Test Drive : รีวิว ทดลองขับ 2021 MG 5 1.5 X เก๋งทรงสปอร์ต ช่วงล่างเยี่ยม ออพชั่นจัดเต็ม เครื่องแรงพอเพียง

  • โดย : Autodeft
  • 2 ก.ย. 64
  • 14,508 อ่าน

หลังจากหยุดทำตลาดรถเก๋งไปเมื่อ 2-3 ปีก่อน (ปล่อยให้ MG 3 รับหน้าที่ทำตลาดเพียงรุ่นเดียว) สำหรับ MG 5 เก๋งซีดานที่มีความโดดเด่นในเรื่องความสปอร์ตแบบหลังคาโค้งและลาดลงในร่างซีดาน 4 ประตู เด่นในเรื่องความคล่องตัวความสบายและช่วงล่างที่เกาะถนนเยี่ยมและขุมพลังที่เป็นหนึ่งเดียวตามสไตล์ BRIT Dynamic และราคาไม่ถึง 7 แสนบาท ประสบความสำเร็จและแจ้งเกิดตลาดรถเก๋งกลุ่ม B-Car อย่างเต็มรูปแบบถึงตัวรถจะมาในร่าง C-

MG 5

และปีนี้ MG หรือ Morris Garages ได้หวนกลับมาทำตลาดรถเก๋งซีดานอีกครั้ง กับ MG 5 เจนใหม่ ที่พึ่งเปิดตัวที่เมืองไทยเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม ที่ผ่านมา คล้อยหลังการเปิดตัวที่เมืองจีน โดยจำหน่ายถึง 3 รุ่นย่อยตั้งแต่รุ่นถูก C, D และ รุ่นท็อปสุด X ซึ่งเป็นรุ่นที่นำมารีวิว ทดลองขับครั้งนี้ แต่ต้องขอออกตัวก่อนว่าขับสั้นๆขับในสนาม MG Driving Experience อาจจะนำเสนอได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ถ้ามีโอกาสจับมายืมทดสอบจะเล่าแบบละเอียดกันเลยทีเดียว

MG 5

MG 5

เข้าเรื่องกันดีกว่าครับ เจเนอเรชั่นที่ 2 ของ MG 5 ยังคงมาในร่างเก๋งคอมแพ็คคาร์ (Compact Car) หรือ C-Car ที่ต้องออกมาชนกับคู่แข่งทั้ง Honda Civic Toyota Corolla Altis และ Mazda 3 แต่ด้วยขนาดขุมพลังของเครื่องยนต์และราคาจำหน่าย ทำให้เก๋งสปอร์ตคันนี้ ตีตั๋วเข้ากกลุ่มซับคอมแพ็คคาร์ (Sub-Compact Car) หรือ B-Car และ Eco Car ถึงจะทำตลาดในกลุ่ม B-Car แต่ MG 5 เจนใหม่นี้กลับได้เปรียบตรงที่ขนาดตัวรถที่ใหญ่กว่าและเป็นจุดเด่นที่สามารถสู้ได้ผนวกกับความทันสมัยของออพชั่นออกแบบสไตล์ coupe-style slip-back body designหน้าตาคล้ายละม้ายกับคู่แข่งทั้งญี่ปุ่นและเกาหลี ตั้งแต่ กระจังหน้าดีไซน์ใหม่ 3 มิติ Digital Burning Grille ประดับด้วยเส้นแนวตั้งสีดำประกบโลโก้ MG ขนาดใหญ่ ซ่อนกล้องมองภาพหน้ารถ บนโลโก้ พร้อมไฟหน้าทรงยาวเรียว Projector แบบ LED โคมใหม่ลงตัว ไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่เวลากลางวัน (Daytime Running Lights) กันชนหน้าทรงสปอร์ตที่ออกแบบทั้งกระจังหน้าและช่องระบายอากาศที่มีขนาดใหญ่แต่ว่ากลับไม่มีไฟตัดหมอกหน้ามาให้เป็นออพชั่นมาตรฐานเพียงเพราะว่าตัวไฟหน้าสามารถให้ความสว่างได้ดีกว่าจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมี

MG 5

MG 5

MG 5

MG 5

ด้านข้างมีความสปอร์ตจากหลังคารถที่โค้งและลาดลง ผสมความหรูหราแบบรถยนต์นั่งยุโรปมาพร้อมความเท่ลงตัวด้วยกระจกมองข้างสีเดียวกับตัวรถพร้อมไฟเลี้ยวและกล้องมองภาพสองฝั่งซ้าย-ขวา กรอบประตูตกแต่งด้วยโครเมี่ยมทั้งชิ้น และกระจกเสา C กับ D ตกแต่งแบบโอเปร่า ที่เปิดประตูสีเดียวกับตัวรถโดยในรุ่นท็อป X มาพร้อมล้ออัลลอยดีไซน์ใบพัดปัดเงาแบบ 17 นิ้ว พร้อมยาง 215/50 R17 ที่มาจาก Maxis ติดจากโรงงาน บั้นท้ายสวยขึ้นด้วยไฟท้ายแบบ LED ดีไซน์ Leopard Claw ไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED ประกบกันชนหลังใหม่พร้อมลิ้นสปอยเลอร์หลังสีดำตกแต่งด้วยกรอบท่อไอเสียคู่โครเมี่ยมมาให้ ซึ่งความจริงท่อไอเสียจะมีแค่ฝั่งเดียว

มิติตัวรถนั้นเมื่อเทียบกับ MG 5 เจนที่แล้วกลับพบว่า มีความยาว ความกว้าง ฐานล้อ แตกต่างกัน โดยความยาวมากกว่าเจนที่แล้ว 63 มม. ความกว้างมากว่าเจนที่แล้ว 38 มม. ความสูงน้อยกว่าเจนที่แล้ว 8 มม. ฐานล้อมากกว่าเจนที่แล้ว 30 มม. น้ำหนักรถน้อยกว่าเจนที่แล้ว 25 กก. และความจุถังน้ำมันน้อยกว่าเจนที่แล้ว 10 ลิตร

MG 5

MG 5

MG 5

MG 5

ภายในของ MG 5 เจเนอเรชั่นที่ 2 คันที่ลองขับนั้นเป็นรุ่น 1.5 X ท็อปสุดที่มาพร้อมโทนภายในที่เลือกได้ถึง 2 สี ทั้งโทนดำ-แดง และโทนดำล้วนแซมด้วยขลิบแดงที่แผงประตูซึ่งเป็นโทนที่อยูในสีภายนอกสีเหลืองเท่านั้น โดยคันที่ลองขับนั้นเป็นสีขาว แต่ภายในได้เป็นโทนดำ-แดง พร้อมคอนโซลหน้าดีไซน์ไฮเทคล้ำอนาคตแบบ 3 มิติ สีดำ ออกแบบสไตล์เน้นการเข้าหาคนขับด้วยการวางฟังก์ชั่นที่ใกล้ตัวสุดและมองเห็นชัดเจนสุดซึ่งจุดนี้เป็นจุดเด่นของ MG 5 เจนใหม่ มาตรวัดแบบดิจิทัลขนาดใหญ่ 7 นิ้ว ที่แบ่งเป็นสองฝั่งทั้งมาตรวัดความเร็วฝั่งซ้ายและขวารอบเครื่องยนต์คั่นกลางด้วย จอแสดงผล MID แสดงการทำงนของตัวรถอย่างชัดเจนและค่อนข้างละเอียด ถัดมาเป็นจอสัมผัสขนาดสี่เหลี่ยม 10 นิ้วขนาดใหญ่ พร้อมระบบความบันเทิงสมัยใหม่ตามสไตล์ MG รองรับระบบเชื่อมต่อมัลติมีเดีย Apple CarPlay และ Android Auto นอกจากนี้ยังมาพร้อมกล้องมองภาพรอบทิศทางแบบ 3 มิติ ผ่านจอสัมผัส 10 นิ้ว ที่คุณภาพความชัดพอดูได้ตามฐานะและราคาตัวรถ

