Test Drive: รีวิว ทดลองขับ MG HS TURBO X คล่องตัว ราคาดี มีออพชั่นเยอะ
- โดย : พิสน ลีละหุต
- 26 มี.ค. 63 00:00
- 45,802 อ่าน
เทรนด์ในการซื้อรถยนต์ใหม่ทั้งโลกนี้ แนวโน้มการเติบโตของรถเอนกประสงค์ทั้งรูปแบบ SUV หรือ Crossover ก็สูงขึ้นทุกปี เบียดรถยนต์ใหม่รูปแบบ Sedan จนแทบจะไม่มีที่ยืน ทำให้แต่ละค่ายต่างก็เร่งเพิ่มในส่วนของรถยนต์อเนกประสงค์ลงสู่ตลาดกันแบบไม่หยุดไม่หย่อนในแต่ละปี
ตลาดในประเทศไทยก็เป็นแบบนั้นเช่นกัน โดยเฉพาะค่ายรถยนต์สัญชาติจีน เชื้อชาติอังกฤษอย่าง MG ที่เริ่มเปิดตัวจากรถสไตล์ Sedan แต่มารุ่งสุดขีดในตัวของอเนกประสงค์ ทำให้ช่วงหลังเริ่มยึดมั่นกับตลาดนี้ไปโดยปริยาย ก็เข้าใจได้ดีเพราะถ้าทำแล้วขายได้ ใครก็ต้องทำอย่างนั้นแหล่ะ โดยตัวที่เปิดตลาดแล้วทำให้ปังจริง ๆ ต้องชี้ไปที่ MG ZS เลย ทั้งที่รุ่นแรกในค่ายนี้ที่เป็นรถ SUV จะไม่ใช่รุ่นนี้ แต่เป็น MG GS ที่ทำออกมา 2 รูปแบบทั้งเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร Turbo กับ 1.5 ลิตร Turbo แต่กลับไม่ได้การตอบรับที่ดีเท่าที่ควร จึงทำให้ทางค่ายต้องงัดไม้ใหม่ขึ้นมา ด้วยการจัด MG HS TURBO ลงสู่ตลาดเสียเลย
จะว่าไป การส่งรถอเนกประสงค์ MG HS TURBO ลงสู่ตลาด นอกจากจะส่งลงมาเพื่อแทนที่ของเก่าอย่าง MG GS แล้ว ยังเอาลงมาข่มคู่แข่งที่เพิ่งลงตลาดเหมือนกันอย่าง Chevrolet Captiva ไปด้วย ถึงแม้ว่าค่ายโบว์ไทจะเป็นรถขนาด 7 ที่นั่งก็ตาม แต่ก็อดเทียบกันไม่ได้อยู่ดี ด้วยขนาดและราคาที่ใกล้เคียงกันมากเหลือเกิน แต่สุดท้าย Chevrolet Captiva ก็ขายจนหมดก่อน อย่างที่เรารู้กันดีนั่นเองครับ
หลังจากทีมงาน AUTODEFT ได้จัดรีวิว ทดลองขับไปแล้ว 1 รอบกับ MG HS TURBO แต่เป็นแบบทดสอบกลุ่ม อาจจะยังขาดในรายละเอียดบางส่วนบ้าง โดยเฉพาะอัตราการใช้น้ำมันทั้งในเมืองและนอกเมืองว่าเวลาใช้งานจริงจะอยู่ประมาณไหน ผมเองเลยขออนุเคราะห์จากทาง MG SALES (THAILAND) เพื่อยืมรถยนต์ใหม่รุ่นนี้มาทดสอบกันอีกรอบ โดยรอบนี้ได้มาเป็นตัวรุ่นบนสุดอย่าง MG HS TURBO X มาทดลองขับกันเลย
ก่อนออกเดินทางเพื่อทำการรีวิว เรามาเริ่มทำความรู้จักรายละเอียดของรถยนต์ใหม่ MG HS TURBO X กันก่อนดีกว่าครับ โดยรถอเนกประสงค์คันนี้เลือกใช้เครื่องยนต์ขนาดยอดนิยม 1.5 ลิตร Turbo DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว Turbo TGI ระบบจ่ายน้ำมัน GDI - Gasoline Direct Injection ให้กำลังสูงสุดที่ 162 แรงม้าที่ 5,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตรแบบลากยาวที่ 1,700 - 4,400 