู่จะมีแบรนด์จากโซนยุโรปหลายยี่ห้อโดยหนึ่งในนั้นมีแบรนด์ Mercedes-AMG ซับแบรนด์ชั้นยอดจาก Mercedes-Benz รวมอยู่ด้วยดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ผนวกการตกแต่งขั้นโหดที่หาตัวจับยากและขุมพลังที่เปลี่ยนบุคลิกของค่ายรถตราดาวผิดไปจากเดิมอย่างเหนือความคาดหมาย โดย Mercedes-AMG ที่จำหน่ายในไทยมีมากมายหลายรุ่นโดยทั้งแบบประกอบในประเทศ และ นำเข้าจากต่างประเทศ ให้เลือกกันมากมายถึง 15 รุ่นด้

Mercedes-AMG CLS 53

Mercedes-AMG CLS 53

หลังจากที่ผมได้รีวิวทดลองขับ Mercedes-AMG GLC 43 4MATIC Coupe ไปเมื่อปีที่แล้ว ปีนี้ กลับมาทดลองขับรถแรงจากค่ายตราดาวกันอีกครั้งครั้งนี้เป็นเก๋งซาลูนไร้กรอบกระจกที่เปิดตัวช่วงแรกเป็นรถนำเข้าเมื่อ 3 ปีก่อน และมาประกอบในประเทศในช่วงปี 2019 แถมเป็นรถยนต์ประกอบไทยลำดับ 3 กับ Mercedes-AMG CLS 53 4MATIC+ ที่เป็นการนำพื้นฐานของ Mercedes-Benz CLS รหัส C257 เจน 3 มาขัดเกลา ตกแต่ง ผสมให้เข้ากันจนกลายเป็นรถยนต์สมรรถนะสูงจากโรงงานที่น่ามองอย่างยิ่งโดยรุ่นที่ทดลองขับนั้นมีการปรับปรุงรายละเอียดเล็กน้อยไปตั้งแต่ปีที่แล้ว เข้มแต่งเร้าใจด้วยกระจังหน้าแบบแผงบังคับลมคู่สีเงินชุบโครเมี่ยม ปะตราดาวสามแฉกขนาดใหญ่ซ่อนกล้องมองภาพด้านหน้าเอาไว้ รับกับไฟหน้าแบบ MULTIBEAM LED with ULTRA RANGE Highbeam ที่มีคุณสมบัติพิเศษมากมายที่เหนือกว่าระบบไฟหน้า LED มาตรฐาน และระบบไฟส่องสว่างสำหรับสภาวะอากาศเลวร้าย ด้วยหลอด LED 84 หลอด พร้อมระบบปรับโคมไฟหน้ารถตามการเลี้ยวของพวงมาลัย หรือที่เรียกว่า ALS (Active Light System) รวมถึงระบบเพิ่มความส่องสว่างขณะเลี้ยวโค้ง ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ และไฟสูงสว่างไกล 650 เมตร เรียกว่าที่มืดๆสามารถส่องถึงได้ รับกับกันชนหน้าดีไซน์ดุพร้อมช่องระบายอากาศขนาดใหญ่ เสริมด้วยลิ้นสปอยเลอร์ใต้กันชนหน้าที่งานนี้เปลี่ยนมาเป็นสีดำเข้ม high-gloss black พร้อมช่องระบายอากาศ 3 จุด โดยช่องใหญ่ซ้าย-ขวา ตกแต่งด้วยเส้นแนวนอน 2 เส้นด้วยสีดำเข้ม high-gloss black

