Test drive: ทดลองขับ BMW 530e M Sport ตัวแรงในคราบความภูมิฐาน แถมรักษ์โลก

  • โดย : พิสน ลีละหุต
  • 27 ธ.ค. 61
  • 37,690 อ่าน

ผมยอมรับอย่างเต็มปากเต็มคำเลยว่า ค่ายรถยนต์ใบพัดสีฟ้า BMW เป็นแบรนด์ที่ผมไฝ่ฝันในวัยเด็กว่า อยากจะครอบครองมาเป็นเจ้าของให้ได้ ด้วยรูปทรงที่ดูวัยรุ่น ดูแรง ดูหล่อ ทำให้บอกกับตัวเองว่า วันหนึ่งฉันจะขับมันให้ได้

BMW 530e M Sport

ช่วงวัยรุ่น ก็ยังคงมีแบรนด์นี้อยู่ในใจ สมัยนั้น รุ่นที่รุ่ง ๆ ก็จะเป็น E30 หรือไม่ก็ E34 โดยส่วนตัวชอบที่เป็นซีรี่ย์ 3 มากกว่า เพราะมันกระทัดรัด และมองว่าตัวซีรี่ย์ 5 น่าจะเหมาะกับคนวัยทำงานแล้วมากกว่า เพราะเรารู้สึกว่า คันมันโตกว่าพอสมควร เราเองสายชอบซิ่ง เลยชอบคันเล็ก คล่องตัว แต่สุดท้ายจนถึงทุกวันนี้ ก็ยังไม่เคยได้จับเจ้า 2 รุ่นนี้อย่างเป็นทางการเสียที

BMW 530e M Sport

BMW 530e M Sport

ย่างก้าวมาหลายปี เริ่มมีครอบครัว มีลูกแล้ว ก็เริ่มชักอยากจะอัพเกรดขนาดของรถยนต์ให้เหมาะกับตัวเราเพิ่มขึ้น และแน่นอนว่า BMW Series 5 ก็เป็นอีก 1 ตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะขนาดของรถนั้นใหญ่โตโอ่โถง น่าจะใช้งานได้เหมาะกับเราแท้ (แต่พอเปิดกระเป๋าตัวดูปั๊บ กลับสู่โหมดความเป็นจริงเลยจ้า) แถมด้วยการออกแบบของค่ายใบพัดสีฟ้านั้น ส่วนตัวมองว่า สามารถเอาใจวัยรุ่นได้ดีกว่าเดิม ด้วยการออกแบบรถให้ดูโฉบเฉี่ยวได้ ถึงแม้ทรงของรถจะขนาดใหญ่ก็ตาม

BMW 530e M Sport

BMW 530e M Sport

จนในที่สุดก็อดราทนไม่ไหว อยากจะขอลองทดสอบรถยนต์ซีรี่ย์ในฝันของตัวเองดูมั่ง แต่ก็อยากลองอะไรที่มันดูใหม่เข้ากับยุคสมัยสักหน่อย เลยมาลงตัวที่ BMW 530e M Sport โดยความกรุณาจากทาง BMW (Thailand) ที่ให้ทาง AUTODEFT ได้มีโอกาสในการทดสอบรถรุ่นนี้อย่างเต็มที่

BMW 530e M Sport

BMW 530e M Sport

ถ้าดูจากตัวอักษรลงท้ายชื่อรุ่น จะรู้ได้เลยว่า BMW 530e M Sport เป็นรถยนต์สไตล์ Plug-in Hybrid แต่มันดันมีนามสกุลต่อท้ายด้วย M Sport เลยทำให้ความไม่ธรรมดาต้องอยู่ในรถยนต์คันนี้แน่นอน โดยเครื่องยนต์นั้น จะเป็นครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ เทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo 2.0 ลิตร ให้กำลังจากเครื่องยนต์ 184 แรงม้า แรงบิด 290 นิวตันเมตร เสริมด้วยพลังจากมอเตอร์ไฟฟ้า ที่ผลิตกำลังได้ 113 แรงม้า แรงบิด 250 นิวตันเมตร เมื่อทำงานร่วมกัน จะผลิตกำลังได้สูงสุด 252 แรงม้า แรงบิด 450 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบ Steptronic พร้อม Gearshift Paddles ถือได้ว่าแรงเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน โดยสเปกของตัวเครื่องนั้น จะเป็นแบบเดียวกับตัว Highline แต่ไม่ต้องสงสัยครับว่า แล้วมันจะเป็นตัว M Sport ตรงไหน มันอยู่ตรงจุดอื่น ไม่ว่าจะเป็น, ระบบจอภาพแสดงข้อมูลการขับขี่ (BMW Head-up Display), คาลิเปอร์เบรกแบบ M Sport, ชุดตกแต่ง M Aerodynamics, ขอบหน้าต่างสีดําเงา และอาจจะมีรายละเอียดอื่น ๆ ที่ต่างไปเล็กน้อย เมื่อเปรียบเทียบกับพี่น้องในซีรี่ย์เดียวกัน