รอบ/นาที ขับเคลื่อนด้วยเกียร์ Twin Clutch Sportronic Transmission (TST) 7 สปีด เป็นการเลือกใช้งานคลัทซ์คู่อีกครั้งแบบเดียวกับ MG 6 และ MG GS สร้างความมันในการขับขี่ได้อย่างดี พวงมาลัยไฟฟ้า แร็คแอนด์พิเนียน (EPS) ช่วงล่างเลือกใช้งานเป็น แมคเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ที่ด้านหน้า และด้านหลังเป็นแบบ อิสระ มัลติลิงก์ พร้อมเหล็กกันโคลง มาพร้อมล้อขนาด 18 นิ้ว ใช้แม็กซ์อัลลอยลาย 5 แฉก 10 ก้าน สีเงิน ใส่มาพร้อมยางขนาด 235 / 50R18 ของ Goodyear ใช้เบรกแบบดิสก์ทั้ง 4 ล้อ โดยล้อคู่หน้าเป็นดิสก์เบรกพร้อมช่องระบายความร้อนด้วย ท่อไอเสียเป็นแบบ 2 ท่อออก 2 ข้าง ปลายท่อเป็นอลูมิเนียม
ขยับกันมาที่มิติตัวรถของ MG HS TURBO X เป็นขนาด 4,574 x 1,876 x 1,664 มม. (ยาวxกว้างxสูง) ฐานล้อกว้าง 2,720 มม. ตัวท้องรถสูงจากพื้น 145 มม. ตัวรถมีน้ำหนักราว 1,510 - 1,570 กิโลกรัม ตะแกรงด้านหน้าเป็นแบบตาข่ายทรงขนมเปียกปูน เพิ่มความหรูด้วยเม็ดสีเงินช่วงเส้นตัด ชูหราด้วยตรา MG สีเงินตรงกลาง ไฟหน้าเป็นโคมแบบ LED Projector ปรับระดับได้ด้วยตัวเอง ไม่อัตโนมัติ แต่เปิด - ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ มีตัดขอบด้วยไฟ DRL (Daytime Running Lights) ที่เป็นไฟเลี้ยวได้ด้วย โดยไฟจะวิ่งแบบ Sequential มีไฟตัดหมอกแบบ HID ที่กลางกันชนด้านข้าง ตัดขอด้วยโครเมียม กลางกันชนมีเพิ่มกรอบสีเงินเพิ่มความหรู และมีการติดตั้ง Sensor ตัวกลางให้เราเห็นได้เด่นชัดเลย ส่วนไฟด้านท้าย แผงไฟเบรกเป็นการติดตั้งรวมทั้งบนตัวถังและฝาท้าย ใช้เป็นโคมแบบ LED เช่นกัน รวมทั้งไฟเลี้ยวก็เป็นแบบ Sequential มีไฟเบรกดวงที่สามแบบ LED มีไฟตัดหมอกอยู่ด้านล่างตรงชายกันชน ฝากระโปรงท้ายเป็นระบบไฟฟ้า เปิดได้จากปุ่มที่ฝาท้าย ในรถ และบนรีโมท มีไฟ Welcome Light ส่องลงมาจากกระจกมองข้างเป็นตรา MG กระจกมองข้างพับ และปรับไฟฟ้า พร้อมไฟเลี้ยว หลังคาชันรูฟแบบพาโนรามา (Panoramic Sunroof) ที่กว้างมากถึงมากที่สุด ชอบสุด ๆ
อุปกรณ์ภายในนั้นดูดีมากเลยล่ะ MG HS TURBO X มาด้วยเบาะหนังสังเคราะห์สีแดง-ดำ ทรงแนว Bucket Seat เสริมด้วยหนังกลับ Nappa ในส่วนตรงแถวที่รองคอ เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้าแบบ 6 ทิศทาง เบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้าปรับไฟฟ้าแบบ 4 ทิศทาง พวงมาลัยหุ้มหนังทรงกลมท้ายตัดแบบ Sport ปรับระดับ 4 ทิศทาง มีปุ่ม Multi-Function ด้านซ้ายเอาไว้ควบคุมเครื่องเสียงและโทรศัพท์ ด้านขวาใช้ควบคุมการเปลี่ยนข้อมูลของตัวรถในหน้าปัดคนขับ มี Paddle Shift เอาไว้เปลี่ยนเกียร์ในโหมด Sport และ Super Sport และปุ่ม Super Sport เพื่อเร่งเพิ่มความมันในการขับให้สะใจยิ่งขึ้นเพียงกดปุ่มนี้ปุ่มเดียว มีก้านควบคุมระบบ Adaptive Cruise Control เอาไว้ด้านข้างพวงมาลัย ใต้ไฟเลี้ยว (ยังคงไฟเลี้ยวเอาไว้ด้านซ้าย) หน้าจอแสดงผลอัจฉริยะขนาด 7 นิ้ว (Interactive Multi – Function Display) หรือหน้าปัดแสดงผลการขับขี่ของคนขับ แสดงผลได้หลากหลายข้อมูล มีเข็มวัดรอบและความเร็วขนาบด้านข้างซ้าย-ขวาเป็นระบบ Analog
ช่องแอร์ด้านคนขับและคนนั่งเป็นทรงกลม Turbo Jet แต่ตรงกลางเป็นทรงคล้ายปากยิ้ม หน้าจอกลาง เป็นหน้าจอสีระบบสัมผัสขนาด 10 นิ้ว ระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือผ่านบลูทูธ / ช่องเชื่อมต่อ USB ไม่มี Apple CarPlay มาพร้อมลำโพง 6 ตัว สามารถสั่งการด้วยเสียงได้ผ่านระบบ iSmart สั่งการผ่านเสียงภาษาไทยได้ มีระบบ SMART CONNECT ที่มีทั้ง ระบบนำทาง Navigation พร้อมรายงานการจราจรแบบ Real Time, ระบบช่วยค้นหาร้านอาหาร และที่พักบนแผนที่นำทาง, ระบบเล่นเพลงออนไลน์แบบสตรีมมิ่ง, อัพเกรดระบบผ่านออนไลน์, ระบบเรียกดูข้อมูลข่าวสาร เหตุการณ์ปัจจุบัน, และ อัพเดทข้อมูลพยากรณ์อากาศ ผ่านสัญญาณโทรศัพท์ของ Truemove-H ใช้งานฟรี 5 ปี แอร์เป็นแบบอัตโนมัติ Dual Zone แยกความเย็นซ้าย-ขวา กรองอากาศ PM 2.5 ได้ เบาะนั่งด้านหลัง พนักพิงพับได้ 60:40 หุ้มด้วยหนังสังเคราะห์สีดำ-แดงเช่นกัน มีช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลังพร้อมช่อง USB ให้อีก 2 ช่อง
ส่วนระบบความปลอดภัยนั้น MG HS TURBO X ก็จัดเต็ม มีทั้ง
- ถุงลมนิรภัย 6 ลูก
- ระบบป้องกันล้อล็อก ABS พร้อมระบบกระจายแรงเบรก EBD
- ระบบเสริมแรงเบรกด้วยอิเล็กทรอนิกส์ EBA (Electronic Brake Assist)
- ระบบควบคุมการเบรกในขณะเข้าโค้ง CBC (Curve Brake Control)
- ระบบควบคุมการเบรกในขณะเข้าโค้งด้วยความเร็ว XDS (Electronic Differential System)
- ระบบควบคุมการทรงตัว SCS (Stability Control System)
- ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล TCS (Traction Control System)
- ระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HAS (Hill Start Assist System)
- ระบบควบคุมความเร็วรถขณะลงทางลาดชัน HDC (Hill Descent Control System)
- ระบบป้องกันการลื่นไถลเมื่อเกียร์ลดต่ำอย่างฉับพลัน MSR (Motor Control Slide Retainer)
- ระบบลดความเสี่ยงที่จะทำให้พลิกคว่ำ ARP (Anti Rolling Program)