Mercedes-AMG CLS 53

Mercedes-AMG CLS 53

ด้านข้างนำเอกลักษณ์ Mercedes-Benz CLS มาด้วยกับกระจกแบบไร้กรอบสไตล์รถสปอร์ตชั้นดีหลังคาซันรูฟเป็นแบบบานใหญ่บานเดียวแต่สามารถเลื่อนเปิด-ปิดกระดกขึ้นได้ด้วยระบบไฟฟ้า กระจกมองข้างบานใหญ่ติดตั้งไฟเลี้ยว LED ปรับ-พับด้วยระบบไฟฟ้าพร้อมกล้องมองภาพซ้าย-ขวา ใต้กระจกมองข้างตกแต่งด้วยสีดำเข้ม high-gloss black ล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ตจาก AMG แบบ 5 ก้านคู่ ขนาด 20 นิ้ว พร้อมยางขนาด 245/35 R20 สำหรับล้อหน้าและ 275/30 R20 สำหรับล้อหลัง โดยเป็นยางจากค่าย Michelin รุ่น Pilot Sport 4 S พร้อมสัญลักษณ์ AMG บนคาลิปเปอร์เบรกหน้าสีเทา โดยบังโคลนหน้าซ้าย-ขวา ติดสัญลักษณ์ Turbo 4 MATIC บ่งบอกว่ารถคันนี้ร้อนแรงด้วยเครื่องเทอร์โบ ที่เปิดประตูตกแต่งด้วยขอบโครเมี่ยมสีเดียวกับตัวรถ

Mercedes-AMG CLS 53

ด้วยความเป็นรถซีดานหลังคาลาดแบบเดียวกับรถสปอร์ตทำให้การออกแบบด้านท้ายดูลงตัวเลยทีเดียวกับกระโปรงหลังรูปแบบเท่พร้อมไฟท้าย LED สีขาวแดง พร้อมสัญลักษณาดาวสามแฉกตรงกลางที่เปิดที่เปิดฝากระโปรงท้ายและซ่อนกล้องมองหลังในตัวเมื่อถอยโลโก้จะกระดกขึ้นเอง พร้อมโลโก้ชื่อรุ่น CLS 53 ในด้านขวา และ AMG ในด้านซ้าย ติดตั้งสปอยเลอร์ชิ้นบางๆ Spoiler-lip รับความโค้งอย่างลงตัว สอดรับกับปลายท่อไอเสียทรงกลม 2 ท่อคู แบบ 4-pipe lookตกแต่งใหม่แบบสีดำโครเมี่ยมแทนสีเงินโครเมี่ยมทำให้ดูโดดเด่น สะดุดตาแบบ AMG Sports exhaust system และระบบเซ็นเซอร์ช่วยในการนำรถเข้าจอดทั้งด้านหน้าและหลัง ที่ผสานการทำงานกับกล้องแสดงภาพรอบทิศทาง เพียงการจอดรถไม่ว่าจะจอดรถเข้าซ่องเอาหน้าเข้าหรือท้ายเข้าก็ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไปและลดปัญหาการทำให้ตัวรถเป็นรอยจากการขับขี่ที่ผิดพลาด โดยมิติตัวรถเริ่มที่ ความยาว 4,996 มม. ความกว้าง 1,896 มม. ความสูง 1,436 มม. ฐานล้อ 2,939 มม. น้ำหนักรถ 1,980 กก. และความจุถังน้ำมัน 66 ลิตร

