Test Drive : รีวิว ทดลองขับ BMW Z4 M40I โรสเตอร์พรีเมี่ยม แรงเร่าร้อน เสน่ห์เย้ายวนใจ

  • โดย : Autodeft
  • 15 ก.ย. 63 00:00
  • 11,361 อ่าน

ถ้าจะกล่าวถึงยานยนต์โรสเตอร์เปิดประทุนจากซีกยุโรปจะต้องมีชื่อ บีเอ็มดับเบิลยู เป็นอันดับต้นๆ ย้อนกลับในช่วงยุคทศวรรษ 80 BMW สนองลูกค้าที่อยากได้รถยนต์คูเป้แบบ 8 Series ย่อส่วนลงมาและราคาที่ถูกลงกว่าจึงเป็นที่มาของรถยนต์รูปแบบใหม่ที่ผสมระหว่างรถคูเป้ 2 ที่นั่งและรถเปิดประทุนหรือ Convertible เข้าไว้ด้วยกันจึงเป็นที่มาของการเปิดตัว BMW Z1 ในปี 1989 และเป็นปฐมบทของตำนานโรสเตอร์ตระกูล Z เรื่อยมาตั้งแต่

BMW Z4

สำหรับ BMW Z4 เปิดตัวครั้งแรกในช่วงปี 2002 (รหัส E85) (มาแทน BMW Z3 E36/7,8 ที่ทำตลาดมายาวนานตั้งแต่ปี 1995) จากนั้น Z4 เจเนอเรชั่นที่ 2 (รหัส E89) รับช่วงต่อในปี 2009-2016 จนมาถึงเจเนอเรชั่นที่ 3 (รหัส G29) เปิดตัวต่อหน้าสาธารณชนทั่วโลกช่วงกลางปี 2018 หลังจากนั้นหนึ่งปีให้หลังเปิดตัวในเมืองไทยอย่างเป็นทางการช่วงต้นปี 2019 เป็นรถนำเข้าจากประเทศออสเตรียแถมยังเป็นหนึ่งรุ่นสำคัญที่ทาง Toyota มาขอร่วมกันพัฒนาออกแบบโดยนำพื้นฐานรุ่น Z4 มาดีไซน์ให้สปอร์ตโค้งมนปราดเปรียวมีหลังคาภายใต้ชื่อ Toyota GR Supra

BMW Z4

รถยนต์ใหม่ 2020 จากเมืองมิวนิกที่นำมารีวิวทดลองขับครั้งนี้เป็นรุ่นท็อปสุดนั่นคือ BMW Z4 M40I โรสเตอร์พรีเมี่ยมที่มอบความสุนทรีย์แห่งการขับขี่อันสูงส่งผสมผสานทั้งรูปลักษณ์ที่สะท้อนความเพลิดเพลินบนท้องถนน หล่อถอดแบบจาก Concept Car ขัดเกลางานดีไซน์ให้ลงตัวในเวอร์ชั่นขาย Production Car กระจังหน้าทรงไตคู่มาในดีไซน์เป็นสีเทา (คันขายจริงเป็นสีดำเงา) แบบตะแกรงเสริมความสปอร์ตคู่กันไปกับกระโปรงหน้าทรงยาวไฟหน้า Adaptive LED ที่จัดเรียงในแนวตั้งพร้อมระบบปรับไฟหน้าอัจฉริยะตามทิศทางการหมุนของพวงมาลัยพร้อมระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ ระบบนี้เพื่อป้องกันการสาดใส่ไฟใส่รถที่สวนมาหรือรถที่อยู่ด้านหน้าเราหล่อหลอมเป็นชุดเดียวกันทั้งไฟหน้าและกระจ้งหน้ากับกันชนหน้าทรงสปรอ์ตมีสปอยเลอร์หน้าในตัวพร้อมการตกแต่งช่องระบายอากาศสีเทา (คันขายจริงเป็นสีดำเงา) แต่ไร้ไฟตัดหมอกหน้าตามสมัยนิยมของรถพรีเมี่ยมยุคนี้