- ระบบเบรกมือไฟฟ้า EPB (Electronic Parking Brake)
- ระบบป้องกันการไหลของรถโดยไม่ต้องเหยียบเบรกค้าง AVH (Auto Vehicle Hold)
- ระบบสัญญาณไฟแจ้งเตือนเมื่อมีการเบรกฉุกเฉิน ESS (Emergency Stop Signal)
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (Adaptive Cruise Control)
- ระบบเปิด - ปิดไฟสูงอัตโนมัติ IHC (Intelligent High-Beam Control)
- ระบบช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์คันหน้าขณะขับขี่ FCW (Forward Collision Warning)
- ระบบความคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ TJA (Traffic Jam Assist)
- ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน LDW (Lane Departure Warning)
- ระบบช่วยควบคุมรถเมื่อรถออกนอกเลน LDP (Lane Departure Prevention)
- ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LKA (Lane Keep Assist)
- ระบบช่วยเตือนเมื่อต้องการเปลี่ยนเลน LCA (Lane Change Assist)
- ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตา BSD (Blind Spot Detection)
- ระบบช่วยเตือนขณะถอยหลัง RCTA (Rear Cross Traffic Alert)
- ระบบเตือนการเปิดประตู DOW (Door Open Warning)
- ระบบล็อกประตูอัตโนมัติ (Speed Sensing Door Lock)
- กล้องมองภาพรอบทิศทาง
- สัญญาณเตือนระยะถอยหลัง
- ระบบกุญแจนิรภัยแบบ Immobilizer
- ระบบกุญแจรีโมทอัจฉริยะ (Smart key) พร้อม Push Start
เอาล่ะ ข้อมูลมากพอละ เรามาออกเดินทางเพื่อทำการรีวิว ทดสอบรถยนต์ MG HS TURBO X กันได้แล้ว ย้ำกันอีกครั้งว่า ผมเป็นคนตัวใหญ่แนวไปทางอ้วน สูง 172 ซม. (แต่ยังดูดีอยู่นะ หุหุ) การก้าวเข้าสู่ตัวรถนั้นมันพอดีมาก เรียกได้ว่าก้าวขาเข้าไปก็นั่งได้พอดีเลย ไม่ต้องเกาะอะไร ไม่ต้องเอื้อม ก็นั่งลงได้อย่างสบาย แถมตัวเบาะยังกว้างพอดีที่จะนั่งได้สบายอีกด้วย และเนื่องจากเบาะเป็นทรง Sport เลยทำให้เบาะนั้นออกไปทางแข็งเล็กน้อย ถูกใจชายวัยกลางคนอย่างผมเป็นอย่างยิ่ง เพราะเมื่อขับไปในระยะเวลานาน ๆ แล้ว มันเมื่อยน้อยกว่าแบบนุ่มเป็นอย่างมาก การจัดวางตำแหน่งของการใช้งานต่าง ๆ ก็ถือว่าทำได้อย่างดี ไม่ต้องเอื้อมไปไหนมาก ก็กดนั่นกดนี่ได้หมด ถ้าเทียบการวางปุ่มกับ MG GS แล้ว ตัวนี้ดีกว่าเยอะ มีปุ่มให้เลือกกดได้เพียงไม่กี่ปุ่มเท่านั้น ต่างจากของ MG GS ที่แทบจะแบออกมาให้กดกันครบทุกอย่าง ดูรกไปหมด เลือกกดกันไม่ถูกเลย