Mercedes-AMG CLS 53

Mercedes-AMG CLS 53

Mercedes-AMG CLS 53

ภายในยกความทันสมัยจาก Mercedes-Benz CLS มาตกแต่งสไตล์ Mercedes-AMG ตั้งแต่แผงคอนโซลหน้าดีไซน์เดียวกับรุ่น CLS 220 d พร้อมช่องแอร์ทรงกลม ตกแต่งคอนโซลโทนสีดำสลับลายคาร์บอนสีเข้มมีลายสีเงิน Metal-weave trim ใหม่ เดิมเป็นแบบสีขาวด้านๆพร้อมแผงประตู พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน 3 ก้านแบบสปอร์ตท้ายตัดหุ้มด้วยหนัง Nappa ผสมหนังกลับแบบใหม่เด่นด้วยแถบสีแดงติดบนพวงมาลัย On-Centre Marker เพื่อช่วยสังเกตตำแหน่งของพวงมาลัยทั้งตอนดริฟและเข้าโค้ง พร้อมสลักลายโลโก้ AMG เอาใจคนอยากซิ่งด้วย Paddle Shift แบบเหนี่ยวไก (เดิมเป็น พวงมาลัยหุ้มหนังผสมลายไม้สีเข้ม) ในชุดพวงมาลัยมีปุ่มการทำงานแบบสีเงินเงาวาว แบบ touch control ใช้งานง่าย พร้อมสวิตช์ ควบคุมการทำงานทั้งระบบล็อกความเร็ว Cruise Control พร้อมฟังก์ชั่นจำกัดความเร็ว และสวิตช์ควบคุมการทำงานเครื่องเสียง ปรับสูงต่ำเข้าออกได้ 4 ทิศทางด้วยระบบไฟฟ้า ซึ่งเป็นลายเดียวกับ Mercedes-AMG GLC 43 4MATIC Coupé ที่วางใจได้ในการจับที่กระชับ หลังพวงมาลัยด้านซ้ายจะเป็นทั้งก้านไฟเลี้ยวและที่ปัดน้ำฝน และด้านขวาจะเป็นชุดเกียร์อัตโนมัติ มาตรวัดดิจิทัลแบบใหม่ All Digital instrument display ขนาด 12.3 นิ้ว อ่านง่ายขึ้นชัดเจนกว่ามาตรวัดเดิม เด่นด้วยมาตรวัดบอกความเร็ว บอกการทำงานรอบเครื่องยนต์ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ ตรงกลางมาพร้อมจอ MID ขนาดใหญ่บอกการทำงานของตัวรถทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นระบบนำทางแสดงชื่อเพลงชื่อคลื่นวิทยุ โทรศัพท์ ฯลฯ บนแผงคอนโซลหน้าหุ้มด้วยหนังดำเดินด้าย และมี AMG Head-up Display อยู่ฝั่งด้านคนขับไว้สำหรับแสดงข้อมูลการขับขี่และข้อมูลตตัวรถบนกระจกบังลมหน้า

Mercedes-AMG CLS 53

Mercedes-AMG CLS 53

Mercedes-AMG CLS 53

Mercedes-AMG CLS 53

กาบบันไดสเตนเลสพร้อมสัญลักษณ์ AMG แบบเรืองแสง ชุดแป้นคันเร่ง-แป้นเบรก สีเงินแบบสปอร์ต ระบบกุญแจแบบ KEYLESS-GO ไฟเรืองแสงล้อมรอบห้องโดยสารแบบ 64 สี Ambient Light สร้างบรรยากาศค่ำคืนอันแสนอบอุ่น จอสัมผัสขนาดใหญ่ 12.3 นิ้วขนาดเดียวกับมาตรวัด สามารถกดสัมผัสจากจอได้ หรือจาก touchpad ดีไซน์ใหม่แบบแบนราบ พร้อมระบบมัลติมีเดีย MBUX (Mercedes-Benz User Experience) ระบบสำหรับเชื่อมต่อโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Bluetooth) ฟังก์ชันเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือระบบปฏิบัติการ iOS (Apple CarPlay™) และ Android Auto ระบบนำทางระบบเสียงรอบทิศทาง Burmester รอบคัน เสียงเพลงไพเราะแน่นทุกรายละเอียดของเนื้อเสียง เย็นสบายด้วยเครื่องปรับอากาศแยกอุณหภูมิซ้าย-ขวา THERMATIC 2 โซน พร้อมช่องแอร์ด้านหลัง ม่านบังแดดประตูหลัง ซ้าย-ขวา ระบบชาร์จมือถือแบบไร้สาย (wireless charging) และเบรกมือไฟฟ้าพร้อมฟังก์ชั่น Hold ด้วยการเหยียบแป้นเบรกให้ลึกระบบจะทำงานอัตโนมัติและไม่จำเป็นต้องเหยียบเบรกค้างไว้ แล้วสัญญาณไฟเตือนจะขึ้นคำว่า Hold ทันทีและเมื่อไฟเขียว คุณก็แค่เหยียบคันเร่ง รถจะพร้อมพุ่งทะยานออกไป แต่ทว่าม่านบังแดดหลังที่มีสวิตช์ปรับที่อยู่ในใต้ช่องแอร์ฝั่งคนขับหายไปไหน ผมมีคำเฉลย โดยรุ่นรถที่ได้ทดลองขับเป็นรุ่นปรับปรุงไปตั้งแต่ปีที่แล้วพร้อมกับรุ่น CLS 220 d มีการย้ายสวิตช์ไปอยู่ที่จอสัมผัสแทน ทำให้ช่วงแรกอาจงงหน่อย แต่พอนานๆไปก็ชินกันทีเดียว นอกจากนี้ในคอนโซลกลางควบคุมการทำงานของแอร์ อุปกรณ์เกี่ยวเนื่องและ รอบๆ Touchpad ดีไซน์แบบแบนราบมีการตกแต่งใหม่แบบสีดำ Piano Black แทนแบบเดิมที่เป็นลายสีเงิน carbon-fibre และนาฬิกาแบบเข็มก็หายไปด้วย กลายเป็นว่าถ้าจะดูเวลาก็ไปดูที่จอแทน ซึ่งเสียดายจริงๆที่ไม่น่าไปตัดจุดเด่นแบบนี้ออกไป