BMW 530e M Sport

BMW 530e M Sport

อุปกรณ์ภายนอกอีกอย่าง ที่ให้มาแบบสปอร์ตอย่างเต็มที่ นั่นก็คือ ล้ออัลลอย M ขนาด 19 นิ้ว ลาย Double-spoke ที่มาพร้อมกับยางล้อหน้า: 8 J x 19 / ยาง 245/40 R19 ล้อหลัง: 9 J x 19 / ยาง 275/35 R19 ที่ทั้ง 4 เส้นให้เป็นยางแบบ Run-flat ที่สามารถใช้งานได้แม้จะมีลมรั่วออกไปแล้วก็ตาม เมื่อติดอยู่ทั้ง 4 ล้อแล้ว มันช่วยเสริมบารมีให้ดูสวยงาม เต็มซุ้มล้อเลยทีเดียว สะใจโก๋อย่างผมจริง ๆ

BMW 530e M Sport

BMW 530e M Sport

การออกแบบโดยรวมนั้น ถือว่าทำได้ดูโฉบเฉี่ยว เพรียวลมอย่างมาก ถึงตัวรถเองจะมีขนาดใหญ่ก็ตาม (4,936 / 1,868 / 1,483 มม.) กระจังหน้าเป็นทรงไตคู่ที่เป็นเอกลักษณ์ของค่ายนี้ ไฟหน้าเป็นแบบ 4 ดวง ที่เป็นเอกลักษณ์ของค่ายอีกเช่นกัน แต่เส้นสายภายในโคมไฟ ที่เป็นไฟ Daytime Running Light แบบ LED ถูกออกแบบมาให้เป็นลายเส้นมีเหลี่ยมมีมุม เพื่อให้สมกับเป็นยุดิจิทัลหน่อย (ทำไมไม่ดิจิตอล) เลยทำให้ด้นหน้าของรถนั้น ไม่ดูเป็นผู้ใหญ่มากเกินไป ในไฟหน้า เป็นระบบไฟหน้า LED อัจฉริยะ ปรับตามทิศทางหมุนของพวงมาลัย (Adaptive LED) มีไฟตัดหมอกวางเอาไว้ตรงตำแหน่งด้านลางเป็นแนวนอน ใช้ไฟ LED ในการส่องสว่าง ส่วนด้านข้างนั้น ถ้ามองเข้าไปตรง ๆ การออกแบบจะทำให้ดูเหมือนว่า ตัวรถมีการรองรับลมให้ไหลออกไปข้างหลังอย่างง่ายดาย ประตูทั้งข้างหน้าและข้างหลัง ถูกปาดให้เอียงไปข้างหลัง รับกับท้ายที่ปรับเอียงลาดให้ไหลไปด้านท้ายเช่นกัน มองดูแล้วเหมือนกันรถพร้อมที่จะมุดลมไปด้วยความเร็วสูงเลย ส่วนด้านท้าย ตัวไฟด้านหลังเป็นการติดตั้งอยู่ทั้งในส่วนตัวถังรถลากยาวเข้าไปถึงกระโปรงท้ายเลย ปลายท่อไอเสียเป็นแบบคู่ ใช้อลูมิเนียมเป็นวัสดุ