MG 5

MG 5

ถัดลงมาปุ่มควบคุมการทำงานของเครื่องเสียงและเครื่องปรับอากาศสไตล์ก้านเปียโนสวยงามสีเงินถัดลงมาคือช่องแอร์ตกแต่งสีดำพร้อมช่องเสียบ USB และที่วางของเล็กๆ กับช่องแอร์ซ้าย-ขวา ตกแต่งสีดำลายรังผึ้ง ระบบกุญแจรีโมทอัจฉริยะ (Smart Key) พร้อมปุ่ม Push Start บริเวณคอนโซลเกียร์รายรอบด้วยหัวเกียร์ทรงโตดีไซน์คุ้นตา เดินด้ายแดง ติดตั้งปุ่มระบบเบรกมือไฟฟ้า EPB (Electronic Parking Brake) พร้อมระบบป้องกันการไหลของรถโดยไม่องเหยียบเบรกค้าง (Auto Vehicle Hold) ในยามรถติดโดยที่ไม่ต้องเข้าเกียร์ N กับกล่องคอนโซลกลางดีไซน์กลมกลืน บุด้วยหนังสัมผัสสีดำเดินด้ายสีแดง 

MG 5

MG 5

MG 5

MG 5

MG 5

MG 5

พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นดีไซน์ 3 ก้านแบบ สหกรณ์ ซึ่งใช้กับ MG ทุกรุ่น จับกระชับมือด้วยกิ๊ฟพวงมาลัยดีไซน์หนา แต่ทว่ากับไม่มีหุ้มหนังเดินด้ายแดงมาให้อาจทำให้อรรถรสในความหรูหราอาจลดลงไปบ้าง ภายในชุดพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นวงนี้ประกอบด้วยทางซ้ายมือเป็นปุ้มปรับเพิ่มลดเสียงรับสายโทรศัพท์ ถัดลงมาเป็นก้านการทำงานของระบบล็อกความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control ซึ่งอาจลำบากในการใช้งานเพราะอยู่หลังพวงมาลัยและมองไม่เห็น ทางที่ดีควรย้ายมาอยู่ที่แป้นพวงมาลัยจะสะดวกกว่าและปรับระดับได้ ขวามือเป็นปุ่มควบคุมการทำงานของมาตรวัดดิจิทัลขนาด 7 นิ้ว 

เบาะนั่งเป็นแบบทรงโตหุ้มหนังสังเคราะห์ทั้งชิ้น นั่งโอบกระชับพร้อมหัวหมอนทรงใหญ่ โดยด้านคนขับปรับด้วยระบบไฟฟ้า 6 ทิศทาง คนนั่งปรับแบบธรรมดา ส่วนบาะหลังด้วยหลังคาที่ลาดลงมาพอสมควรทำให้มีพื้นที่สำหรับ Head Room พอสมควรนั่งสบาย แต่ว่าไม่มีที่ท้าวแขนกับที่วางแก้วน้ำให้ซึ่งอาจดูขัดๆไปบ้างแต่ยังให้ช่องแอร์หลังคอนโซลกลางกับช่องเสียบ USB มาให้ สำหรับเบาะหลังสามารถพับแบบ 100 % เพิ่อเพิ่มพื้นที่วางของมากขึ้น ซึ่งเอาจริงน่าจะให้แบบ 60/40 จะดีกว่า เย็นทั้งคันด้วยเครื่องปรับอากาศดิจิตอลพร้อมกันฝุ่น PM 2.5 และหรูเกินรุ่นด้วยหลังคาซันรูฟไฟฟ้าที่ปรับได้แค่สไลด์เลื่อนเปิด-ปิด แบบ One Touch ไม่สามารถกระดกขึ้นได้ 