ด้านข้างปราดเปรียวลงตัวกับเส้นสายที่คมคายด้วยช่องรับลมขนาดใหญ่สีเทา (คันขายจริงเป็นสีดำเงา) บริเวณซุ้มล้อหน้าพร้อมตราสัญลักษณ์ M Power ติดสองข้างสื่อให้เห็นว่านี่คือเวอร์ชั่นแรงสุดในตระกูล Z4 พร้อมที่เปิดประตูและกระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยวสีเทา (คันขายจริงเป็นสีเดียวกับตัวรถ) มีเสน่ห์เต็มขั้นกับล้ออัลลอย M 19 นิ้วลาย Double Spoke แบบสลับสี พร้อมยาง 255/35 R19 ในล้อหน้า และยาง 275/35 R19 ในล้อหลังโดยยางติดรถมานั้นจากค่าย Michelin Pilot Super Sport แก้มเตี้ย

BMW Z4

ท้ายรถขับเน้นบุคลิกสุดโฉบเฉี่ยวด้วยสปอยเลอร์ที่ผนึกมาเป็นส่วนหนึ่งของฝากระโปรงท้าย ไฟท้าย LED L-shaped ออกแบบให้ดูเป็นเส้นยาวคล้ายกับพี่ใหญ่ BMW 8 Series ถือเป็นการออกแบบแนวใหม่พร้อมกันชนหลังที่มีลิ้นปลอยเลอร์ซ่อนความร้ายกาจที่หาตัวจับยาก พร้อมท่อไอเสียคู่ทรงห้าเหลี่ยมเฉียงๆ หลังคารถเป็นแบบผ้าใบ Soft-Top ทำงานด้วยระบบไฟฟ้าเปิด-ปิดได้เพียงปลายนิ้วสัมผัสในเวลาเพียง 10 วินาที และรองรับการเปิด-ปิดขณะขับขี่ได้ที่ความเร็วไม่เกิน 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตลอดการทำงานนั้นต้องกดสวิตช์แช่ตลอดอาจทำให้เสียเวลาไปบ้าง และมีแผงตาข่ายกั้นระหว่างหมอนศีรษะสองข้าง ป้องกันการสะท้อนการแยงตาของไฟหน้ารถคันอื่นได้ ทุกสัดส่วนลงตัวเสริมความคล่องแคล่วเพรียวลมบนท้องถนนด้วยมิติตัวรถใหญ่ขึ้นด้วยความยาว 4,234 มม. ความกว้าง 1,864 มม. ความสูง 1,304 มม. ฐานล้อ 2,470 มม. ความสูงจากใต้ท้องรถ 114 มม. น้ำหนักรถ 1,610 กก. ความจุถังน้ำมัน 52 ลิตร และกระจายน้ำหนักสู่ล้อหน้าและล้อหลังที่อัตราส่วน 50:50

BMW Z4

BMW Z4

เพียบพร้อมด้วยบรรยากาศหรูหราผสมความสปอร์ตในห้องโดยสารและอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน เมื่อก้าวเข้ามานั่งในตำแหน่งคนขับจะคุ้นเคยกับแผงคอนโซลหน้าที่ดีไซน์และการจัดวางฟังก์ชั่นต่างๆคุ้นตาออกแบบให้การหยิบจับนั้นใกล้มือและให้ความสบายโดยทำจากวัสดุ Sensatec เริ่มกันที่ พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น 3 ก้านดีไซน์ M ที่จับถนัดมือดีไซน์สหกรณ์ทุกรุ่นของบีเอ็มดับเบิลยู รวมถึงคันนี้ด้านขวาเป็นศูนย์รวมการทำงานของระบบความบันเทิงด้านซ้ายเป็นการทำงานของระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ Active Cruise Control หลังพวงมาลัยติดตั้ง Paddle Shift หรือปุ่มเหนี่ยวไก +/- สำหรับการเปลี่ยนเกียร์ มาตรวัดดีไซน์คุ้นเคยเช่นกันแบบดิจิทัลล้วนขนาด 12.3 นิ้ว แบบ Control Display ได้รับการออกแบบทั้งกราฟฟิคและดีไซน์แสดงข้อมูลที่อ่านง่าย ชัดเจนและยังเข้าถึงอารมณ์ด้วยกราฟฟิกหน้าจอแบ่งได้สามรูปแบบตามการขับขี่ คั่นกลางด้วยจอที่แสดงแผนที่และแสดงภาษาไทยอีกด้วย