BMW 530e M Sport

BMW 530e M Sport

ภายในของ BMW 530e M Sport นั้น โอ่โถงเลยครับ ถึงแม้ว่าตัวหลังคาจะดูเตี้ยไปนิด แต่ไม่มีปัญหาในการนั่งเลย นั่งสบายทุกตำแหน่ง โดยเฉพาะในตำแหน่งเบาะคนขับที่โอบกระชับตัวได้ดีอย่างมาก ทุกตำแหน่งใช้เป็นเบาะหนังแท้ Dakota คู่หน้าเป็นเบาะปรับไฟฟ้า ฝั่งคนขับสามารถบันทึกตำแหน่งได้ 2 ตำแหน่ง และเมื่อดับเครื่อง เบาะจะถอยออก เพื่อให้ก้าวเข้าออกตัวรถทำได้อย่าวสะดวกมากขึ้น พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันหุ้มหนังแบบ M Sport ควบคุมได้สารพัดเท่าที่จะควบคุมได้ ภายในตกแต่งด้วยอะลูมิเนียมลาย Rhombicle พร้อมแถบโครเมี่ยม คอนโซลด้านบนหุ้มด้วยหนัง Sensatec ทำให้ภายในของรถคันนี้ดูหรูหรามาก เพดานหลังคาภายในสี Anthracite มีแสงสีเพิ่มบรรยากาศภายในห้องโดยสาร (Ambient Light) ที่เปลี่ยนสีได้ตามใจต้องการ หน้าจอระบบสัมผัสตั้งเอาไว้อยู่กลางคอนโซล สามารถสั่งการได้ด้วยกาารกดที่หน้าจอ, การสั่งผ่านระบบ iDrive ด้วยปุ่มกลางระหว่างคนขับและคนนั่ง และที่สุดยอดคือ สามารถสั่งการได้ด้วยระบบ BMW Gesture Control ที่เพียงโบกมือก็สั่งการได้แล้ว (แต่ส่วนตัวไม่ชอบนะ อย่างเช่นเวลาจะเพิ่มเสียง ให้ชูนิ้วชี้แล้วหมุนวนที่หน้าจอ มันดันเพิ่มเร็วมาก ดังขึ้นแบบเบาเสียงแทบไม่ทัน สรุป หมุนด้วยปุ่มเวิร์คกว่าเยอะ) ส่วนพลังเสียงนั้นเหลือเฟือครับ เพราะชุดที่ให้มานั้นเป็นของ Harman-Kardon เชื่อมือในชื่อเสียงได้อยู่แล้ว การเชื่อมต่อก็เหมือนทั่วไปครับ สามารถต่อกับโทรศัพท์สมาร์ทโฟนได้ทั้งผ่านทางสาย USB และ Bluetooth และเพิ่มความพิเศษด้วยการมีแท่นชาร์จไร้สายให้ด้วย ใช้ชาร์จได้ทั้งโทรศัพท์มือถือที่รองรับ และตัวกุญแจรถ ที่สามารถชาร์จไร้สายได้ด้วยเช่นกัน

BMW 530e M Sport

BMW 530e M Sport

ระบบความปลอดภัยของ BMW 530e M Sport นั้น หายห่วงครับ จัดมาให้เต็มอย่างแน่นอน ทั้งถุงลมนิรภัย 8 ลูก, ระบบควบคุมเสถียรภาพการขับขี่ (DSC), ระบบควบคุมการยึดเกาะถนน (DTC), ระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรก (ABS), ระบบช่วยเสริมแรงเบรกอัตโนมัติ (Brake Assist), ระบบควบคุมการกระจายแรงเบรกขณะเข้าโค้ง (CBC), เซนเซอร์ควบคุมระบบความปลอดภัยเมื่อเกิดการชน (Crash Sensor), ระบบป้องกันการกระแทกจากด้านข้าง (Side Impact Protection), กล้องแสดงภาพรอบทิศทาง (Surround View Camera), ระบบ Active Protection, กล้องแสดงภาพด้านหลัง อันนี้เป็นข้อมูลบอกให้รู้กันไว้ ส่วนการทดสอบนั้น ได้ใช้แค่บางตัวนะ อย่างพวกกล้องมองหลังอะไรประเภทนี้ ส่วนถุงลม, ระบบกันการชนอะไรด้านข้างเนี่ย ไม่ได้ลองนะจ๊ะ