Mercedes-AMG CLS 53

Mercedes-AMG CLS 53

Mercedes-AMG CLS 53

Mercedes-AMG CLS 53

ทางด้านเบาะนั่งทั้ง 5 ที่นั่ง หุ้มหนังแท้ผสมหนังกลับสีดำเดินด้ายแดง AMG nappa leather ตัดสลับ DINAMICA Microfibre โดยคู่หน้าสามารถปรับระดับได้ด้วยระบบไฟฟ้าพร้อมระบบหน่วยความจำตำแหน่งเบาะ 3 ตำแหน่ง ที่รองขาสามารถยืดไปข้างหน้าได้ เมื่อเข้าไปนั่งตัวเบาะโอบกระชับดี พนักพิงศีรษะยังสามารถปรับได้ด้วยถ้าจะต้องการจะดันหัวหรือหัวลอยและยังมีระบบอุ่นเบาะคู่หน้า เบาะหลังนั่งสบายอาจมีหัวติดไปบ้างแต่ก็ไม่ใช่ปัญหา แถมให้เบาะพับได้แบบ 40/20/40 งานนี้ขนของสบายๆอย่างแท้จริง สร้างตัวตนสร้างเอกลักษณ์เด่นให้น่าจดจำมากขึ้นด้วย เข็มขัดนิรภัยเป็นเส้นสีแดง Designo ของชอบของผมเลยครับ และมีช่องแอร์ด้านหลังให้ด้วยเอาใจสาวกขาช็อปด้วยฝากระโปรงท้าย เปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้าแบบไม่ต้องใช้มือ (HANDS - FREE ACCESS) วิธีการใช้งานเพียงแค่แกว่งปลายเท้าไปที่ใต้กันชนหลังด้านซ้ายเซนเซอร์คอยจับสัญญาณการแหย่ปลายเท้าไว้ ฝากระโปรงท้ายจะเปิดด้วยระบบไฟฟ้าทันที เพียงแต่ว่าขอให้ตัวกุญแจรีโมทอยู่กับตัว