BMW Z4

BMW Z4

BMW Z4

คอนโซลกลางใหญ่คับคั่งด้วยจอสัมผัสทัชสกรีน 10.25 นิ้วที่ทำงานบนระบบปฏิบัติการ BMW Operating System 7.0 ซึ่งรองรับการปรับแต่งทุกคุณสมบัติให้เข้ากับการใช้งานจริงของผู้ขับขี่ และทำงานประสานเป็นหนึ่งกับบริการ BMW ConnectedDrive เพื่ออำนวยความสะดวกในทุกจังหวะ ทั้งยังรองรับการอัพเดทซอฟต์แวร์เพื่อเพิ่มคุณสมบัติในอนาคต นอกจากนี้ ยังรองรับระบบผู้ช่วยส่วนตัว BMW Intelligent Personal Assistant ที่มาพร้อมระบบสั่งการด้วยเสียง เพื่อความสะดวกสบายของผู้ขับขี่มากยิ่งขึ้นแต่ไม่มีใช้นิ้วสั่งงานที่หน้าจอ BMW Gesture Control พร้อมชุดเครื่องเสียงแบบเซอร์ราวด์จาก Harman Kardon รอบคันที่ให้เสียงดีไม่แพ้ค่ายเครื่องเสียงชั้นนำต่ำลงมาเป็นเครื่องปรับอากาศปรับแยกส่วนอุณหภูมิซ้าย-ขวา งานนี้ไม่ต้องมาแย่งความร้อน-เย็นอีกต่อไป คอนโซลเกียร์ที่มีด้ามจับดีไซน์เล็กจิ๋วจับง่าย รายล้อมในกรอบคอนโซลเกียร์ทั้งเบรกมือไฟฟ้าพร้อมฟังก์ชั่น Automatic Hold ระบบปุ่มสตาร์ตรถ ปุ่มโหมดการขับขี่ที่เลือกได้ทั้งโหมด Sport, Comfort, ECO PRO และ Adaptive และปุ่มเปิด-ปิดหลังคารถ เหนือคอนโซลเกียร์มีช่องขนาดพอดีๆสามารถเลื่อนเปิดได้โดยจะมีช่องเสียบ USB แล้วถ้าสมาร์ทโฟนของคุณแบตเริ่มจะหมด มีระบบชาร์จไร้สายแบบ Wireless Charging และยังสามารถเชื่อมต่อเข้าระบบความบันเทิงในรถได้ด้วยเช่นกัน ถ้าจะสนทนายังมีระบบแฮนด์ฟรีที่ให้คุณภาพเสียงชัดเจน