BMW 530e M Sport

BMW 530e M Sport

BMW 530e M Sport

จบเรื่องข้อมูลและภาพลักษณ์ของ BMW 530e M Sport ไปแล้ว ก็มาเริ่มทำการทดสอบเลยครับ รอบนี้ได้ลองทั้งในรูปแบบการขับขี่ในเมืองแบบติดกระจุย และการขับขี่ไปนอกเมือง โดยช่วงแรกที่ขับขี่ในเมืองนั้น มีไฟฟ้าเต็มแบตเตอรี่เลย ดังนั้นส่วนใหญ่ของการเดินทาง จะเป็นการใช้ไฟฟ้าแทบทั้งนั้น บอกได้ว่า มันเงียบมากครับ เพราะเครื่องยนต์มันไม่ติดเลย การขยับรถช่วงนี้ก็แทบจะเป็นการปล่อยไหลไปเรื่อย ๆ การทำงานจึงเป็นหน้าที่ของมอเตอร์ไฟฟ้าแทนการใช้เครื่องยนต์ แต่การตอบสนองของคันเร่งก็ไม่ได้แตกต่างจากการใช้เครื่องยนต์สักเท่าไหร่ ทั้งที่อยู่ในโหมดการขับขี่แบบ Eco Pro ก็ตาม (มี 3 โหมดให้ใช้งานคือ Eco Pro, Comfort และ Sport) รถไหลไปได้แบบไม่ต้องเค้นคันเร่ง แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เรากดคันเร่งลงไปแรง รถจะทำการติดเครื่องยนต์ขึ้นมาทันที เพื่อให้ตอบสนองต่อการเรียกกำลังของเราได้ดีขึ้น แต่การติดเครื่องขึ้นมาไม่มีเสียงดังจนทำให้เรารู้สึกได้ แต่ระรู้สึกได้ทางการกระชากที่มีมากขึ้นกว่าการใช้มอเตอร์ไฟฟ้าอย่างเดียวมากกว่า สรุปแล้ว จากแบตเตอรี่เต็ม ใช้งานในช่วงรถติดมาก ๆ ได้ราว 20 กิโลเมตรได้ แบตเตอรี่ก็ไฟหมด กลับมาสู่โหมด Hybrid ตามปกติ

BMW 530e M Sport

BMW 530e M Sport

ต่อมาก็ทำการทดสอบการขับขี่นอกเมืองของ BMW 530e M Sport กันต่อ โดยเดินทางไปสู่ปลายทางที่แถงจังหวัดนครนายก โดยใช้งานในโหมด Sport กันตลอดเส้นทาง ส่วนแบตเตอรี่ก็เต็มเช่นเคย เริ่มความสนุกของการเดินทางด้วยการออกตัวแบบกดเต็มกำลัง สับเปลี่ยนเกียร์ในโหมด Manual ด้วย Paddle Shift หูย อย่างกับวาร์ปได้ ถึงรถจะตัวใหญ่ แต่ด้วยเครื่องยนต์ผสมมอเตอร์ไฟฟ้า ที่ให้กำลังได้สูงสุดถึง 252 แรงม้า ทำให้รถพุ่งออกตัวได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นที่เคลมไว้ว่า 0-100 ได้ใน 6.2 วินาที ไม่ได้เป็นเรื่องที่เกินความจริงเลย ส่วนการขับขี่นั้นถือว่าสนุกมากครับ คันเร่งให้การสนองต่อการกดได้ดีมาก การรอรอบนั้นอาจจะมีบ้างเล็กน้อย แต่ไม่ใช่ปัญหาในการเอารถมุดตัวไปตามช่องต่าง ๆ ได้ แต่แน่นอนว่า มันต้องแลกมากับทรัพยากรพลังงานที่หายไปอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันหรือไฟจากแบตเตอรี่ ที่หล่นหายไปตามแรงกระแทกที่คันเร่งเลย แต่ก็อย่างว่าแหล่ะครับ ถ้าอยากจะขับมันแบบแรง ใครเขาจะมัวมาคิดเรื่องนี้กัน จริงไหมครับ แต่เมื่อไฟฟ้าหมดเมื่อไหร่ แล้วมาลองออกตัวเต็มที่อีกครั้ง ความแรงมันจะลดลงไปนิดนึงครับ เพราะจะมีแรงมาจากกำลังเครื่องอย่างเดียว ไม่มีแรงจากมอเตอร์ไฟฟ้ามาช่วยด้วย