ส่วนในรถยนต์ใหม่คันนี้จะคล้ายเป็นเหมือนปุ่ม Shortcut ของหน้าจอกลางมากกว่า กดแล้วก็ต้องไปสั่งการที่หน้าจอใหม่อีกครั้งอยู่ดี แต่มันก็สะดวกขึ้นนะ ส่วนตัวเกียร์นั้นหุ้มด้วยหนังเสริมด้วยแถบโครเมียม มีปุ่มควบคุมให้กดได้ง่ายทั้งไฟฉุกเฉิน, ปุ่มเปิดประตูท้ายแบบไฟฟ้า, เลือกโหมดการขับขี่ (Eco, Normal, Sport ส่วน Super Sport ไปกดเอาที่พวงมาลัยเลย), กล้อง 360 องศา กดดูตอนไหนก็ได้, ระบบควบคุมความเร็วเมื่อลงเขา, เบรกมือไฟฟ้าและ Auto Vehicle Hold
ที่เจ๋งมาใน MG HS TURBO X นั้น เกือบทั้งหมดเป็นแบบ Soft Touch ทั้งนั้น มีแค่บางส่วนที่ตัดขอบด้วยโครเมียมเท่านั้น ถือว่าดูหรูหราสุนัขเห่ามาก ไม่น่าเชื่อว่ารถราคาระดับนี้จะใส่มาให้ได้ขนาดนี้ แผงคอนโซล แผงประตู จับตรงไหนก็เป็นหนังหุ้มทั้งนั้น ดีงาม ตัวแป้นคันเร่งและเบรกก็เป็นแบบ Sport หล่อมาดเลย แต่ที่ไม่ค่อยชอบคือ แผงคอนโซลกลางที่อยู่ข้างขาซ้ายนั้น มันป่องออกมาเยอะไปหน่อย ทำให้การวางขามันออกแนวต้องตั้งตรงไปหน่อย กางขาไม่ได้ ทำให้มันไม่สามารถวางขาไปบนที่พักเท้าซ้ายได้สะดวก ขับนาน ๆ ก็พาลเมื่อยไปหน่อย ต้องยกขามาวางข้างล่างถึงจะดูถนัดมากกว่า
นั่งเสร็จเรียบร้อยก็ Buckle Up แล้วใส่เกียร์เดินหน้าเลย สัมผัสแรกในที่กดลงไปที่แป้นคันเร่งคือ MG HS TURBO X ตอบสนองเราได้ดีในช่วงต้นระดับหนึ่งเลย ไม่ถึงกับดึงหลังติดเบาะ แต่ดีในระดับต้นเมื่อเทียบกับคู่แข่งในระดับเดียวกันเลย เอาจริงนอกจากความดีงามของเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร Turbo ที่สร้างกำลังได้ 162 แรงม้า และแรงบิด 250 นิวตันเมตร ยังต้องขอบคุณเกียร์แบบ Dual-Clutch ด้วยเช่นกัน เพราะมันสับได้ฉับไวจริง ๆ แต่มันจะเป็นเกียร์ที่มีแรงกระดึ๊บเชื่อมอยู่แต่ละเกียร์อยู่ จังหวะปล่อยก็ยังพอเจอจังหวะกระดึ๊บได้อยู่เป็นประจำ ซึ่งมันเป็นเอกลักษณ์การทำงานของเกียร์ประเภทนี้จริง ๆ ส่วนตัวผมชอบนะ เวลากดแรงแรงแล้วมันเห็นแรงกระตุกเล็กน้อยช่วงเปลี่ยนเกียร์ ให้อารมณ์มันระหว่างขับได้ประมาณหนึ่งเลย ไม่เหมือนกับพวก CVT ที่มันไหนไปเรื่อย แต่บางคนที่ชอบความนุ่มนวลอาจจะไม่ชอบนะ เพราะมันมีความกระตุกในบางจังหวะ ต้องลองไปใช้งานดูว่าชอบอารมรณ์แบบนี้ไหมนะครับ
ช่วงแรกเริ่มต้นหลังจากรับรถมาแล้ว ผมเน้นการใช้งานในเมืองเป็นหลักก่อน ช่วงที่ทำการทดสอบนั้น ยังไม่ค่อยตื่นเต้นกันเรื่อง Covid-19 กันเสียเท่าไหร่ แค่ออกไปไหนใส่หน้ากากกับล้างมือบ่อย ๆ ก็พอ ดังนั้นการจราจรก็ยังเป็นปกติ ทั้งติดหนัก ติดเบา จนไปถึงวิ่งได้ปลิว ๆ สลับกันไป การใช้งาน นั้นถือว่าใช้งานได้คล่องตัวเลยครับ แรงของเครื่องยนต์พอใช้ทุกช่วง ทั้งการเร่งแซง เปลี่ยนเลน ออกตัวเร็ว