BMW Z4

BMW Z4

เบาะนั่งทรงสปอร์ตโดยรุ่นนี้หุ้มด้วยหนังแท้ Vernasca สีดำ เข็มขัดนิรภัยดีไซน์พิเศษสีดำลายขลิบสีฟ้าอ่อนแดงสีประจำของ M Power โดยสามารถปรับท่านั่งตามสรีระด้วยระบบไฟฟ้าคู่หน้าพร้อมระบบเตือนความจำแต่ให้ความสบายผสมกับระบบหนุนหลังปรับไฟฟ้าเพื่อผ่อนคลายลดความอึดอัดเมื่อยล้าอีกในยามเดินทางใกล้-ไกล สีของเบาะนั่งแตกต่างตามสีภายนอกตัวรถ อย่างคันที่นำมาทดลองขับ สีภายนอกเป็นสีแดง San Francisco Red ภายในใช้โทนสีดำ Black Decor Stitching (และสีแดงยังเลือกภายในสีเบจขาว Ivory White Stitching) ข้างหลังเบาะจะมีตาข่ายแนวยาวขนาดใหญ่ไว้ใส่สัมภาระ หยิบจับได้สบายๆรวมถึงมีเกะเล็กๆเปิดทะลุถึงห้องโดยสารด้านหลังสามารถสอดสัมภาระอันยาวได้อย่างสะดวกเช่นไม้กลอฟ์และเมื่อเปิดฝากระโปรงท้ายมีพื้นที่บรรทุกของมากถึง 281 ลิตร ถ้าพาแฟนสุดที่รักนั่งรถไปขับชมราตรีกลางกรุงยังมีไฟเพิ่มบรรยากาศภายในห้องโดยสาร Ambient Lighting เลือกสีตามต้องการได้ถึง 6 สี ทั้งสีขาว, สีฟ้า, สีส้ม, สีบรอนซ์, สีม่วงอ่อนและสีเขียว สร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายและเป็นกันเองอย่างสุนทรีย์เต็มอารมณ์

ระบบช่วยนำรถเข้าที่จอดอัตโนมัติ Parking Assistant สามารถถอยออกจากบริเวณที่มีพื้นที่แคบ เช่น อาคารจอดรถ ทางเลี้ยวเข้า หรือทางตัน ได้อย่างง่ายดายแม้จะมีมุมมองที่จำกัด โดยจะจดจำองศาการเลี้ยวของพวงมาลัยขณะขับเข้าไปยังพื้นที่ ใช้งานง่ายโดยกดปุ่ม Reversing Assistant ขณะจอดนิ่งที่เกียร์ P หลังจากนั้น รถยนต์จะถอยหลังอัตโนมัติตามเส้นทางที่ขับเข้าไปล่าสุด โดยใช้งานง่ายดายให้พวงมาลัยปรับทิศทางเองโดยอัตโนมัติ เพียงแค่ผู้ขับขี่มีหน้าที่แตะเบรกหรือคันเร่ง เท่านั้นเองนับเป็นความสบายอีกระดับสำหรับคนที่ถอยรถแล้วเผลอไปชนสิ่งกีดขวางรอบตัวรถจนเป็นรอย

กุญแจรีโมทขนาดใหญ่ที่งานนี้ลาขาดตัวขนาดใหญ่ดีไซน์ที่มีจอแสดงแบบสัมผัสมาเป็นแบบธรรมดาดีไซน์ใบไม้แบนๆสีเงิน ทำหน้าที่ล็อก-ปลดล็อกประตู เท่านั้น หรือใส่ในกระเป๋ากางเกงก็สามารถปลดล็อกได้ด้วยการดึงก้านประตูซึ่งบอกตรงๆว่าดีแล้วที่ใช้แบบนี้ ต่างจากตอนใช้กุญแจรถที่มีจอใหญ่ ซึ่งสะดวกไหมสะดวกครับแต่ยุ่งยากต้องคอยมาชาร์จแบตถ้ามันหมดเท่านั้น (รุ่นคันขายจริงข้างบนแผงคอนโซลหน้ามีหลุมลึกๆซึ่งมันคือจอแสดงผลเหนือคอนโซล หรือ BMW Head-Up Display เจเนอเรชั่นล่าสุดสามารถแสดงภาพกราฟฟิคสามมิติได้