BMW 530e M Sport

ช่วงล่างในการขับขี่ของ BMW 530e M Sport นั้น บอกตรง ๆ ครับว่าค่อนข้างไปทางกระเด้งกระดอนเล็กน้อย ยิ่งช่วงขับเร็วแล้วเจอกับถนนที่ไม่ค่อยเรียบ ยิ่งรู้สึกได้ แต่การเกาะถนนและการเข้าโค้งนั้น สุดยอดครับ ไม่ว่าจะใช้ความเร็วระดับไหน เข้าโค้งที่ความเร็วเท่าไหร่ ตัวรถก็ยังนิ่ง ไม่มีหลุดออกจากการควบคุมของเราได้เลย ถ้าเอาจริง Feeling แบบนี้ จะถูกใจขาซิ่งอยู่แล้วครับ แต่สำหรับใครที่อยากได้ความเป็นครอบครัวแบบนุ่มนวล อาจจะรู้สึกว่าช่วงล่างนั้นแข็งไปนิดนึงครับ ส่วนพวงมาลัยนั้นเจ๋งสุดครับ สามารถปรับตัวให้เหมาะกับโหมดที่เราใช้งานอยู่ได้ โดยในเมืองที่ผมใช้งานโหมด Eco Pro พวงมาลัยจะนุ่มนวล และไม่ไว แต่พอมาใช้โหมด Sport ปั๊บ พวงมาลัยจะหนืดขึ้นเล็กน้อย และเพิ่มความไวในการหมุนขึ้นมาอีกนิด การตอบสนองก็ทันใจอย่างมากครับ

BMW 530e M Sport

BMW 530e M Sport

ส่วนการชาร์จไฟฟ้านั้น เริ่มแรกด้วยการเอามาเสียบปลั๊กชาร์จที่บ้าน ปรากฎว่าชาร์จไปได้ 5 นาที แล้วเบรกเกอร์ในบ้านก็ตัด ตอนแรกก็ยังไม่ได้ทันคิดอะไร ก็ลองชาร์จต่อ คราวนี้ก็ตัดอีก มั่นใจเลยครับว่า สงสัยชาร์จไฟบ้านไม่ไหวแหง เพราะที่บ้านผมทำเบรกเกอร์แยกไฟบ้านเอาไว้ 4 ส่วน เลยใช้แอมป์ไม่สูง แต่พอเอามาชาร์จกับ BMW 530e M Sport แล้วมันต้องการไฟมากกว่านั้น เบรกเกอร์เลยตัด เลยต้องเอาออกไปชาร์จที่แท่น Charge Now ที่อยู่ตามห้างแทน ดังนั้นใครที่จะเอามาเป็นเจ้าของ คงต้องเดินไฟมาใหม่จากเบรกเกอร์ใหญ่โดยตรง แล้วแยกใช้ตัวเดียวเลย ลองปรึกษากับทางตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการของ BMW อีกทีก็ได้ครับ

BMW 530e M Sport

BMW 530e M Sport

อัตราการกินน้ำมันนั้น ถ้าช่วงมีไฟอยู่ ประหยัดมากครับ แทบไม่ใช้น้ำมันเลย แต่พอเครื่องติดขึ้นมาเมื่อไหร่ ผมลองจับดูในช่วงการจราจรติดขัด จะได้อยู่ที่ราว 8.6 กิโลเมตร/ลิตร ส่วนการกดวิ่งยาวนอกเมืองนั้น ได้อยู่ที่ราว 9.9 กิโลเมตร/ลิตรครับ ก็ถือว่าอยู่ในระดับกลาง ๆ แต่ถ้าจะขับแบบประหยัด ก็ให้ชาร์จไฟให้เต็ม แล้วขับแบบเบาเท้าหน่อย น่าจะทะลุ 20 กิโลเมตร/ลิตรได้อย่างสบายเลยครับ

BMW 530e M Sport

สรุปโดยรวมแล้ว BMW 530e M Sport เหมาะสำหรับพ่อบ้านใจซิ่งอย่างมากครับ ตัวรถกว้างขวางพอสำหรับเด็ก ๆ ซนอยู่ด้านหลังได้, นั่งสบาย, ระบบอำนวยความสะดวกจัดเต็ม แต่เมื่อไหร่ที่อยากซิ่ง ก็ปรับโหมดแล้วกดคันเร่งให้เต็มที่ รถก็พุ่งออกไปตามใจต้องการได้แล้ว ในราคาค่าตัว 3,899,000 บาท (ไม่รวมค่า BSI) อย่าถามว่าคุ้มไหม เพราะความคุ้มค่ามันอยู่ที่เงินในกระเป๋า และความคาดหวังของแต่ละคน ดังนั้นไปลองเองได้เลยครับ จะได้รู้ด้วยตัวเองเลยว่ามันคุ้มสำหรับเราหรือเปล่า บอกได้แค่ว่า ถ้าผมมีตังมากพอ ผมซื้อแน่นอนครับ

ทดสอบและเรียบเรียงโดย Earthpark02

ติดตามข่าวสารรถยนต์รวดเร็วก่อนใครได้ที่ AUTODEFT.com

5 เรื่องน่าสนใจ