ความปลอดภัยของรถคันนี้ มีครบพอๆกับรุ่นอื่นๆของ ตระกูล Mercedes-AMG โดยเพิ่มมาทั้งระบบช่วยลดความเสี่ยงของการชนปะทะกับรถยนต์ที่วิ่งอยู่ด้านหน้า Active Braking Assist ระบบช่วยรักษารถให้อยู่กึ่งกลางของเลน และช่วยดูรถที่อยู่ในจุดอับสายตา เพื่อให้คุณเปลี่ยนเลนได้อย่างปลอดภัย Lane Tracking package แต่ตัดระบบช่วยเหลือการขับขี่ Driving assistance package ออกไปแต่ออพชั่นอื่นๆยังคับคั่งเช่นเดิม ทั้งระบบช่วยรักษาระยะห่างจากรถคันหน้า ( Active Distance Pilot DISTRONIC) ทำงานโดยใช้สัญญาณเรดาร์ที่ติดตั้งบริเวณกันชนหน้า คำนวณระยะห่างที่ปลอดภัยจากรถคันหน้าที่สัมพันธ์กับความเร็วของรถในขณะนั้น และ ลดความเร็วของรถโดยอัตโนมัติรวมทั้งช่วยเบรกด้วยระดับแรงเบรกประมาณ 50% ของแรงเบรกปกติ เพื่อรักษาระยะห่างตามที่ผู้ขับขี่กำหนด โดยระบบนี้สามารถตั้งค่าความเร็วของรถที่ผู้ขับขี่ต้องการได้ตั้งแต่ความเร็วที่ 0-200 กม./ชม. โดยทำงานร่วมกับ Cruise Control ระบบ Blind Spot Assist ช่วยลดความเสี่ยงจากการชนกับรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์คันอื่นที่อยู่ในจุดอับสายตา ระบบ Attention Assist ช่วยเตือนความเมื่อยล้าในการขับขี่ระยะทางยาวๆ ระบบช่วยนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ Parking Pilot including Active Parking Assist ทั้งการจอดแบบขนานและการจอดแบบเข้าซอง โดยกล้องแสดงภาพรอบทิศทาง 360 องศา จะแสดงภาพบริเวณรอบกันชนในจอแสดงผล รวมถึงภาพจากมุมสูง จึงช่วยให้เห็นสิ่งกีดขวางรอบคันรถ ระบบ Active Brake Assist ช่วยหลีกเลี่ยงการชนกับรถยนต์คันอื่น หรือคนเดินถนนในบริเวณทางแยก โดยสัญญาณเรดาร์ที่ติดอยู่บริเวณกันชนด้านหน้า และกล้อง MPC จะตรวจจับเหตุการณ์ที่มีความเสี่ยงต่อการชน และจะส่งเสียงเตือนคุณให้เบรก หากคุณตอบสนอง ระบบจะช่วยเพิ่มกำลังเบรกไปจนเต็มประสิทธิภาพและระบแจ้งแรงดันลมยางและแสดงสถานะลมยาง tyre pressure loss warning system ถุงลมนิรภัยรอบคัน 9 จุด

Mercedes-AMG CLS 53

Mercedes-AMG CLS 53

อสูรร้ายในร่างซาลูนไร้กรอบประตูคันนี้มีความร้ายกาจไม่แพ้กับตระกูล 43 Series แต่ก็ได้เปรียบที่กำลังที่มากกว่าบนพื้นฐาน เครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบคู่ 6 สูบแถวเรียงในรหัส M256 3.0 ลิตร ปริมาตรความจุกระบอกสูบ 2,999 cc. ให้กำลังมากกว่าตระกูล 43 Series ถึง 435 แรงม้าที่ 6,100 รอบ/นาที แรงบิด 520 นิวตันเมตรที่ 1,800-5,800 รอบ/นาที เทคโนโลยีเกียร์ AMG SPEEDSHIFT TCT 9G transmission พ่วงด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อพร้อมเทคโนโลยี AMG Performance 4MATIC+ แบบแปรผันได้สมบูรณ์แบบ ตามข้อมูลใน Eco Sticker ปล่อย CO2 ที่ 196 กรัมต่อกิโลเมตร อัตราสิ้นเปลืองทำได้ 8.85 กม./ลิตร สำหรับในเมือง 14.08 กม./ลิตร สำหรับนอกเมืองและเฉลี่ย 11.62 กม./ลิตร ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. อัตราเร่ง 0-100 กม. /ชม. 4.5 ทำได้ 4.5 วินาที