BMW Z4

BMW Z4

หัวใจหลักที่นำพาสปอร์ตโรสเตอร์หรูนี้โลดแล่นบนท้องถนนได้นั่นคือเครื่องยนต์และเครื่องที่ประจำการในรุ่นนี้เป็นเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 6 สูบแถวเรียง 3.0 ลิตร DOHC ภายใต้รหัส B58B30C ปริมาตรความจุกระบอกสูบ 2,998 cc. ระยะชัก/ขนาดกระบอกสูบ 94.6/82.0 มม. อัตราส่วนการอัด (: 1) 11.0 ส่งพลังแรงมหาโหด 340 แรงม้าที่ 5,000-6,500 รอบ/นาที แรงบิด 500 นิวตันเมตรที่ 1,600-4,500 รอบ/นาที แต่คันขายจริงมีการเพิ่มพลังอีก 47 แรงม้า เป็น 387 แรงม้าแถมปรับรอบของแรงม้าเพิ่มขึ้นเป็น 5,800-6,500 รอบ/นาที แรงบิดเท่าเดิมคือ 500 นิวตันเมตรแต่รอบของแรงบิดมีการปรับเพิ่มเป็น 1,800-5,000 รอบ/นาที (ระยะชัก/ขนาดกระบอกสูบ อัตราส่วนการอัดเท่าเดิม) ขับเคลื่อนล้อหลัง จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด Sport Steptronic โดยอัตราเร่งตามข้อมูลโรงงาน เร่งความเร็ว 0-100 ได้ภายใน 4.5 วินาที (คันขายจริงทำได้ 4.1 วินาที) ปล่อย CO2 ที่ 166 กรัมต่อกิโลเมตร (คันขายจริงทำ CO2 ได้ 171 กรัมต่อกิโลเมตร) อัตราสิ้นเปลืองในเมืองทำได้ 11.24 กม./ลิตร นอกเมือง 16.95 กม./ลิตร และเฉลี่ย 14.3 กม./ลิตร

นับตั้งแต่รับกุญแจรถคันนี้มาทดลองขับนึกเสมอว่าโรสเตอร์คันนี้จะให้ความสนุกสนานเพราะมีคำว่าเครื่องยนต์ 6 สูบมาค้ำคอ แต่เอาเข้าจริงสิ่งที่คิดกับการขับจริงมันสามารถไปด้วยกันได้ สามารถนำพาร่างหนักตันครึ่งโลดแล่นโจนทะยานอย่างเร้าใจกดคันเร่งแบบทีละนิดจนถึงกดเต็มๆ สร้างเสียงคำรามของเครื่องยนต์อย่างน่าเกรงขาม ว่องไวคล่องแคล่วรวดเร็วกว่าตั้งแต่รอบต่ำถ้าอยู่ในโหมด Sport และ Sport + แต่ขอบอกอีกอย่างถ้าอยู่โหมดนี้เตรียมตัวเตรียมใจรับกับความร้ายกาจไว้ให้ดี และการขับขี่ในเมือง มีความสุขุมบ้างในการขับขี่ด้วยโหมด Comfort และโหมด Eco PRO

BMW Z4

รอบการทำงานของเครื่องในช่วงความเร็ว 90-120 กม./ชม.ทำผลงานสูงสุดเกือบ 2,000 รอบ/นาที ด้วยรอบตั้งแต่ 1,450 1,650 1,700 และ 1,900 รอบ/นาที โหมด Performance Test มีเรื่องต้องให้ตกตะลึงด้วยการทะยานจากจุดหยุดนิ่งไปแตะถึง 100 กม./ชม. ทำได้ 5.91 วินาที และ 80-120 กม./ชม. ทำได้ 4.36 วินาที ด้วยสภาพอากาศ สภาพถนนที่ทดสอบอัตราเร่งอาจมีส่วนทำให้ตัวเลขไม่ตรงกับที่โรงงานแจ้งไว้ โดย 0-100 กม./ชม. ทำได้ 4.5 วินาที การเก็บเสียงเป็นเรื่องปกติของรถแรงทำได้ดีระดับหนึ่ง ถึงมีเสียงเครื่องคำรามมากหน่อยจากเครื่องและท่อไอเสียเพราะตั้งใจอยากให้ผู้ขับขี่มีอรรถรสในการขับขี่มากขึ้น ระบบเกียร์อัตโนมัติ Steptronic 8 สปีด ทำงานแม่นยำในการเข้าเกียร์แต่ละช่วงและสามารถรองรับความบ้าระห่ำ 300 กว่าแรงม้าแต่ถ้าอยากสะใจมี Paddle Shift เหนี่ยวไก 2 ข้างหลังพวงมาลัยและมีโหมดการขับขี่ให้เลือกทั้งแบบ Sport, Comfort, ECO PRO และ Adaptive