MG 5

รถยนต๋ใหม่ 2021 อย่าง MG 5 1.5 X เจนใหม่มีระบบระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ i–SMART ที่สามารถสั่งการอัจฉริยะผ่านคำสั่งเสียงภาษาไทย ควบคุมการทำงานของระบบปรับอากาศผ่านทางสมาร์ทโฟน ค้นหาข้อมูลจุดท่องเที่ยวน่าสนใจ และวางแผนการเดินทางTravel Plan จากสมาร์ทโฟนส่งเข้าหน้าจอทัชสกรีนของรถได้ โทรออก – รับสายจากจอทัชสกรีน สามารถติดต่อ MG Call Centre เพื่อสอบถามข้อมูล หรือขอรับจุดน่าสนใจ Point Of Interest ด้วยปุ่มลัดบนพวงมาลัยเล่นเพลงทั้งรูปแบบออนไลน์ และสตรีมมิ่ง ค้นหาร้านอาหาร ที่พัก และสถานที่ท่องเที่ยวบนแผนที่นำทาง รายงานการจราจรแบบ Real Time ระบบตรวจเช็กอัจฉริยะ ตรวจสอบสถานะของตัวรถ ตรวจสอบตำแหน่งของรถ ผ่านทางสมาร์ทโฟนแล้ว ความพิเศษของมันตรงที่มีเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด Digital Key สามารถใช้งานรถผ่านกุญแจดิจิตอลโดยรับ - ส่ง ถ้ากรณีรีบออกจากบ้านโดยลืมกุญแจรถ โค้ดจากแอพ i-SMART สามารถสั่งการเปิด-ปิด และสตาร์ทรถยนต์ รวมถึงการส่งกุญแจดิจิตอลให้กับผู้อื่นเพื่อใช้งานรถยนต์ผ่านแอพ i-SMART เรียกว่าให้ความสะดวกสบาย ปลอดภัย และเชื่อมต่อการใช้งานให้ง่ายขึ้นเหมาะกับคนรุ่นใหม่ในยุคดิจิตัลอย่างแท้จริงแต่ว่าจะให้สิทธิ์ 2 คนเท่านั้นทั้งเจ้าของรถและเพื่อนคนในบ้านเท่านั้น

MG 5

MG 5

ขุมพลังสำหรับ MG 5 1.5 X สเปกไทยแน่นอนว่ามีการหยิบยิมมาจากเพื่อนร่วมค่ายต่างตัวตนอย่าง MG ZS Facelift มาประจำการกับเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร รหัส 15S4C VTi – TECH ให้กำลัง 114 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาทที แรงบิด 150 นิวตันเมตรที่ 4,500 รอบ/นาที จับคู่กับระบบเกียร์อัตโนมัติใหม่ 8 สปีดแบบ CVT (CONTINOUS VARIABLE TRANSMISSION) ที่พัฒนาจากทาง SAIC Motors พร้อม Manual Mode +/- ขับเคลื่อนล้อหน้า ด้วยข้อจำกัดของการขับขี่แบบสั้นๆที่สนามทดสอบ MG Driving Experience ถ. ศรีนครินทร์ ทำให้ได้รับรู้ในการขับขี่บางส่วนเท่านั้นคือขับวนในสนามไป 2-3 รอบ การตอบสนองของเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร 114 แรงม้ากับน้ำหนักรถ 1 ตันต้นๆ ตอบสนองระดับกลางๆไม่หวือหวาแต่มีอืดๆบ้างในช่วงความเร็วต่ำจนถึงกลาง ด้านความเร็วสูงไหลยาวๆถึงแม้ช่วงความเร็วดังกล่าวอาจมีเสียงคำรามของเครื่องดังมาอารมณ์คล้ายกับขับรถ B-Car เครื่อง 1.5 แรงม้าราว 100 นี่เอง