ทำได้ดีตลอด แถมพวงมาลัยก็ถือว่าอยู่ในจุดที่เรียกว่าคมได้ แม่นยำพอตัวเลย MG HS TURBO X ถึงแม้ว่ามันจะเป็นรถอเนกประสงค์ที่ตัวใหญ่ประมาณหนึ่ง แต่ก็ยังขับได้คล่องตัว ด้วยที่เราสามารถเรียกกำลังเครื่องยนต์ได้รวดเร็วด้วยแหล่ะ เลยทำให้การขับขี่มันเลยง่ายขึ้น ไม่ต้องลุ้นมากช่วงที่ต้องการกำลังของเครื่องยนต์ที่ช่วยมาเปลี่ยนย่านความเร็ว
แต่ปัญหาที่เจออย่างแรกในการใช้งานบน MG HS TURBO X เลยก็คือระบบ Lane Keep Assist ที่หลัก ๆ มันจะทำหน้าที่ในการคอยควบคุมให้รถเราวิ่งอยู่กลางเลนเสมอ ซึ่งมันคือระบบที่ดีนะ มันจะคอยดึงพวงมาลัยเราให้อยู่กลางเลนตลอดเวลา แต่ปัญหาที่เจอคือ หน้าจอคนขับมันจะแสดงว่า Lane Keep Assist Cancelled อยู่ตลอดทาง ประมาณว่า “เฮ้ เราขอยกเลิกการทำงานระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนแล้วนะ ก็นายฝืนพวงมาลัยอ่ะ” แล้วมันจะดัง “ตึ๊ง” พร้อมแสดงภาพบนหน้าจอแทบจะตลอดทาง จนเรารู้สึกว่า “เฮ้ย มึงจะขับเองเลยมั้ย เอาใจยากขนาดนี้” สุดท้ายก็ยอมแพ้ เข้าไปปิดการทำงานในหน้าจอกันไป โลกถึงสงบสุข
หลังจากทดสอบในเมืองได้พอสมควรแล้ว เรามาออกไปต่างจังหวัดกันบ้าง รอบนี้ผมขับออกไปทางฝั่งตะวันออกบ้าง ขับไปเรื่อย ๆ เหนื่อยก็ขับกลับ โดยวันนี้เส้นทางรถค่อนข้างโล่ง วิ่งได้ยาว ๆ ไม่ต้องเจอกับอะไรมาก เลยลองทดสอบการใช้งานระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (Adaptive Cruise Control) ดู ว่ามันจะเนียนสู้เขาได้ไหม พอใช้งานจริงแล้วต้องบอกว่ามันทำงานได้ระดับกลาง ๆ เท่านั้น ไม่เนียนเท่าไหร่ จังหวะการเบรกดูจะกดแรงไปนิด และจังหวะเร่งช่วงที่รถช้าหนีจากหน้าเราไปแล้ว ดูจะอัดคันเร่งมากไปหน่อย ปัญหาเดิมสมัยระบบนี้เริ่มเอามาใช้งานใหม่ ๆ แต่ปัจจุบันหลายรุ่นมีการปรับระบบให้ทำงานได้เนียนมากขึ้นแล้ว ตรงนี้ MG HS TURBO X ยังทำได้ไม่ดีนะ ต้องปรับปรุง
ส่วนกำลังเครื่องยนต์ในการใช้งานทางไกลนั้น MG HS TURBO X จะทำได้ดีในช่วงความเร็วต้น ก็คือช่วง 0 - 120 กม./ชม. ที่ยังคงไหลได้อย่างต่อเนื่อง แต่หลังจากนี้ไปแล้วเริ่มเห็นอาการแผ่วลงได้อย่างชัดเจน แต่ยังคงเข็นไปถึงแถว 160 กม./ชม. ได้ อาจจะช้าไม่ทันใจวัยรุ่นแต่ไปถึงได้แน่ ไม่ได้ลองว่า Top Speed ไปได้ถึงไหน (เกรงใจ) แต่มันไม่ใช่รถที่จะเอามาใช้วิ่งซิ่งกระจายยาวระดับ 200 ได้แน่นอน แต่ถ้าถามว่าใช้งานสไตล์ครอบครัวได้ไหม บอกเลยว่าเหลือเฟือครับ จะขับเร็วกันมาก ๆ ไปทำไม 120 นี่วิ่งถึงสบายอยู่แล้ว