BMW Z4

ระบบช่วงล่างของรุ่นนี้เป็นแบบ M ที่ประกอบด้วย Adaptive M Suspension ประกอบด้วยด้านหน้าแบบดับเบิ้ลวิชโบนหรือ ปีกนกคู่สองชั้น ทำจากวัสดุ aluminium ด้านหลังแบบคอยล์สปริง 5 จุด หรือ Five-link ทำจากวัสดุเหล็กที่น้ำหนักเบาและมีช็อกอัพธรรมดาทั้ง 4 ด้าน พร้อมเหล็กกันโคลงหน้า-หลัง ความรู้สึกครั้งแรกก่อนขับคิดในใจว่าช่วงล่างต้องแข็งกระด้างตามประสารถโรสเตอร์แต่พอขับจริงกลับผิดคาดการปรับเซ็ตช่วงล่างเน้นความหนึบแต่ยังมีฟิลลิ่งความนุ่มนวลแฝงอยู่บ้างในทางเรียบแต่ทางขุรขระมีความแข็งหน่อยๆและไม่ว่าจะเส้นทางจะเป็นแบบไหนเชื่อใจได้ในเรื่องการเกาะถนนแม่นยำอย่างไม่ต้องสงสัยพร้อมฟังก์ชั่นควบคุมการยึดเกาะถนน (DTC) ระบบควบคุมเสถียรภาพการขับขี่ (DSC) ระบบควบคุมความเร็วขณะขึ้นทางลาดชัน Hill-Start Assisant ควบคุมรถแบบเปลี่ยนเลนสามารถคุมได้ด้วยพวงมาลัยพาวเวอร์ไฟฟ้าปรับน้ำหนักตามความเร็วขณะขับขี่ (Servotronic) น้ำหนักพวงมาลัยค่อนข้างเบา ขับสบาย ขับง่ายขึ้น ในทุกช่วงความเร็ว และการควบคุมคมทุกโค้ง และจะหนักขึ้นในความเร็วสูงๆ ด้านระบบเบรกด้วยดิสก์เบรก 4 ล้อ พร้อมคาลิเปอร์ดิสก์เบรกหน้า 4 พ็อต และ 1 พ็อตในด้านหลัง M Sport ระยะการเหยียบเบรกเมื่อเหยียบแป้นเบรกไป 20 % ระบบทำงานหยุดได้อย่างฉับไว