Mercedes-AMG CLS 53

ถึงแม้จะเป็นขุมพลัง 6 สูบแถวเรียง M256 ที่พกพลังมากกว่า 400 แรงม้า เสียงเครื่องยนต์อาจไม่โหดเหมือนเครื่อง M276 V6 เทอร์โบคู่ เพราะเน้นไปในทางสุขุมในช่วงออกจากบ้านหรือการขับขี่ทั่วๆไปบนท้องถนนเมืองกรุงในวันทำงานก็ตาม แต่ขอโทษความสุขุมของรถเก๋งสปอร์ตไร้กรอบคันนี้ มีพิษสงร้ายกาจไม่แพ้กัน เมื่อกดคันเร่งเร่งเครื่อง 1 รอบ มันให้เสียงคำรามอย่างดุกร้าว เร้าใจให้อยากที่จะกดคันเร่งแรงทันที ออกตัวกดคันเร่งนิดเดียวพุ่งทันใจตอบสนองว่องไวไปถึงปลายทางได้ทันท่วงทีถ้าหากในช่วงถนนโล่งๆว่างๆ ซัดได้เต็มที่เต็มกำลังถึงจะน้ำหนักเฉียด 2 ตัน ถ้ายังไม่สะใจสามารถเลือกโหมดการขับขี่ด้วยระบบ AMG Dynamic Select ที่มีโหมด 5 แบบ คือ Eco แบบโหมดประหยัดน้ำมัน, Individual รูปแบบการขับขี่ที่ผู้ขับขี่กำหนดไว้ได้, Comfort แบบโหมดขับขี่สะดวกสบายเหมือนขับรถซาลูน, Sport และ Sport+ โหมดนี้เร้าใจมากขึ้นกว่าโหมดอื่นๆ เหมาะกับคนเท้าขวาหนัก ถึงแม้ว่าจะไม่มีปุ่มปรับแต่งเสียงสังเคราะห์ข้างๆ Touchpad หรือ AMG Performance exhaust system เพิ่มความกระหึ่มและท่อเพิ่มความเร้าใจเข้ามาสู่โสตประสาทก็ตาม รอบเครื่องยนต์ในช่วงความเร็ว 90 -120 กม./ชม. ทำผลงานสูงสุดไม่ถึง 2,000 รอบ/นาที ด้วยรอบตั้งแต่ 1,300 1,400 1,600 และ 1,700 รอบ/นาที ตามลำดับ พละกำลังเทอร์โบคู่ 6 สูบแถวเรียง ทำให้โหมด Performance Test มีเรื่องต้องให้ตกตะลึงด้วยการทะยานจากจุดหยุดนิ่งไปแตะถึง 100 กม./ชม. ทำได้ 3 ครั้งดังนี้ 1. 5.11 วินาที 2. 5.80 วินาที 3. 5.65 วินาที = เฉลี่ย 5.52 วินาที และ 80-120 กม./ชม. ทำได้ 3 ครั้งดังนี้ 1. 3.88 วินาที 2. 3.76 วินาที 3. 4.01 วินาที = เฉลี่ย 3.88 วินาที ด้วยสภาพอากาศ สภาพถนนที่ทดสอบอัตราเร่งอาจมีส่วนทำให้ตัวเลขไม่ตรงกับที่โรงงานแจ้งไว้ โดย 0-100 กม./ชม. ทำได้ 4.5 วินาที

Mercedes-AMG CLS 53

Mercedes-AMG CLS 53

ระบบเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด แบบ AMG SPEEDSHIFT TCT 9G transmission โดยตำแหน่งคันเกียร์ดันไปอยู่คอพวงมาลัย เปลี่ยนเกียร์ไวขึ้นตั้งแต่เกียร์แรกยันไปถึงเกียร์ 9 ทำงานได้อย่างไร้รอยต่อไม่กระตุก ตอบสนองดีขึ้นเมื่อผู้ขับขี่เปลี่ยนเกียร์ แต่ถ้าอยากขับสนุกก็มี Paddle Shift หลังพวงมาลัย กดเพิ่มอรรถรถในการขับขี่อย่างสนุกสนาน รวมถึงถ้าอยากขับแบบเกียร์ธรรมดาสามารถกดปุ่ม M ข้างๆปุ่ม touchpad ได้ ช่วงล่างรถคันนี้เป็นแบบถุงลม AMG RIDE CONTROL+ Suspension ที่สามารถปรับตัวรถสูง-ต่ำได้ตามสภาพถนนด้วยการกดปุ่มบริเวณด้านซ้ายของชุด Touchpad สามารถปรับตัวรถสูงขึ้นจากเดิม 2 ซม. และยังให้ความนุ่มนวลซับแรงกระแทกจากพื้นถนนได้เป็นอย่างดี เปลี่ยนเข้าเลนใหม่ทำได้อย่างมั่นคง ไม่มีอาการโยน ตามสไตล์รถที่มีจุดศูนย์ถ่วงสูงสมรรถนะแรง เพิ่มความมั่นใจมากขึ้นในการซับแรงกระแทก ระบบพวงมาลัยเป็นแบบพาวเวอร์ไฟฟ้าปรับน้ำหนักตามความเร็วรถเป็นจุดเด่นที่ชื่นชอบเพราะเซ็ตพวงมาลัยได้แม่นยำ ควบคุมง่าย น้ำหนักเบาในช่วงขับขี่ในเมืองและจะหนักขึ้นในความเร็วสูงๆเมื่อมาผนวกกับช่วงล่างถุงลมกลับทำงานได้ดีแม่นยำแบบน่าทึ่งคล้ายกับ GLC 43

ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบตลอดเวลา AMG Performance 4MATIC + เน้นการใช้งานทางเรียบเสียเป็นส่วนใหญ่ ให้ความมั่นใจในการเข้าโค้งแม่นยำและเปลี่ยนเลนสามารถทำได้คล่องตัวพร้อมสารพัดตัวช่วยที่ทำงานร่วมกับระบบ 4MATIC ทั้งระบบควบคุมการทรงตัว (ESP) ระบบควบคุมความเร็วขณะขึ้นทางลาดชัน Hill-Start Assistant แต่ระบบเบรก ระยะการเหยียบเบรกเมือเหยียบแป้นเบรกไป 20 % ระบบทำงานหยุดได้อย่างฉับไว

Mercedes-AMG CLS 53

Mercedes-AMG CLS 53

ถึงรถยนต์คันนี้จะมาในลุคส์แรงทะลุมิติแล้วยังให้ความสำคัญในการรักษ์โลกแบบ Mild Hybrid ด้วย ระบบ EQ Boost สามารถเสริมกำลังเครื่องยนต์ได้ ถึง 22 แรงม้า รองรับการทำงานร่วมกับเครื่องยนต์ที่มีแรงบิดสูงสุดถึง 250 นิวตันเมตร การทำงานของมันสร้างและจ่ายไฟฟ้าเพื่อเลี้ยงระบบไฟฟ้าของรถที่ใช้แรงดันไฟฟ้า 48 โวลต์ได้ โดยเป็นระบบมอเตอร์ไฟฟ้าแบบพิเศษ อีกทั้งยังเป็นระบบที่เป็นตัวกลางช่วยประสานการทำงานระหว่างเครื่องยนต์กับระบบเกียร์พัฒนาให้รองรับกับแนวคิดการปรับเปลี่ยนไปสู่ยุคของรถยนต์สมรรถนะสูงที่ใช้เครื่องยนต์ Hybrid

ระบบไฟฟ้าดังกล่าวจึงรองรับระบบต่างๆ ของเครื่องยนต์ไฮบริด ทั้งโหมดบูสท์ การประจุพลังงานเข้าสู่แบตเตอรี่จากแรงเบรก (recuperate) การสลับการทำงานระหว่างเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า (load point shift) การขับเคลื่อนโดยใช้เพียงแรงเฉื่อยซึ่งเกิดจากการหมุนของมอเตอร์ไฟฟ้า (gliding) หรือแม้แต่ การสลับการทำงานของเครื่องยนต์ด้วยระบบ start/stop ที่เรียบลื่น นอกจากนี้ พัฒนาไดสตาร์ทนี้รวมไปถึงระบบประจุไฟฟ้าที่ทำงานโดยใช้คอมเพรสเซอร์ช่วยที่ทำงานด้วยระบบไฟฟ้า (electric auxiliary compressor) และระบบเทอร์โบชาร์จเจอร์สำหรับท่อไอเสียเพื่อเพิ่มความสนุกในการขับขี่ แถมลดอัตราการใช้พลังงาน และลดการปล่อยไอเสีย ถึงแม้จะเป็น Hybrid แบบเล็กๆไม่เต็มระบบแต่ก็ยังพอที่จะให้ความประหยัดอยู่บ้าง ด้วยอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันจากโปรแกรม Save Mode ทำได้ 11.95 กม./ลิตร จากระยะทางรวม 61.2 กม.จัดน้ำมันเต็มถังจากปั๊มแถว ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ กรุงเทพฯ 5.12 ลิตร ใช้ความเร็วไม่เกิน 120 กม./ชม. ตามสภาพการใช้งานจริง การใช้งานในเมืองได้ตัวเลขสิ้นเปลืองที่ 5.18 กม./ลิตร และนอกเมืองทำได้ 9.82 กม./ลิตร จากเส้นทางไปกลับ กรุงเทพฯ-พัทยา 352.9 กม. และเติมเข้าไปเต็มถัง 35.928 ลิตร โดยที่ได้ตัวเลขมาขนาดนี้ส่วนหนึ่งก็มาจากระบบ สตาร์ท-ดับเครื่องยนต์อัตโนมัติแบบอัจฉริยะ “Eco Start/Stop” โดยระบบจะดับเครื่องยนต์เฉพาะเมื่อรถหยุดการเคลื่อนที่เมื่อรถหยุดไฟแดงนานสุด 1 นาที ช่วงการทำงานนั้น บรรดาเครื่องปรับอากาศกับวิทยุเครื่องเสียงยังทำงานตามปกติ แต่ถ้าไม่ปรารถนาที่จะใช้ถ้าหากรำคาญว่าตัวรถเดี๋ยวติดเดี๋ยวดับในชั่วขณะระบบนี้ก็สามารถกดปุ่มยกเลิกระบบได้เช่นกัน