แต่สิ่งที่ต้องชื่นชมในการใช้งาน MG HS TURBO X ก็คือ ระบบการทรงตัว ทั้งความนิ่งในทางตรง และการเกาะถนนในตอนเข้าโค้ง ซึ่งเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นทุกรุ่นของ MG อยู่แล้ว อาจจะมีมีโยนด้านท้ายบ้างในบางโค้ง แต่ก็ไม่ได้หนักหนาอะไรมากไป เพราะเป็นรถอเนกประสงค์ท้ายหลังคาสูงตัวโย่ง ย่อมเกิดอาการนี้ได้บ้างอยู่แล้ว และอีกอย่างที่ยอมก้มหัวให้คือเรื่องเก็บเสียง ที่ยามวิ่งเร็วระดับ 140 กิโลเมตร/ชั่วโมงก็ยังมีเสียงลมเข้ามาได้น้อยมาก เพลิดเพลินมากกับการได้ขับขี่ทางไกลไปกับรถยนต์ใหม่คันนี้จริง ๆ
แต่ขับไปขับมา ก็เจอกับอีกตำหนิที่เกิดขึ้นบน MG HS TURBO X ก็คือเรื่องหน้าปัดกลาง ที่แสดงสถานะของการใช้งานรถยนต์ โดยปกติผมจะใช้งานหน้าจอ Trip ที่แสดงผลทั้งระยะทาง, เวลาใช้งาน, อัตราเฉลี่ยการใช้นำมันอะไรประมาณนี้ พอเปิดระบบ Adaptive Cruise Control มาใช้งาน มันจะสับไปที่หน้าจอของระบบความปลอดภัยทันที อันนี้พอเข้าใจได้ แต่พอปิดระบบนี้ไป ผมก็ปรับมาดูที่หน้าจอ Trip เหมือนเดิม แต่อีกแปปเดียวมันก็เด้งกลับมาที่หน้าจอระบบความปลอดภัยอีก เปลี่ยนกี่รอบก็กลับคืนมาทุกรอบ ต้องจอดดับเครื่องแล้วสตาร์ทใหม่ถึงจะล็อกให้อยู่ที่เดิมได้ ไม่รู้จะแก้อย่างไร และอีกระบบก็คือ ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตา BSD (Blind Spot Detection) ที่ปกติจะทำงานเมื่อมีรถมาอยู่ด้านข้างในมุมบอด โดยจะแสดงเป็นไฟสีส้มอยู่ตรงแถวใต้ลำโพง Tweeter แต่การทดสอบรอบนี้มันทำงานบ้างไม่ทำงานบ้าง (และส่วนใหญ่จะไม่ทำงาน) เลยไม่แน่ใจว่ามันเป็นเฉพาะคันที่ผมใช้ทดสอบคันเดียว หรือมันเป็นที่ Software Error ทุกคันกันแน่
MG HS TURBO X ยังคงมีอุปกรณ์ที่ผมถูกใจอย่างมากก็คือ หลังคา Panoramic Sunroof ขนาดใหญ่ ที่ลากยาวตั้งแต่ด้านหน้ายาวไปถึงด้านหลัง แต่ตัวกระจกเปิดได้ครึ่งคันนะ มีแผงผ้ามาคอยปิดกันร้อนให้อีกชั้น เวลาขับกลางคืนแล้วเปิดแผงผ้าเอาไว้ มันคือความสุขในการขับขี่จริง ๆ ครับ มันทำให้ตัวรถนั้นรู้สึกโล่งขึ้นอย่างมาก ดูกว้างขวางโอฬารอย่างยิ่ง นี่คืออุปกรณ์อันดับ 1 ในใจผมเลย
อีกอย่างที่ไม่พูดถึงไม่ได้ใน MG HS TURBO X ก็คือ หน้าจอ Infotainment ตรงกลางนี่แหล่ะ นอกจากมันจะมีขนาดใหญ่แล้ว มันยังเป็นหน้าจอสารพัดประโยชน์ที่ใช้งานได้หลากหลายจริง ๆ โดยทั่วไปถ้าเป็นรุ่นอื่น มันก็คงทำหน้าที่เป็นหน้าจอวิทยุ, ควบคุมแอร์, แสดงแผนที่นำทางอะไรพวกนี้ แต่ด้วยความที่มันเป็นหน้าจอ SMART CONNECT ที่มีซิมเชื่อมต่อสัญญาณอินเตอร์เน็ตได้ ความมันก็มากขึ้น เพราะมันใช้เป็นแผนที่นำทางแบบเช็คการจราจรได้แบบ Real-Time ประมาณเดียวกับ Google Maps เลยปานนั้น แถมยังเช็คข่าวล่าสุดได้อีกด้วย (เช็คหวยได้ด้วย ดีงาม)