BMW Z4

ปิดท้ายด้วยอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันจากโปรแกรม Save Mode ทำได้ 11.39 กม./ลิตร จากระยะทางรวม 63 กม.จัดน้ำมันแก็สโซฮออล์ 95 เต็มถังจากปั๊มน้ำมันแถวเพชรบุรีตัดใหม่ กรุงเทพฯ 5.53 ลิตร ใช้ความเร็วไม่เกิน 120 กม./ชม. ตามสภาพการใช้งานจริง โดยที่ได้ตัวเลขมาขนาดนี้เหมือนทุกครั้งที่ทดสอบรถยนต์จากเมืองมิวนิกนั่นคือ ระบบดับเครื่องยนต์อัตโนมัติแบบอัจฉริยะ Auto Start Stop จะดับเครื่องยนต์เฉพาะเมื่อรถหยุดการเคลื่อนที่ตามช่วงระยะเวลาประมาณ 3 นาที แต่ช่วงการทำงานนั้น บรรดาเครื่องปรับอากาศกับเครื่องเสียงยังทำงานตามปกติแต่ถ้าอุณหภูมิภายนอกมากกว่า 35 องศาขึ้นไประบบจะไม่ทำงาน ส่วนการใช้งานในเมืองได้ตัวเลขสิ้นเปลืองที่ 6.35 กม./ลิตร

BMW Z4

อานุภาพความแรงระดับ 300 กว่าม้าในร่างโรสเตอร์เปิดประทุนต้องบอกเลยว่าผิดความคาดหมายไม่ใช่เรื่องความแรงของขุมพลังหรอกครับแต่เป็นเรื่องช่วงล่างที่ให้ความหนึบนุ่มกว่าที่คิดไว้การขับขี่ที่เร้าใจจนสามารถเลือกโหมดได้หลายหลากตามความถนัดของเท้าขวาเราเพราะเสียงดุดันจากเครื่องยนต์รวมถึงการเก็บเสียงที่ทาง บีเอ็มดับเบิลยู จงใจทำฉนวนกันเสียงแบบไม่แน่นเพื่อต้องการให้คนขับรับฟังเสียงคำรามของเครื่องผ่านออกมาทางท่อไอเสียสร้างเร้าใจในการขับขี่มากขึ้น ออพชั่นประจำรถให้มาอย่างพอเพียง

แต่ถ้าพึ่งมาขับโรสเตอร์อาจไม่ชินในเรื่องการเข้าออกเพราะตัวรถเตี้ยรวมถึงการกะระยะในการขับขี่เพราะหน้ารถที่ยาวท้ายสั้น อาจสร้างความลำบากในการขับขี่ถ้าเป็นมือใหม่พึ่งมาขับรถแนวนี้ แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคมากนั้น ด้วยราคา 5 ล้านทอนพันนึง (4,999,000 บาท พร้อมโปรแกรมบำรุงรักษา BSI Standard) สามารถควบเจ้า BMW Z4 M40I โชว์อวดสาวพาไปเที่ยวรับลมชมวิวที่ต่างจังหวัดได้อย่างสบายๆ

 

เรื่องและขับทดสอบโดย นายเต้ย

 

ขอขอบคุณ บริษัท บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด ที่ให้ความอนุเคราะห์รถยนต์ BMW Z4 M40I มารีวิวทดลองขับครั้งนี้

 

BMW Z4

BMW Z4

สิ่งที่ชอบ >>> หน้าตาสปอร์ต ดุขึ้น แรงกระขากใจ 300 กว่าแรงม้า สร้างการขับขี่อย่างน่าอัศจรรย์ ขุมพลังแรงตั้งแต่ต้นจนถึงปลายๆ พวงมาลัยคมช่วงล่างหนึบนุ่ม

สิ่งที่ไม่ชอบ >>> ระบบเปิด-ปิดหลังคาต้องกดปุ่มแช่ไว้ไม่มีแบบ One-Touch กดครั้งเดียวทำงานเอง อาจทำให้เสียเวลา รวมถึงมือใหม่หัดขับโรสเตอร์อาจสร้างความลำบากในการขับขี่พอมควรในการกะระยะการขับขี่หรือถอยจอด อยากให้มีการปรับแต่งเสียงสังเคราะห์ของท่อไอเสีย

 

 

 

ชม Gallery Test Drive BMW Z4 M40I ได้ที่นี่ !!

 

ติดตามข่าวสารยานยนต์ รวดเร็วก่อนใคร ได้ที่ Autodeft.com 

5 เรื่องน่าสนใจ