Mercedes-AMG CLS 53

ค่าตัว 5,399,000 บาท กับเก๋งสปอร์ตจากเมือง สตุ๊ตการ์ท ครบเครื่องครบครันกับความแรง ความสนุกในการขับขี่และยังเป็นรถที่ประกอบในประเทศ ที่ออพชั่นครบครันและขับสนุก ถึงบางสิ่งบางอย่างมีการปรับปรุงให้เข้ากับจริตคนรักความแรงก็ตามถึงหน้าตาของมันใกล้ที่จะปรับโฉมแล้วกับร่างเจนเนอเรชั่นที่ 3 การจัดวางฟังก์ชั่นที่คุ้นเคยรวมถึงการตกแต่งโทนเข้มดำ เดินด้ายแดง เข็มขัดนิรภัยเส้นสีแดงสร้างจุดเด่นขึ้นมาทันที เครื่องเสียง Burmester เสียงดีเป็นทุนเดิม รวมถึงมาตรวัดดิจิทัลใหม่ที่ปรับการทำงานให้ง่ายขึ้น เครื่องยนต์ 3 ลิตร เทอร์โบคู่ 6 สูบแถวเรียงเน้นความสุขุมแต่หลังติดเบาะเอาเรื่องอยู่ กับพลัง 435 แรงม้า จึงน่าสนใจมากขึ้นสำหรับ Mercedes-AMG CLS 53 4MATIC+

 

เรื่องและขับทดสอบโดย นายเต้ย

 

ขอขอบคุณ บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่ให้ความอนุเคราะห์รถยนต์ Mercedes-AMG CLS 53 4MATIC+ มารีวิวทดลองขับครั้งนี้

Mercedes-AMG CLS 53

 

สิ่งที่ชอบ >>> หน้าตาดูดีขึ้น เข้มขึ้น ภายในตกแต่งใหม่ใช้งานง่ายขึ้น เครื่องเสียง Burmester® surround sound system ให้เสียงที่ดีไม่ต้องเติมแต่งอีกต่อไป เครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบคู่ ตอบสนองที่คล่องแคล่วกว่า พวงมาลัยที่คมช่วงล่างแข็งตามนิสัยรถแรง

สิ่งที่ไม่ชอบ >>> คนตัวสูงอาจไม่ชอบการนั่งหลังเป็นแน่แท้เพราะหลังคารถที่ลาดลงแบบรถสปอร์ต และไม่น่าไปตัดนาฬิกาแบบเข็มซึ่งเสียดายจริงๆที่ไม่น่าไปตัดจุดเด่นแบบนี้ออกไป

 

ติดตามข่าวสารยานยนต์ รวดเร็วก่อนใคร ได้ที่ Autodeft.com 

5 เรื่องน่าสนใจ