MG 5

ระบบเกียร์ที่เป็น CVT 8 สปีด ซึ่งเป็นลูกเดียวกันกับ  MG ZS Facrlift ตัดต่อค่อนข้างราบเรียบนุ่มนนวล จาการทำงานด้วยระบบของชุดพลูเลย์ 2 ตัวทำงานสอดคล้องกันผ่านสายพานตามอัตราเร่ง และรอบเครื่องที่ถูกส่งมาจากเครื่องยนต์ ตั้งแต่เกียร์แรกจนถึงเกียร์ 8 ไม่มีอาการกระชากในจังหวะที่อัตราทดเปลี่ยน ตัวรถจะค่อยๆ วิ่งเร็วขึ้นไปอย่างนุ่มนวลไม่สะดุดแถมมี Manual Mode +/- ไว้ใช้สำหรับขึ้น-ลงทางลาดชัน หรือ เร่งแซง ซึ่งอารมณ์คล้ายกับ New MG ZS นั่นเอง

ระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบ MacPherson Strut พร้อมเหล็กกันโคลงและระบบช่วงล่างหลัง Torsion Beam ถูกเซ็ตมาให้มีความหนึบในการเข้าโค้งเกาะถนนตามสไตล์ MG แต่มีควมนุ่มนวลพอสมควรในยามขับทางตรงๆ อาการหน้าลื่น ท้ายปัด แทบจะไม่มี ซึ่งงานนี้ประทับใจจริงๆแถมมีระบบควบคุมการทรงตัว SCS (Stability Control System) ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีและควบคุมการลื่นไถล TCS (Traction Control System) และ ระบบระบบควบคุมการเบรกในขณะเข้าโค้งด้วยความเร็ว XDS (Electronic Differential System) เข้ามาเสริมด้วยและได้ยางที่แก้มเตี้ย 50 % ยิ่งทำให้การขับขี่มั่นใจได้อีก

MG 5

MG 5

ระบบการบังคับเลี้ยวของ MG 5 1.5 X รุ่นท็อปติดตั้งพวงมาลัยพาวเวอร์ไฟฟ้า EPS สามารถปรับน้ำหนักของพวงมาลัยได้ถึง 3 รูปแบบตามความชอบของผู้ขับขี่ ทั้งแบบในเมือง City, มาตรฐาน Standard และ Sport โดยงานนี้ได้ใช้ทั้ง 3 โหมด ขับครั้งละ 2 รอบ ไม่ว่าจขับในโหมด City, Standard และ Sport ให้น้ำหนักกำลังดี ควบคุมดี คมทุกโค้งช่วงความเร็วต่ำๆ กลางๆ แม้กระทั่งความเร็วสูงๆซึ่งเหมาะกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน วงเลี่ยวแคบ 5.6 ม. สามาถในซอกซอยแคบๆได้ เลี้ยวกลับรถได้อย่างคล่องตัว ระบบห้ามล้อยังคงเดิมทั้งระบบดิสก์เบรก 4 ล้อ พร้อมระบบเบรก ABS ระบบกระจายแรงเบรก EBD ระบบเสริมแรงเบรก EBA ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบความปลอดภัยที่คอยประสานทำงานกันเป็นหนึ่งเดียว หรือ SYNCHRONIZE PROTECTION SYSTEM ที่มีทั้งหมด 13 ฟังก์ชั่น เอาเข้าจริง เวลาเหยียบเบรก ระยะค่อนข้างสั้นด้วยระยะการเหยียบเบรกราว 30 %

พร้อมระบบความปลอดภัยประจำรถทั้งระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HAS (Hill Start Assist System) ระบบสัญญาณไฟแจ้งเตือน เมื่อมีการเบรกฉุกเฉิน ESS (Emergency Stop Signal) ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control) ระบบช่วยเตือนเมื่อต้องการเปลี่ยนเลน LCA (Lane Change Assist) ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตา BSD (Blind Spot Detection) ระบบช่วยเตือนขณะถอยหลัง RCTA (Rear Cross Traffic Alert) ระบบช่วยเตือนการชนด้านหลัง RCW (Rear Collision Warning) ถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง เข็มขัดนิรภัยแบบดึง รั้งกลับพร้อมผ่อนแรงอัตโนมัติ ระบบกุญแจนิรภัย Immobilizer และระบบล็อกประตูอัตโนมัติ (Speed Sensing Door Lock)