หลังจากการเดินทางมาพอสมควรแล้ว เรามาลองดูเรื่องของอัตราการประหยัดน้ำมันของ MG HS TURBO X กันดีกว่า โดยผมยึดอัตราที่แจ้งบนหน้าจอเป็นหลักเลยครับ แบ่งการ Reset ทั้งนอกเมืองและในเมืองอย่างชัดเจน ใช้แก๊สโซฮอล์ 95 ในการทดสอบตลอดเส้นทาง ในเมืองวิ่งสลับทุกรูปแบบ ทั้งรถติดมาก ติดน้อย พอวิ่งได้ และวิ่งโล่งยาว ใช้ไปประมาณ 290 กิโลเมตร หน้าจอแจ้งใช้น้ำมันเฉลี่ย 12.3 ลิตร/100 กิโลเมตร เปลงเป็นแบบที่เราคุ้นเคยได้ 8.1 กิโลเมตร/ลิตร โห เอาเรื่องเหมือนกันแฮะ เพราะผมใช้งานแบบกดคันเร่งหนักก็ไม่ได้เยอะนะ อาจจะมีซ่าลองมุดอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้บ่อยอะไร เจออัตรานี้เข้าไปก็เอาเรื่องอยู่
ส่วนการวิ่งนอกเมือง ทำความเร็วเฉลี่ยส่วนใหญ่ในช่วง 100-120 กม./ชม. มีบ้างที่ลองกดบางช่วงเพื่อเรียกกำลังเครื่องยนต์ มีรถติดอยู่แค่นิดหน่อย ไม่ได้มีผลเปลี่ยนแปลงค่าสักเท่าไหร่ วิ่งไป 250 กิโลเมตรได้ออกมา 8.3 ลิตร/100 กิโลเมตร แปลงแล้วได้ 12 กิโลเมตร/ลิตร ก็ถือเป็นอัตราระดับกลาง ไม่ได้ดีไม่ได้แย่อะไร
สรุปรวมการใช้งานมากว่า 500 กิโลเมตร สรุปผลของการรีวิว ทดลองขับ MG HS TURBO X ได้ดังนี้ครับ
สิ่งที่ชอบ
- อัตราเร่งของเครื่องยนต์ช่วงแรกทำได้ดี เพิ่มความค่องตัวในการใช้งานในเมืองได้มาก
- เกียร์ขับสนุกดี มีความมันแฝงเอาไว้
- หลังคา Panoramic Sunroof ที่กว้างสุดขอบ ชอบมาก
- หน้าจอเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้ เช็คหวยได้ ดีสุด ๆ
สิ่งที่ไม่ชอบ
- เรื่องจุกจิกของระบบการทำงานที่ยังไม่สมบูรณ์ ทั้งการเตือนยกเลิกการทำงาน Lane Keep Assist, เด้งไปหน้าจอที่ไม่ต้องการหลังจากเปิดใช้งานระบบ Adaptive Cruise Control, ระบบ Blind Spot Detection ทำงานบ้างไม่ทำงานบ้าง หวังว่าจะแก้ไขด้วย Software ตัวใหม่ได้นะ
- อัตราใช้น้ำมันในเมืองดูดุไปหน่อย
MG HS TURBO X ตั้งราคาขายเอาไว้ที่ 1,119,000 บาท ผมถือว่าเป็นราคาที่ดีมากเลยนะ เพราะนอกจากจะได้รถอเนกประสงค์ที่เครื่องมีกำลังดี ตอบสนองการใช้งานในเมืองได้อย่างสบาย พื้นที่กว้างขวาง และโดดเด่นด้วยระบบความปลอดภัยที่เพียบเต็มเปี่ยม ราคานี้คุ้มสุด ๆ ถึงจะมีตำหนิในบางจุดบ้างก็เถอะ แต่ผมว่าน่าจะปรับปรุงแก้ไขกันได้ผ่านการอัพเดทซอฟท์แวร์นะ ราคานี้คงหาให้ได้เพียบพร้อมกว่ารถยนต์ใหม่คันนี้ คงไม่มีอีกแล้วล่ะ
ทดสอบและเรียบเรียงโดย EARTHPARK02
ติดตามข่าวสารรถยนต์รวดเร็วก่อนใครได้ที่ AUTODEFT.com