MG 5

การกลับมาของรถเก๋งซีดานที่มิติเท่ากับ Honda Civic แต่มาตีตั๋วเด็กชนกับกลุ่ม B-Car Eco Car ด้วยเครื่อง 1.5 ลิตร 114 แรงม้า ที่การตอบสนองพอไปวัดไปวาได้ ไม่หวือหวาเมื่อเทียบกับกลุ่มเครื่องเทอร์โบ 1.0 122 แรงม้า รวมถึงเกียร์ CVT ที่นุ่มนวลตัดต่อกำลังไม่ขาดตอน แต่ด้วยตัวรถที่ใหญ่กว่าจึงได้เปรียบที่ห้องโดยสารนั่งสบายกว่าใคร รวมถึงข้าวของที่ติดจากโรงงานที่ให้มาเต็มเหยียด จนอาจเกินหน้าเกินตาคู่แข่งตัวเอ้จากฟากแดนปลาดิบ ไม่วาจะแอร์หลัง เบาะไฟฟ้าปรับด้านคนขับจอสัมผัสขนาดใหญ่เชื่อมโลกออนไลน์เข้าไว้ด้วยกัน และความพิเศษตรงที่ถ้าลืมกุญแจไว้ที่บ้านก็สามารถสั่งปลดล็อกสั่งสตาร์ทรถได้ผ่านสมาร์ทโฟน Digital Key ผ่านแอพ i-SMART ซึ่งตรงนี้สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมืองได้อย่างเต็มรูปแบบกับค่าตัวเพียง 689,000 บาท ก็ถือว่าเพียงพอแล้วสำหรับ MG 5 1.5 X

 

เรื่องและขับทดสอบโดย นายเต้ย

 

ขอขอบคุณ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่เชิญทีมงาน Autodeft.com เข้าร่วมกิจกรรมทดลองขับรถยนต์ MG 5 1.5 X

MG 5

สิ่งที่ชอบ >>>หน้าตาออกแนวยุโรปมากขึ้น มีความสปอร์ตมากขึ้นกับหลังคารถที่ลาดลงดุจรถคูเป้ 2 ประตู ออพชั่นครบครันจนคู่แข่งอิจฉาห้องโดยสารกว้าง มีหลังคาซันรูฟ จอสัมผัลใหญ่ 10 นิ้ว เล่นเพลงออนไลน์ได้ไม่ต้องพึ่ง USB ช่วงล่างเด่นที่การเข้าโค้งแม่นยำ ให้ความนุ่มนวลเทียบเท่าเจ้าตลาด เกียร์ 8 สปีด CVT ลบจุดบอดได้อย่างดีในเรื่องเร่งแซง และความฉับไวในการทำความเร็ว รวมถึงระบบ Digital Key ที่ยกเทคโนโลยีระดับทองจากรถพรีเมี่ยมมาใส่ในรถราคาบ้านๆถือว่าถูกจริตคนไทย

สิ่งที่ไม่ชอบ >>> ควรย้ายตำแหน่ง Cruise Control ไปอยู่ในวงพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น ควรเพิ่มความสปอร์ตกับพวงมาลัยหุ้มหนัง เบาะหลังควรพับได้แบบ 60/40 กำลังเครื่องอาจไม่ทันใจสำหรับสาวกรักความแรงและหวังอยากให้มีเครื่องยนต์เทอร์โบมาทำตลาดเพื่อจะได้อุดช่องว่างในกลุ่ม C-Car ราคาต่ำกว่าล้านหรือล้านต้นๆ ให้มีตัวเลือกมากขึ้น จากเดิมมีแค่ 3 เจ้าหลัก

 

ติดตามข่าวสารยานยนต์ รวดเร็วก่อนใคร ได้ที่ Autodeft.com

5 เรื่องน่าสนใจ